ในตอนนี้ ***"ไฮไลท์"*** สำคัญต้องพุ่งเป้าไปที่ประเด็น ***"ผลประโยชน์ก้อนโตระดับแสนล้านของทีพีไอ"*** ซึ่งในที่สุดบรรดาตัวแทนของระบอบทักษิณในนาม ***"คณะผู้บริหารแผน"*** ที่ได้ยืมมือของกระทรวงการคลังในฐานะองค์กรของรัฐเป็นทางผ่าน เพื่อเข้าไปตักตวงผลประโยชน์ในกิจการและทรัพย์สินของเอกชนอย่าง ***"ทีพีไอ"*** ก็ไม่อยากถอนตัวออกไปจาก ***"ขุมทองของทีพีไอ"***
แม้ว่าตัวแทนของกระทรวงการคลัง จะสิ้นสุดในการทำหน้าที่บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของทีพีไอตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางไปแล้ว แต่ผลประโยชน์ก้อนโตของทีพีไอ ทั้งผลประกอบการในเครือมากกว่า 200,000 ล้านบาท และกำไรในปี 2549 ที่ผ่านมาคิดเป็นเม็ดเงินสดอีกกว่า 12,000 ล้านบาท ได้กลายเป็นสิ่งหอมหวลยวนใจให้ลิ่วล้อของระบอบทักษิณยังคงยึดครองทีพีไอต่อไป
***ลิ่วล้อทักษิณถลุงเงินทีพีไอ 1,700 ล้าน..
"คมช.-รัฐบาลขิงแก่"นิ่งเฉยได้อย่างไร***
การเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอของบรรดาตัวแทนจากกระทรวงการคลังในยุคถูกระบอบทักษิณเข้าครอบงำนั้น ได้พบพฤติกรรมยักย้ายถ่ายเทเงินของทีพีไอ(ไซฟ่อนเงิน)กันชนิดโจ่งครึ่ม เนื่องจากมีการใช้จ่ายเงินของทีพีไอกันสูงมากจนผิดปกติ ไล่ตั้งแต่มีการกำหนดค่าตอบแทนให้กับตัวเองและพรรคพวกที่เข้ามากระทำการปู้ยี้ปู้ยำทีพีไอสูงถึงเดือนละ 750,000-1,000,000 ล้านบาท มีการจ่ายค่าจ้างให้กับบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของลิ่วล้อตัวแทนกระทรวงการคลัง
โดยมีการ ***"เหิมเกริม"*** ถึงขั้นกล้า ***"จ่ายเงินย้อนหลัง"*** ก่อนที่บริษัทดังกล่าวจะจดทะเบียนมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฏหมาย และก่อนที่บริษัทจะเริ่มเดินเครื่องทำหน้าที่เสียอีก ซึ่งมีการคิดสนนราคาค้าจ้างสูงถึง 20 ล้านบาท(ยี่สิบล้านบาท)ต่อเดือนหรือจำนวน 240 ล้านบาทต่อปี รวมถึงมีการจ่ายเงินที่ระบุว่า เป็นค่าซื้อถุงพลาสติกให้กับบริษัท โพลีเมอร์ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด ถึงเดือนละกว่า 10 ล้านบาท(สิบล้านบาท)หรือจำนวน 120 ล้าบาทต่อปี ซึ่งข้อเท็จจริงทั้งสองบริษัทดังกล่าวล้วนแต่เป็นบริษัทของบรรดาลิ่วล้อของคณะผู้บริหารแผนฯ จากตัวแทนกระทรวงการคลังแทบทั้งนั้น
ทั้งนี้หากรวมระยะเวลาตั้งแต่คณะผู้บริหารแผนฯเข้ามากุมอำนาจในทีพีไอเป็นระยะเวลา 1 ปีเศษ แต่ได้เปิดฉาก ***"ถลุงเงินของทีพีไอ"*** กันอย่างสนุกมือหรือรวมวงเงินสูงกว่า 1,700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าในช่วงที่ร่างทรงเจ้าหนี้อย่าง ***"อีพีแอล"*** เป็นผู้บริหารแผนฯ จนกระทั่งศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผนฯด้วยซ้ำ ซึ่งพบว่าอีพีแอลผลาญเงินทีพีไอไปจำนวน 1,000 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงกิจการของทีพีไออยู่ในสภาวะมีหนี้สินและอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ เพื่อที่จะได้กลับไปสู่การดำเนินธุรกิจด้วยตัวเองหรือสามารถ ***"ยืนบนลำแข้ง"*** ของตัวเองอีกครั้ง
***"เลี่ยวไพรัตน์"ทุ่มแสนล้านสร้าง"ทีพีไอ"
"ปตท.-กบข.-วายุภักษ์-ออมสิน"ชุบมือเปิบแสนล้าน***
วิบากกรรมของยักษ์ใหญ่ทางด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านอย่าง ***"ทีพีไอ"*** ในขณะนั้นกลับถูกคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอที่มี ***"นายทหารพาณิชย์"*** อย่าง ***"พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎร์"*** เป็นแกนนำ โดยอาศัยข้ออ้างประเภท ***"แผ่นเสียงตกร่อง"*** ซ้ำซากว่า ในฐานะตัวแทนของกระทรวงการคลังได้สวมวิญญาณโฉดปล้นทีพีไอแบบซ้ำซาก รวมถึงพันธมิตรของกระทรวงการคลัง ไล่เรียงจาก ***"ปตท.-กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)-กองทุนวายุภักกษ์1 และธนาคารออมสิน"*** ซึ่งในความจริง ***"คณะบุคคล"*** เหล่านี้ รวมถึงพันธมิตรใน ***"อุ้งมือ"*** ของกระทรวงการคลังดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่มี ***"ต้นทุนแม้แต่สตางค์เดียว"*** หรือหากฟันธงเปรี้ยงชนิดไม่เกรงใจต้องพูดให้ชัดว่า ***"คณะบุคคลดังกล่าวและพันธมิตรของคลังมีต้นทุนติดงบด้วยซ้ำ"*** กับธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านทีพีไอ แต่กลับอาศัยอำนาจมืดทางการเมืองของระบอบทักษิณเข้ามา ***"ชุบมือเปิบ"*** ผลประโยชน์แสนล้านจากทีพีไอกันอย่างหน้าตาเฉย
