ผู้จัดการรายวัน - สทท.แนะรัฐเร่งทำวิจัยสร้างฐานข้อมูลด้านการท่องเที่ยว นำทางเอกชนเพื่อใช้เป็นข้อมูลก่อนการลงทุน เผยท่องเที่ยวไทยโตแบบไร้ทิศ ส่งผลส่วนแบ่งทั้งรายได้และจำนวนในตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกลดลง ด้านอดีตผู้ว่า ททท.สับยับ รัฐบาล"ทักษิณ" ใช้ช่องทางท่องเที่ยวผลาญงบกันมันส์มือ ลงทุนผุดโครงการแต่ไม่คุ้มรายได้ ทั้งอีลิทการ์ด ลองเสตย์ ไนทซาฟารี ฉะผู้ว่าซีอีโอถลุงงบดูงานต่างประเทศ
วานนี้(12ก.พ.50)ในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง "ทิศทางการท่องเที่ยวไทยในปีหมูทอง"
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.)และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาในช่วง 10 ปี อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย เติบโตไปในสัดส่วนเดียวกันกับการเติบโตของการท่องเที่ยวโลก ทั้งเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ หรือ มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.6% และ 10.8% ตามลำดับ
ขณะที่การท่องเที่ยวของประเทศคู่แข่ง และประเทศใกล้เคียง อย่าง จีน มาเลเซีย เกาหลี และเวียดนาม มีการเติบโตในลักษณะที่สามารถเข้ามาเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของรายได้ เช่น เมื่อปี 2533 ประเทศจีนมีส่วนแบ่งรายได้ที่ได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในสัดส่วน 5% แต่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น มากกว่า 21% ขณะที่ จำนวน จากปี 2553 จีนมีส่วนแบ่งที่ 19% ปัจจุบันเพิ่มมาเป็น 28% ส่วนไทยมีส่วนแบ่งที่น้อยลง เช่น จากส่วนแบ่งด้านจำนวนที่เคยอยู่ที่ 9% ลดเหลือ 8% ส่วนรายได้นจาก9.4% เหลือ เพียง 7.2% ส่วนประเทศมาเลเซียมีส่วนแบ่งรายได้จาก 3.6%เพิ่มเป็น 6.1%
ทั้งหมดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ไทยได้นักท่องเที่ยวที่ด้อยคุณภาพมากขึ้น
แม้ตัวเลขจำนวนจะเติบโตทุกปี ขณะเดียวกันเป็นการเติบโตตามกระแสตลาดเท่านั้น
**จี้รัฐทำรีเสิร์ชนำทางเอกชน**
สาเหตุหลักมาจากภาครัฐบาลยังไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างถูกจุด
แต่เป็นการช่วยเหลือแบบไร้ทิศทาง ส่งผลให้ภาคเอกชนยังต้องพึ่งวิสัยทัศน์และความรู้สึกของตัวเองมากกว่าการเข้าถึงเทรดน์ตลาดอย่างแท้จริง ทำให้ส่วนหนึ่งของภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวต้องพบกับความล้มเหลวในการประกอบการ และส่งผลให้ประเทศไทยมีสินค้าที่ไม่ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างเพียงพอ
ดังนั้นสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสนใจกัภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เหมือนกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมในภาคผลิต เช่น ให้อินเซนทีฟแก่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ให้เหมือนกับที่ บีโอไอ ให้อินเซนทีฟภาคการผลิต ,การเร่งพัฒนาบุคคลากร ระบบการบริหารจัดการ เพื่อให้มีมาตรฐานเทียบชั้นสากล ,และการให้ความสำคัญกับการทำวิจัย และพัฒนา เพื่อให้เอกชนใช้เป็นข้อมูลไปพัฒนาสินค้าทางการท่องเที่ยวให้ตรงกับความต้องการของตลาด
"ประเทศไทยเก่งเรื่องการตลาดแต่กลับมีการเติบโตแบบช้าๆ ประเทศอื่นเขาเติบโตเร็วในสัดส่วนที่เร็วกว่า อีกทั้งยังต้องการให้รัฐบาลหาวิธีปลูกฟังสำนึกคนไทยให้ลดการใช้จ่ายต่อทริปที่ออกไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศให้ลดลงด้วย โดยเฉพาะเรื่องการชอปปิ้ง แต่ควรไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนและหาความรู้ ไม่ใช่มุ่งแค่มุ่งเรื่องชอปปิ้ง เพื่อให้ดุลบริการท่องเที่ยวของประเทศไทยเพิ่มขึ้น
เพราะปัจจุบันคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศปีละเพียง 2-3ล้านคน แต่มีตัวเลขการใช้จ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยวถึง 1 ใน 3 ของรายได้ที่ได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยในแต่ละปี "