ในขณะที่ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอและกลุ่มตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ได้ ***"หว่านเม็ดเงินลงทุน"*** ในกิจการของทีพีไอ คิดเป็นเม็ดเงินจำนวนมากกว่า 100,000 ล้านบาท จนกระทั่งส่งผลให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของทีพีไอ มีทรัพย์สินพุ่งสูงกว่า 100,000 ล้านบาท แถมธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของทีพีไอ ยังมีความทันสมัยและครบวงจรที่สุดในเอเซียอาคเนย์และยังกล่าวได้ว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของทีพีไอ ได้กลายเป็น ***"ธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรงหรือเป็นธุรกิจเรือธง"*** ในแวดวงการค้าของโลกอีกด้วย
***"ทักษิณ"เล่นเกมข้ามชาติเหนือแผ่นดินมังกร..
ล็อบบี้ผู้นำจีนสกัด"ซิติก"ทุ่มฟื้นทีพีไอแสนล้าน***
มีความจริงต้องนำออกมาตีแผ่ให้กับ ***"คมช.-รัฐบาลขิงแก่และสังคม"*** ให้รับรู้กันอย่างทั่วถึง ในกรณีปมฉาวของกระบวนการฟื้นฟูกิจการทีพีไอ ทั้งนี้ที่ผ่านมากลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอและกลุ่มตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ได้พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะเข้าไป ***"ฟื้นฟูกิจการทีพีไอให้พ้นจากวิกฤติที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้นมา"*** โดยในช่วงระยะเวลาการฟื้นฟูกิจการก่อนที่กระทรวงการคลัง จะเข้ามาทำการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้กับหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลหรือเป็นหน่วยงานที่อยู่ใน ***"อุ้งมือของกระทรวงการคลัง"*** ทั้ง ***"ปตท.-กบข.-กองทุนวายุภักษ์1และธนาคารออมสิน"*** ถือว่าเป็นการอาศัยอำนาจมืดของระบอบทักษิณ เพื่อเป็นช่องทางในการ ***"พาเหรด"*** เข้ายึดกิจการทีพีไอไปจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอย่างไม่ชอบธรรมนั้น
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีพีไออย่างตระกูล ***"เลี่ยวไพรัตน์"*** ในฐานะ ***"ผู้ค้ำประกันหนี้ก้อนโตของทีพีไอ"*** ได้ทำการติดต่อของสนับสนุนทางการเงินจาก ***"ซิติก กรุ๊ป"*** ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านการลงทุนของรัฐบาลจีน ทั้งนี้เพื่อนำเงินมาชำระหนี้สินกับเจ้าตามแผนฟื้นฟูกิจการหนี้เดิมทั้งหมดในวงเงินกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มซิติก กรุ๊ปได้รับข้อเสนอและตอบรับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ โดยยินดีที่จะสนับสนุนทางด้านเงินทุนให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอเต็มที่ จนกระทั่งมีการออกแถลงข่าวที่ฮ่องกง
แต่ในข้อเท็จจริงของสถานการณ์ร้อน ๆ ในช่วงนั้นกลับปรากฏว่า มีคณะบุคคลในรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ากระโดดขวางกลุ่มซิติก กรุ๊ป โดยการเข้าล็อบบี้บุคคลในรัฐบาลจีนไม่ให้กลุ่มซิติก กรุ๊ปดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ และในที่สุดกลุ่มซิติก กรุ๊ป ได้ประกาศถอนตัวในเรื่องดังกล่าว
พลันที่กลุ่มซิติก กรุ๊ป ได้ประกาศถอนตัวจากการทุ่มเม็ดเงินกว่า 100,000 ล้านบาทเข้า ***"อุ้มกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอ"*** ได้สร้างความเสียหายให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมและกลุ่มตระกูลเลี่ยวไพรัตน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการสูญเสีย ***"โอกาสทอง"*** ที่จะสามารถช่วงชิงทีพีไอคืนจากกลุ่มลิ่วล้อของระบอบทักษิณที่ใช้อำนาจมืดทางการเมืองเข้าปล้นทีพีไอไปจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมก่อนหน้านี้
***ประวัติศาสตร์อัปยศระบอบทักษิณ
กรณี"ทีพีไอ-ดาวเทียมไอพีสตาร์" ***
มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ที่จะต้องบันทึกเบื้องหน้าเบื้องหลังในฉากสำคัญ ๆ ของประวัติศาสตร์ที่ระบอบทักษิณได้ใช้อำนาจทางการเมืองช่วงชิงทีพีไอไปจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม โดยเฉพาะในฉากสำคัญของเสี้ยววินาทีที่กลุ่มซิติก กรุ๊ปได้ฟันธงที่จะขนเงินกว่า 100,000 ล้านเข้ามาลงทุนในกิจการของทีพีไอ แต่พอข่าวดังกล่าวหลุดรอดออกไปรัฐบาลทักษิณถึงกับ ***"เต้นเป็นเจ้าเข้า"*** เนื่องจากแผนการยึดทีพีไอจะต้องล้มคืนไปต่อหน้าต่อตาอย่างแน่นอน หากไม่ดำเนินการอะไรสักอย่าง
จนในที่สุดระบอบทักษิณได้ส่ง ***"ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"*** ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบินลัดฟ้าไปล็อบบี้ ***"มาดาม อู๋อี๋"*** ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลจีน ทั้งนี้เพื่อมีคำสั่งด่วนจี๋ให้กลุ่มซิติก กรุ๊ประงับความช่วยเหลือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ ในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการ ***"ตอกฝาโลงทีพีไอ"*** หรือเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่า กลุ่มซิกติก กรุ๊ปจะหยุดให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินกับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ โดยโพกัสภาพไปที่ ***"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์"*** ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองตัวฉกาจของระบอบทักษิณในขณะนั้น ถึงขึ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้บินลัดฟ้าไปล็อบบี้ผู้นำของรัฐบาลจีนด้วยตัวเองอีกครั้ง โดยบนโต๊ะเจรจาในวันนั้นถึงขั้นมีการเสนอผลประโยชน์แสนล้านของทีพีไอ เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของกิจการ ***"ดาวเทียมไอพีสตาร์"*** ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจเรือธงของกลุ่มชินคอร์ปของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์กำลังมี "ปัญหาจุกอก"เข้าทำนองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่สามารถยิงขึ้นสู่วงโคจรได้ เพราะจะไปทับซ้อนกับวงโคจรของดาวเทียมจีนดวงหนึ่ง แต่ในที่สุดผลประโยชน์ข้ามชาติดังกล่าวก็ลงเอยด้วยดี โดยงานนี้ได้มีการนำกิจการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านของทีพีไอไปเป็น ***"ข้อต่อรองผลประโยชน์ข้ามชาติ"***
โดยเฉพาะ ***"นายใหญ่"*** ของระบอบทักษิณ ได้ลั่นปากกับรัฐบาลจีนในขณะนั้นท่วงทำนองที่ระบุว่า ***"รัฐบาลทักษิณยินดีที่จะยกกิจการทีพีไอให้กับรัฐบาลจีนในราคาถูก หากการเจรจาผลประโยชน์ข้ามชาติดังกล่าวได้ข้อยุติ"*** หรือเข้าข่ายในลักษณะที่ว่า ***"หากรัฐบาลจีนสนใจกิจการแสนล้านทีพีไอ ก็สามารถซื้อจากรัฐบาลไทย(ภายใต้ระบอบทักษิณ)ได้ในราคาถูก"*** จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้นำของรัฐบาลจีนได้มีคำสั่งด่วนให้ผู้บริหารของกลุ่มซิติก กรุ๊ปที่ฮ่องกงถอนตัวจากการเข้าร่วมลงทุนในกิจการของทีพีไอในทันที และในที่สุดทีพีไอ ก็ถึงคราวพ่ายแพ้ให้กับเกมการเมืองที่มีผลประโยชน์ข้ามชาติที่มีเม็ดเงินมากกว่า 100,000 ล้านบาทเป็นเดิมพันให้กับระบอบทักษิณอีกครั้งหนึ่ง
การที่หน่วยงานของรัฐและพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีการดำเนินการไปในทางที่ไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฏหมายที่ได้ให้อำนาจเอาไว้ และไม่ให้ความเป็นธรรมในกรณีกระบวนการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอนั้น มีปมเหตุสำคัญอย่างยิ่งมาจากการที่ ***"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์"*** ในฐานะผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นใหญ่และตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการบริหารราชการแผ่นดินของระบอบทักษิณอย่างร้อนแรงชนิดถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว โดยเฉพาะการออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทักษิณให้ทำการ ***"แก้ไขกฎหมายเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม"*** ตามที่รัฐบาลโดยพรรคไทยรักไทยได้กำหนดเป็นนโยบาย และให้สัญญาไว้กับประชาชนในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