นายกงกฤษกล่าว
***วิกฤติโลกร้อนกระทบท่องเที่ยว**
ทางด้านนายภราเดช พยัคฆวิเชียร ที่ปรึกษา 11 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อดีตผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า สิ่งที่จะเป็นปัจจัยลบจากปีนี้ไปในอนาคต ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบควรเร่งศึกษาเพื่อหาวิธีการรับมือและแก้ไข มีหลายปัจจัย ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ที่จะเข้ามากระทบกับภาคการท่องเที่ยว เช่น ฤดูกาลเล่นสกี จะสั้นลง หรือ จะกระทบกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เช่น การดำน้ำ ชมปะการัง เป็นต้น
นอกจากนั้นล่าสุด สายการบินจากกลุ่มอียู ได้ประกาศที่จะคิดค่าเซอร์ชาจน์จากลูกค้าที่ใช้บริการเพราะมีส่วนทำให้โลกร้อนจากการบินของเครื่องบิน เพื่อรณรงค์ให้ลดการเดินทางแบบระยะไกล แล้วหันมาเดินทางท่องเที่ยวในระยะใกล้ หรือในภูมิภาคเดียวกันมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ เช่นการชะลอตัวของการเติบโตในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปัญหาหาการอ่อนตัวของค่าเงินดอลล่าร์ ทั้งหมดจะส่งผลให้ตลาดระยะไกลที่จะเดินทางเข้ามาในเอเชียแปซิฟิกลดลง หรือมีการใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดขึ้น
ขณะเดียวกันการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจสายการบินโลว์คอสต์ ที่มองว่าจะช่วยส่งเสริมให้ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น ในทางกลับกันก็จะเป็นผลให้ประชาชนเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะการที่แอร์เอเชียประเทศมาเลเซีย ได้เปิดตัว "แอร์เอเชียเอ็กซ์" บินตรงจากกัวลาลัมเปอร์ ไปยังยุโรป ในราคาประหยัด ยิ่งทำให้คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเดินทางไปยุโรปมากขึ้นก็เป็นได้
"มองว่าการเติบโตในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมาถือเป็นการกินบุญเก่า
รายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ได้มาไม่คุ้มกับทรัพยากรที่ต้องสูญเสียไป"
**อัดรัฐบาลชุดเก่าถลุงงบอย่างไรค่า**
อย่างไรก็ตาม การใช้งบประมาณเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเป็นการใช้เงินที่ไม่ตรงจุด ไม่ได้นำเงินมาใช้เพื่อพัฒนาภาคเอกชนเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน แต่กลับไปทุ่มให้กับการจัดอีเว้นต์ ,การจัดจ้างออกาไนซ์ มากเกินความจำเป็น
ขณะเดียวกันในภาคลงทุน รัฐบาลยังใช้เงินไปกับการก่อตั้งองค์กรใหม่ๆ ที่ไม่เกิดประโยชน์หรือไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่าที่ควร เช่น การจัดตั้งบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด หรือโครงการอีลิทการ์ด การจัดตั้งบริษัท ไทยจัดการลองสเตย์ การจัดตั้ง สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศกาล(องค์การมหาชน) หรือ สสปน. และการก่อสร้างสวนสัตว์ ไนท์ ซาฟารี ทั้งหมดที่กล่าวมาใช้งบประมาณกลายพันล้านบาท แต่ไม่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวได้มากเท่าเม็ดเงินที่ต้องลงทุนไป อีกทั้ง ยังทำให้เกิดการทำงานที่ทับซ้อน ไม่เป็นหนึ่งเดียว เช่น สสปน. ซึ่ง ททท.จะมีหน่วยงานดูแลเรื่องจัดประชุมอยู่แล้ว เป็นต้น
"รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ใช้เงินเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวแบบฟุ่มเฟื่อยเกินเหตุ ไม่มีประโยชน์กับการท่องเที่ยวเท่าที่ควร เพราะส่วนใหญ่ เป็นคอสต์เซ็นเตอร์ มากกว่าที่จะเป็นโปรฟิตเซ็นเตอร์ คือ เป็นการใช้เงินเพื่อลงทุนแบบไม่คุ้มกับรายได้" อดีตผู้ว่าการ ททท. กล่าว