รวมถึงการออกโรงคัดค้านการแปรรูปหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลหลายแห่ง การมีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflic of Interest) การทุจริตในเชิงนโยบายของบุคคลในคณะรัฐบาลของระบอบทักษิณ ตลอดจนการดำเนินนโยบายที่ไม่ถูกต้องของรัฐบาลภายใต้ระบอบทักษิณอีกหลายเรื่อง จนกระทั่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของระบอบทักษิณ ได้แสดง ***"ธาตุแท้"*** ถึงความเป็นนายกรัฐมนตรีเจ้าของฉายา ***"ปากไว"*** โดยได้ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงขั้นระบุว่า ***"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์"*** ในฐานะผู้บริหารของทีพีไอ เป็นผู้สนับสนุนและอยู่เบื้องหลังการชุมนุมคัดค้านของกลุ่มประชาชนมากมายหลายกลุ่ม ที่ได้ออกมาเสนอข้อเรียกร้องและประท้วงการดำเนินงานของรัฐบาลทักษิณในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของชาติ จนได้ส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อภาพพจน์และเสถียรภาพของรัฐบาลทักษิณจนสั่นคลอน จนในที่สุดผู้บริหารของทีพีไอดังกล่าวได้ถูกระบอบทักษิณจัดอยู่ในรายชื่อทำเนียบของบรรดา ***"ขาประจำ"*** ในอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว
***บทสรุปชะตากรรม "ทีพีไอ"..
"คมช.-รัฐบาลขิงแก่"ต้องคืนความชอบธรรม***
บทสรุปถึงบรรทัดนี้ต้องฟันธงเปรี้ยงลงไปว่า การดำเนินการของหน่วยงานรัฐและพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐในยุคที่ระบอบทักษิณเข้าครอบงำ ถือว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทั้งมีการกระทำที่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามที่กำกฎหมายกำหนด ซึ่งขัดต่อหลักการบริหารองค์กรของรัฐอย่างชนิดโจ่งแจ้ง เพราะในข้อเท็จจริงหน่วยงานของรัฐ จะต้องเน้นการบริหารงานในลักษณะ ***"โปร่งใส-ยุติธรรมและมีหลักธรรมาภิบาลที่ดี"*** ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า รัฐบาลของระบอบทักษิณได้เพรียกหามาตลอดระยะเวลา 5 ปีเศษที่กุมอำนาจบริหารบ้านเมือง
อีกทั้งหากพิจารณาในแง่กฎหมายบ้านเมือง การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐในยุคระบอบทักษิณเข้าแทรกแซงอย่างหนักหน่วงและรุนแรง ยังบ่งชี้ให้เห็นถึงการเข้าไปแทรกแซงกิจการของเอกชนอย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งขัดต่อหลักความเป็นอิสระในการประกอบอาชีพ และหลักการที่รับต้องสนับสนุนระบอบเศรษฐกิจเสรีตามมาตรา 50 และมาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งมีสภาพบังคับใช้ในขณะนั้น และถือว่าการกระทำดังกล่าวยังขัดต่อหลักสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานตามกฎบัติของสหประชาชาติและหลักการอันเป็นสากล
ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่คณะมนตรีรักษาความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)ที่มี ***"พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน"*** เป็นประธาน และรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มี ***"พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์"*** เป็นผู้นำชาติบ้านเมืองในปัจจุบัน จะต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการบริหารราชการแผ่นดินอีกเพียง 8 เดือนในการสร้างความ ***"สมานฉันท์"*** ของคนในประเทศชาติ ทั้งนี้เพื่อคืนความชอบธรรมให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ โดยการสั่งการให้กระทรวงการคลังไฟเขียว ***"ขายคืนหุ้นทีพีไอให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม"*** ไม่ใช่ปล่อยให้บรรดาลิ่วล้อของระบอบทักษิณ ยังนั่งตักตวงผลประโยชน์ของทีพีไอบนซากศพของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นปัจจุบัน!
.................................
แม้ว่าตัวแทนของกระทรวงการคลัง จะสิ้นสุดในการทำหน้าที่บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของทีพีไอตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางไปแล้ว แต่ผลประโยชน์ก้อนโตของทีพีไอ ทั้งผลประกอบการในเครือมากกว่า 200,000 ล้านบาท และกำไรในปี 2549 ที่ผ่านมาคิดเป็นเม็ดเงินสดอีกกว่า 12,000 ล้านบาท ได้กลายเป็นสิ่งหอมหวลยวนใจให้ลิ่วล้อของระบอบทักษิณยังคงยึดครองทีพีไอต่อไป
***ลิ่วล้อทักษิณถลุงเงินทีพีไอ 1,700 ล้าน..
"คมช.-รัฐบาลขิงแก่"นิ่งเฉยได้อย่างไร***
การเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอของบรรดาตัวแทนจากกระทรวงการคลังในยุคถูกระบอบทักษิณเข้าครอบงำนั้น ได้พบพฤติกรรมยักย้ายถ่ายเทเงินของทีพีไอ(ไซฟ่อนเงิน)กันชนิดโจ่งครึ่ม เนื่องจากมีการใช้จ่ายเงินของทีพีไอกันสูงมากจนผิดปกติ ไล่ตั้งแต่มีการกำหนดค่าตอบแทนให้กับตัวเองและพรรคพวกที่เข้ามากระทำการปู้ยี้ปู้ยำทีพีไอสูงถึงเดือนละ 750,000-1,000,000 ล้านบาท มีการจ่ายค่าจ้างให้กับบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของลิ่วล้อตัวแทนกระทรวงการคลัง
โดยมีการ ***"เหิมเกริม"*** ถึงขั้นกล้า ***"จ่ายเงินย้อนหลัง"*** ก่อนที่บริษัทดังกล่าวจะจดทะเบียนมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฏหมาย และก่อนที่บริษัทจะเริ่มเดินเครื่องทำหน้าที่เสียอีก ซึ่งมีการคิดสนนราคาค้าจ้างสูงถึง 20 ล้านบาท(ยี่สิบล้านบาท)ต่อเดือนหรือจำนวน 240 ล้านบาทต่อปี รวมถึงมีการจ่ายเงินที่ระบุว่า เป็นค่าซื้อถุงพลาสติกให้กับบริษัท โพลีเมอร์ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด ถึงเดือนละกว่า 10 ล้านบาท(สิบล้านบาท)หรือจำนวน 120 ล้าบาทต่อปี ซึ่งข้อเท็จจริงทั้งสองบริษัทดังกล่าวล้วนแต่เป็นบริษัทของบรรดาลิ่วล้อของคณะผู้บริหารแผนฯ จากตัวแทนกระทรวงการคลังแทบทั้งนั้น
ทั้งนี้หากรวมระยะเวลาตั้งแต่คณะผู้บริหารแผนฯเข้ามากุมอำนาจในทีพีไอเป็นระยะเวลา 1 ปีเศษ แต่ได้เปิดฉาก ***"ถลุงเงินของทีพีไอ"*** กันอย่างสนุกมือหรือรวมวงเงินสูงกว่า 1,700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าในช่วงที่ร่างทรงเจ้าหนี้อย่าง ***"อีพีแอล"*** เป็นผู้บริหารแผนฯ จนกระทั่งศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผนฯด้วยซ้ำ ซึ่งพบว่าอีพีแอลผลาญเงินทีพีไอไปจำนวน 1,000 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงกิจการของทีพีไออยู่ในสภาวะมีหนี้สินและอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ เพื่อที่จะได้กลับไปสู่การดำเนินธุรกิจด้วยตัวเองหรือสามารถ ***"ยืนบนลำแข้ง"*** ของตัวเองอีกครั้ง
***"เลี่ยวไพรัตน์"ทุ่มแสนล้านสร้าง"ทีพีไอ"
"ปตท.-กบข.-วายุภักษ์-ออมสิน"ชุบมือเปิบแสนล้าน***
วิบากกรรมของยักษ์ใหญ่ทางด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านอย่าง ***"ทีพีไอ"*** ในขณะนั้นกลับถูกคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอที่มี ***"นายทหารพาณิชย์"*** อย่าง ***"พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎร์"*** เป็นแกนนำ โดยอาศัยข้ออ้างประเภท ***"แผ่นเสียงตกร่อง"*** ซ้ำซากว่า ในฐานะตัวแทนของกระทรวงการคลังได้สวมวิญญาณโฉดปล้นทีพีไอแบบซ้ำซาก รวมถึงพันธมิตรของกระทรวงการคลัง ไล่เรียงจาก ***"ปตท.-กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)-กองทุนวายุภักกษ์1 และธนาคารออมสิน"*** ซึ่งในความจริง ***"คณะบุคคล"*** เหล่านี้ รวมถึงพันธมิตรใน ***"อุ้งมือ"*** ของกระทรวงการคลังดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่มี ***"ต้นทุนแม้แต่สตางค์เดียว"*** หรือหากฟันธงเปรี้ยงชนิดไม่เกรงใจต้องพูดให้ชัดว่า ***"คณะบุคคลดังกล่าวและพันธมิตรของคลังมีต้นทุนติดงบด้วยซ้ำ"*** กับธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านทีพีไอ แต่กลับอาศัยอำนาจมืดทางการเมืองของระบอบทักษิณเข้ามา ***"ชุบมือเปิบ"*** ผลประโยชน์แสนล้านจากทีพีไอกันอย่างหน้าตาเฉย