นอกจากนั้นการปรับโครงสร้างระบบราชการที่ผ่านมา โดยในภาคการท่องเที่ยวให้ผู้ว่าซีอีโอ เป็นผู้มีอำนาจใช้งบประมาณ ซึ่งผลจากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) พบว่าล้มเหลวกว่า 90% เพราะใช้เงินงบประมาณไปกับการดูงานในต่างประเทศ ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปดูเพื่ออะไรและจะกลับมาใช้อย่างไร เนื่องจากยังไม่เข้าใจถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเท่าที่ควร
วานนี้(12ก.พ.50)ในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง "ทิศทางการท่องเที่ยวไทยในปีหมูทอง"
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.)และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาในช่วง 10 ปี อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย เติบโตไปในสัดส่วนเดียวกันกับการเติบโตของการท่องเที่ยวโลก ทั้งเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ หรือ มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.6% และ 10.8% ตามลำดับ
ขณะที่การท่องเที่ยวของประเทศคู่แข่ง และประเทศใกล้เคียง อย่าง จีน มาเลเซีย เกาหลี และเวียดนาม มีการเติบโตในลักษณะที่สามารถเข้ามาเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของรายได้ เช่น เมื่อปี 2533 ประเทศจีนมีส่วนแบ่งรายได้ที่ได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในสัดส่วน 5% แต่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น มากกว่า 21% ขณะที่ จำนวน จากปี 2553 จีนมีส่วนแบ่งที่ 19% ปัจจุบันเพิ่มมาเป็น 28% ส่วนไทยมีส่วนแบ่งที่น้อยลง เช่น จากส่วนแบ่งด้านจำนวนที่เคยอยู่ที่ 9% ลดเหลือ 8% ส่วนรายได้นจาก9.4% เหลือ เพียง 7.2% ส่วนประเทศมาเลเซียมีส่วนแบ่งรายได้จาก 3.6%เพิ่มเป็น 6.1%
ทั้งหมดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ไทยได้นักท่องเที่ยวที่ด้อยคุณภาพมากขึ้น
แม้ตัวเลขจำนวนจะเติบโตทุกปี ขณะเดียวกันเป็นการเติบโตตามกระแสตลาดเท่านั้น
**จี้รัฐทำรีเสิร์ชนำทางเอกชน**
สาเหตุหลักมาจากภาครัฐบาลยังไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างถูกจุด
แต่เป็นการช่วยเหลือแบบไร้ทิศทาง ส่งผลให้ภาคเอกชนยังต้องพึ่งวิสัยทัศน์และความรู้สึกของตัวเองมากกว่าการเข้าถึงเทรดน์ตลาดอย่างแท้จริง ทำให้ส่วนหนึ่งของภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวต้องพบกับความล้มเหลวในการประกอบการ และส่งผลให้ประเทศไทยมีสินค้าที่ไม่ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างเพียงพอ
ดังนั้นสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสนใจกัภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เหมือนกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมในภาคผลิต เช่น ให้อินเซนทีฟแก่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ให้เหมือนกับที่ บีโอไอ ให้อินเซนทีฟภาคการผลิต ,การเร่งพัฒนาบุคคลากร ระบบการบริหารจัดการ เพื่อให้มีมาตรฐานเทียบชั้นสากล ,และการให้ความสำคัญกับการทำวิจัย และพัฒนา เพื่อให้เอกชนใช้เป็นข้อมูลไปพัฒนาสินค้าทางการท่องเที่ยวให้ตรงกับความต้องการของตลาด
"ประเทศไทยเก่งเรื่องการตลาดแต่กลับมีการเติบโตแบบช้าๆ ประเทศอื่นเขาเติบโตเร็วในสัดส่วนที่เร็วกว่า อีกทั้งยังต้องการให้รัฐบาลหาวิธีปลูกฟังสำนึกคนไทยให้ลดการใช้จ่ายต่อทริปที่ออกไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศให้ลดลงด้วย โดยเฉพาะเรื่องการชอปปิ้ง แต่ควรไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนและหาความรู้ ไม่ใช่มุ่งแค่มุ่งเรื่องชอปปิ้ง เพื่อให้ดุลบริการท่องเที่ยวของประเทศไทยเพิ่มขึ้น
เพราะปัจจุบันคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศปีละเพียง 2-3ล้านคน แต่มีตัวเลขการใช้จ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยวถึง 1 ใน 3 ของรายได้ที่ได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยในแต่ละปี "
นายกงกฤษกล่าว