ในขณะที่ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอและกลุ่มตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ได้ ***"หว่านเม็ดเงินลงทุน"*** ในกิจการของทีพีไอ คิดเป็นเม็ดเงินจำนวนมากกว่า 100,000 ล้านบาท จนกระทั่งส่งผลให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของทีพีไอ มีทรัพย์สินพุ่งสูงกว่า 100,000 ล้านบาท แถมธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของทีพีไอ ยังมีความทันสมัยและครบวงจรที่สุดในเอเซียอาคเนย์และยังกล่าวได้ว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของทีพีไอ ได้กลายเป็น ***"ธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรงหรือเป็นธุรกิจเรือธง"*** ในแวดวงการค้าของโลกอีกด้วย
***"ทักษิณ"เล่นเกมข้ามชาติเหนือแผ่นดินมังกร..
ล็อบบี้ผู้นำจีนสกัด"ซิติก"ทุ่มฟื้นทีพีไอแสนล้าน***
มีความจริงต้องนำออกมาตีแผ่ให้กับ ***"คมช.-รัฐบาลขิงแก่และสังคม"*** ให้รับรู้กันอย่างทั่วถึง ในกรณีปมฉาวของกระบวนการฟื้นฟูกิจการทีพีไอ ทั้งนี้ที่ผ่านมากลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอและกลุ่มตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ได้พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะเข้าไป ***"ฟื้นฟูกิจการทีพีไอให้พ้นจากวิกฤติที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้นมา"*** โดยในช่วงระยะเวลาการฟื้นฟูกิจการก่อนที่กระทรวงการคลัง จะเข้ามาทำการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้กับหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลหรือเป็นหน่วยงานที่อยู่ใน ***"อุ้งมือของกระทรวงการคลัง"*** ทั้ง ***"ปตท.-กบข.-กองทุนวายุภักษ์1และธนาคารออมสิน"*** ถือว่าเป็นการอาศัยอำนาจมืดของระบอบทักษิณ เพื่อเป็นช่องทางในการ ***"พาเหรด"*** เข้ายึดกิจการทีพีไอไปจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอย่างไม่ชอบธรรมนั้น
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีพีไออย่างตระกูล ***"เลี่ยวไพรัตน์"*** ในฐานะ ***"ผู้ค้ำประกันหนี้ก้อนโตของทีพีไอ"*** ได้ทำการติดต่อของสนับสนุนทางการเงินจาก ***"ซิติก กรุ๊ป"*** ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านการลงทุนของรัฐบาลจีน ทั้งนี้เพื่อนำเงินมาชำระหนี้สินกับเจ้าตามแผนฟื้นฟูกิจการหนี้เดิมทั้งหมดในวงเงินกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มซิติก กรุ๊ปได้รับข้อเสนอและตอบรับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ โดยยินดีที่จะสนับสนุนทางด้านเงินทุนให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอเต็มที่ จนกระทั่งมีการออกแถลงข่าวที่ฮ่องกง
แต่ในข้อเท็จจริงของสถานการณ์ร้อน ๆ ในช่วงนั้นกลับปรากฏว่า มีคณะบุคคลในรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ากระโดดขวางกลุ่มซิติก กรุ๊ป โดยการเข้าล็อบบี้บุคคลในรัฐบาลจีนไม่ให้กลุ่มซิติก กรุ๊ปดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ และในที่สุดกลุ่มซิติก กรุ๊ป ได้ประกาศถอนตัวในเรื่องดังกล่าว
พลันที่กลุ่มซิติก กรุ๊ป ได้ประกาศถอนตัวจากการทุ่มเม็ดเงินกว่า 100,000 ล้านบาทเข้า ***"อุ้มกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอ"*** ได้สร้างความเสียหายให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมและกลุ่มตระกูลเลี่ยวไพรัตน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการสูญเสีย ***"โอกาสทอง"*** ที่จะสามารถช่วงชิงทีพีไอคืนจากกลุ่มลิ่วล้อของระบอบทักษิณที่ใช้อำนาจมืดทางการเมืองเข้าปล้นทีพีไอไปจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมก่อนหน้านี้
***ประวัติศาสตร์อัปยศระบอบทักษิณ
กรณี"ทีพีไอ-ดาวเทียมไอพีสตาร์" ***
มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ที่จะต้องบันทึกเบื้องหน้าเบื้องหลังในฉากสำคัญ ๆ ของประวัติศาสตร์ที่ระบอบทักษิณได้ใช้อำนาจทางการเมืองช่วงชิงทีพีไอไปจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม โดยเฉพาะในฉากสำคัญของเสี้ยววินาทีที่กลุ่มซิติก กรุ๊ปได้ฟันธงที่จะขนเงินกว่า 100,000 ล้านเข้ามาลงทุนในกิจการของทีพีไอ แต่พอข่าวดังกล่าวหลุดรอดออกไปรัฐบาลทักษิณถึงกับ ***"เต้นเป็นเจ้าเข้า"*** เนื่องจากแผนการยึดทีพีไอจะต้องล้มคืนไปต่อหน้าต่อตาอย่างแน่นอน หากไม่ดำเนินการอะไรสักอย่าง
จนในที่สุดระบอบทักษิณได้ส่ง ***"ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"*** ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบินลัดฟ้าไปล็อบบี้ ***"มาดาม อู๋อี๋"*** ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลจีน ทั้งนี้เพื่อมีคำสั่งด่วนจี๋ให้กลุ่มซิติก กรุ๊ประงับความช่วยเหลือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ ในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการ ***"ตอกฝาโลงทีพีไอ"*** หรือเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่า กลุ่มซิกติก กรุ๊ปจะหยุดให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินกับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ โดยโพกัสภาพไปที่ ***"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์"*** ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองตัวฉกาจของระบอบทักษิณในขณะนั้น ถึงขึ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้บินลัดฟ้าไปล็อบบี้ผู้นำของรัฐบาลจีนด้วยตัวเองอีกครั้ง โดยบนโต๊ะเจรจาในวันนั้นถึงขั้นมีการเสนอผลประโยชน์แสนล้านของทีพีไอ เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของกิจการ ***"ดาวเทียมไอพีสตาร์"*** ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจเรือธงของกลุ่มชินคอร์ปของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์กำลังมี "ปัญหาจุกอก"เข้าทำนองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่สามารถยิงขึ้นสู่วงโคจรได้ เพราะจะไปทับซ้อนกับวงโคจรของดาวเทียมจีนดวงหนึ่ง แต่ในที่สุดผลประโยชน์ข้ามชาติดังกล่าวก็ลงเอยด้วยดี โดยงานนี้ได้มีการนำกิจการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านของทีพีไอไปเป็น ***"ข้อต่อรองผลประโยชน์ข้ามชาติ"***
โดยเฉพาะ ***"นายใหญ่"*** ของระบอบทักษิณ ได้ลั่นปากกับรัฐบาลจีนในขณะนั้นท่วงทำนองที่ระบุว่า ***"รัฐบาลทักษิณยินดีที่จะยกกิจการทีพีไอให้กับรัฐบาลจีนในราคาถูก หากการเจรจาผลประโยชน์ข้ามชาติดังกล่าวได้ข้อยุติ"*** หรือเข้าข่ายในลักษณะที่ว่า ***"หากรัฐบาลจีนสนใจกิจการแสนล้านทีพีไอ ก็สามารถซื้อจากรัฐบาลไทย(ภายใต้ระบอบทักษิณ)ได้ในราคาถูก"*** จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้นำของรัฐบาลจีนได้มีคำสั่งด่วนให้ผู้บริหารของกลุ่มซิติก กรุ๊ปที่ฮ่องกงถอนตัวจากการเข้าร่วมลงทุนในกิจการของทีพีไอในทันที และในที่สุดทีพีไอ ก็ถึงคราวพ่ายแพ้ให้กับเกมการเมืองที่มีผลประโยชน์ข้ามชาติที่มีเม็ดเงินมากกว่า 100,000 ล้านบาทเป็นเดิมพันให้กับระบอบทักษิณอีกครั้งหนึ่ง
การที่หน่วยงานของรัฐและพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีการดำเนินการไปในทางที่ไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฏหมายที่ได้ให้อำนาจเอาไว้ และไม่ให้ความเป็นธรรมในกรณีกระบวนการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอนั้น มีปมเหตุสำคัญอย่างยิ่งมาจากการที่ ***"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์"*** ในฐานะผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นใหญ่และตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการบริหารราชการแผ่นดินของระบอบทักษิณอย่างร้อนแรงชนิดถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว โดยเฉพาะการออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทักษิณให้ทำการ ***"แก้ไขกฎหมายเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม"*** ตามที่รัฐบาลโดยพรรคไทยรักไทยได้กำหนดเป็นนโยบาย และให้สัญญาไว้กับประชาชนในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