***วิกฤติโลกร้อนกระทบท่องเที่ยว**
ทางด้านนายภราเดช พยัคฆวิเชียร ที่ปรึกษา 11 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อดีตผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า สิ่งที่จะเป็นปัจจัยลบจากปีนี้ไปในอนาคต ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบควรเร่งศึกษาเพื่อหาวิธีการรับมือและแก้ไข มีหลายปัจจัย ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ที่จะเข้ามากระทบกับภาคการท่องเที่ยว เช่น ฤดูกาลเล่นสกี จะสั้นลง หรือ จะกระทบกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เช่น การดำน้ำ ชมปะการัง เป็นต้น
นอกจากนั้นล่าสุด สายการบินจากกลุ่มอียู ได้ประกาศที่จะคิดค่าเซอร์ชาจน์จากลูกค้าที่ใช้บริการเพราะมีส่วนทำให้โลกร้อนจากการบินของเครื่องบิน เพื่อรณรงค์ให้ลดการเดินทางแบบระยะไกล แล้วหันมาเดินทางท่องเที่ยวในระยะใกล้ หรือในภูมิภาคเดียวกันมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ เช่นการชะลอตัวของการเติบโตในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปัญหาหาการอ่อนตัวของค่าเงินดอลล่าร์ ทั้งหมดจะส่งผลให้ตลาดระยะไกลที่จะเดินทางเข้ามาในเอเชียแปซิฟิกลดลง หรือมีการใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดขึ้น
ขณะเดียวกันการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจสายการบินโลว์คอสต์ ที่มองว่าจะช่วยส่งเสริมให้ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น ในทางกลับกันก็จะเป็นผลให้ประชาชนเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะการที่แอร์เอเชียประเทศมาเลเซีย ได้เปิดตัว "แอร์เอเชียเอ็กซ์" บินตรงจากกัวลาลัมเปอร์ ไปยังยุโรป ในราคาประหยัด ยิ่งทำให้คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเดินทางไปยุโรปมากขึ้นก็เป็นได้
"มองว่าการเติบโตในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมาถือเป็นการกินบุญเก่า
รายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ได้มาไม่คุ้มกับทรัพยากรที่ต้องสูญเสียไป"
**อัดรัฐบาลชุดเก่าถลุงงบอย่างไรค่า**
อย่างไรก็ตาม การใช้งบประมาณเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเป็นการใช้เงินที่ไม่ตรงจุด ไม่ได้นำเงินมาใช้เพื่อพัฒนาภาคเอกชนเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน แต่กลับไปทุ่มให้กับการจัดอีเว้นต์ ,การจัดจ้างออกาไนซ์ มากเกินความจำเป็น
ขณะเดียวกันในภาคลงทุน รัฐบาลยังใช้เงินไปกับการก่อตั้งองค์กรใหม่ๆ ที่ไม่เกิดประโยชน์หรือไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่าที่ควร เช่น การจัดตั้งบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด หรือโครงการอีลิทการ์ด การจัดตั้งบริษัท ไทยจัดการลองสเตย์ การจัดตั้ง สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศกาล(องค์การมหาชน) หรือ สสปน. และการก่อสร้างสวนสัตว์ ไนท์ ซาฟารี ทั้งหมดที่กล่าวมาใช้งบประมาณกลายพันล้านบาท แต่ไม่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวได้มากเท่าเม็ดเงินที่ต้องลงทุนไป อีกทั้ง ยังทำให้เกิดการทำงานที่ทับซ้อน ไม่เป็นหนึ่งเดียว เช่น สสปน. ซึ่ง ททท.จะมีหน่วยงานดูแลเรื่องจัดประชุมอยู่แล้ว เป็นต้น
"รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ใช้เงินเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวแบบฟุ่มเฟื่อยเกินเหตุ ไม่มีประโยชน์กับการท่องเที่ยวเท่าที่ควร เพราะส่วนใหญ่ เป็นคอสต์เซ็นเตอร์ มากกว่าที่จะเป็นโปรฟิตเซ็นเตอร์ คือ เป็นการใช้เงินเพื่อลงทุนแบบไม่คุ้มกับรายได้" อดีตผู้ว่าการ ททท. กล่าว
นอกจากนั้นการปรับโครงสร้างระบบราชการที่ผ่านมา โดยในภาคการท่องเที่ยวให้ผู้ว่าซีอีโอ เป็นผู้มีอำนาจใช้งบประมาณ ซึ่งผลจากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) พบว่าล้มเหลวกว่า 90% เพราะใช้เงินงบประมาณไปกับการดูงานในต่างประเทศ ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปดูเพื่ออะไรและจะกลับมาใช้อย่างไร เนื่องจากยังไม่เข้าใจถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเท่าที่ควร