รวมถึงการออกโรงคัดค้านการแปรรูปหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลหลายแห่ง การมีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflic of Interest) การทุจริตในเชิงนโยบายของบุคคลในคณะรัฐบาลของระบอบทักษิณ ตลอดจนการดำเนินนโยบายที่ไม่ถูกต้องของรัฐบาลภายใต้ระบอบทักษิณอีกหลายเรื่อง จนกระทั่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของระบอบทักษิณ ได้แสดง ***"ธาตุแท้"*** ถึงความเป็นนายกรัฐมนตรีเจ้าของฉายา ***"ปากไว"*** โดยได้ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงขั้นระบุว่า ***"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์"*** ในฐานะผู้บริหารของทีพีไอ เป็นผู้สนับสนุนและอยู่เบื้องหลังการชุมนุมคัดค้านของกลุ่มประชาชนมากมายหลายกลุ่ม ที่ได้ออกมาเสนอข้อเรียกร้องและประท้วงการดำเนินงานของรัฐบาลทักษิณในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของชาติ จนได้ส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อภาพพจน์และเสถียรภาพของรัฐบาลทักษิณจนสั่นคลอน จนในที่สุดผู้บริหารของทีพีไอดังกล่าวได้ถูกระบอบทักษิณจัดอยู่ในรายชื่อทำเนียบของบรรดา ***"ขาประจำ"*** ในอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว
***บทสรุปชะตากรรม "ทีพีไอ"..
"คมช.-รัฐบาลขิงแก่"ต้องคืนความชอบธรรม***
บทสรุปถึงบรรทัดนี้ต้องฟันธงเปรี้ยงลงไปว่า การดำเนินการของหน่วยงานรัฐและพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐในยุคที่ระบอบทักษิณเข้าครอบงำ ถือว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทั้งมีการกระทำที่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามที่กำกฎหมายกำหนด ซึ่งขัดต่อหลักการบริหารองค์กรของรัฐอย่างชนิดโจ่งแจ้ง เพราะในข้อเท็จจริงหน่วยงานของรัฐ จะต้องเน้นการบริหารงานในลักษณะ ***"โปร่งใส-ยุติธรรมและมีหลักธรรมาภิบาลที่ดี"*** ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า รัฐบาลของระบอบทักษิณได้เพรียกหามาตลอดระยะเวลา 5 ปีเศษที่กุมอำนาจบริหารบ้านเมือง
อีกทั้งหากพิจารณาในแง่กฎหมายบ้านเมือง การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐในยุคระบอบทักษิณเข้าแทรกแซงอย่างหนักหน่วงและรุนแรง ยังบ่งชี้ให้เห็นถึงการเข้าไปแทรกแซงกิจการของเอกชนอย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งขัดต่อหลักความเป็นอิสระในการประกอบอาชีพ และหลักการที่รับต้องสนับสนุนระบอบเศรษฐกิจเสรีตามมาตรา 50 และมาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งมีสภาพบังคับใช้ในขณะนั้น และถือว่าการกระทำดังกล่าวยังขัดต่อหลักสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานตามกฎบัติของสหประชาชาติและหลักการอันเป็นสากล
ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่คณะมนตรีรักษาความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)ที่มี ***"พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน"*** เป็นประธาน และรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มี ***"พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์"*** เป็นผู้นำชาติบ้านเมืองในปัจจุบัน จะต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการบริหารราชการแผ่นดินอีกเพียง 8 เดือนในการสร้างความ ***"สมานฉันท์"*** ของคนในประเทศชาติ ทั้งนี้เพื่อคืนความชอบธรรมให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ โดยการสั่งการให้กระทรวงการคลังไฟเขียว ***"ขายคืนหุ้นทีพีไอให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม"*** ไม่ใช่ปล่อยให้บรรดาลิ่วล้อของระบอบทักษิณ ยังนั่งตักตวงผลประโยชน์ของทีพีไอบนซากศพของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นปัจจุบัน!
.................................