“หมอมงคล” ย้ำเจรจาต่อรองราคายาต้องลดลง 50 % โดยไม่เปลี่ยนสูตรยา เผยราคาต้นทุนคาเลตตร้าแค่ 3 บาท ต่อรองเหลือ 7 บาทไม่ได้ขอมากไป เตรียมออกสมุดปกขาวแจงยิบข้อเท็จจริงการบังคับใช้สิทธิ พร้อมเจรจาพรีม่าขอลดราคายาที่มีความจำเป็นในอนาคตเพิ่มเพื่อไม่ต้องบังคับใช้สิทธิ ฟุ้ง 4 เดือนผลงานเพียบทั้งยกเลิกเก็บ 30 บาท การบังคับใช้สิทธิ ขณะที่สมาชิก สนช. 28 คน เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายคุมเหล้าเบียร์ประกบร่างของรัฐบาลเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 14 ก.พ. นี้
นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า การเจรจาต่อรองราคายาในวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ระหว่างคณะเจรจาเรื่องการบังคับใช้สิทธิบัตรยาต้านไวรัสเอดส์กับบริษัทแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส จำกัด ผู้ทรงสิทธิบัตรยาคาเรตตร้านั้น เป็นเพียงการเจรจาเบื้องต้นยังไม่ใช่ผลสรุปสุดท้าย แต่ยืนยันว่าการต่อรองราคากับบริษัทยาอย่างน้อยจะต้องสามารถลดลงได้ถึง 50% โดยที่บริษัทจะเปลี่ยนสูตรยาโดยลดตัวยาลงไม่ได้ ไม่ยอมแน่ให้มีการเปลี่ยนแปลงสูตรเด็ดขาด
ส่วนการยอมเจรจาและให้เวลากับบริษัทยาในการพัฒนาสูตรยาอีก 6 เดือน นั้นคงไม่ได้เป็นการยอมอ่อนข้อให้กับบริษัทยาแต่ถือว่าเป็นการเกื้อกูลกัน ซึ่งสธ.ได้ตั้งธงไว้แล้ว อย่างยาสลายลิ่มเลือดหัวใจและไขมัน (โคพิโดเกรล) หรือพลาวิคซ์ ที่สธ.ตั้งธงไว้จากราคา 70 บาทต่อเม็ด ไว้เหลือเพียง 7 บาท ถ้าบริษัทจะลดให้เหลือ 7.5 -8 บาท ก็พอใจแล้ว เพราะเนื่องจากคำนวณต้นทุนแล้ว ทราบมาว่า ราคายาดังกล่าวเหลือเพียง 3 บาทเท่านั้น
ด้านนพ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลในการจัดทำสมุดปกขาวดังกล่าว ซึ่งไม่ทราบว่าจะเสร็จเมื่อใด แต่จะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด
ขณะที่ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ อาจารย์ประจำหน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาทราบว่า บริษัทยาเคยใช้วิธีการดังกล่าวทั้งการลดปริมาณตัวยาจาก 100 มิลลิกรัมต่อแคปซูลเหลือ 50 มิลลิกรัมต่อแคปซูล เท่ากับว่าประชาชนต้องทานยาเพิ่มจำนวนขึ้น หรือจะเป็นวิธีที่หาวัตถุดิบที่ลดคุณภาพลงมา สำหรับผลิตยาราคาถูก เรื่องเหล่านี้เป็นกลยุทธ์ของบริษัทยาที่เป็นที่ทราบกันดีทั่วโลก
วันเดียวกัน นพ.มงคลและผู้บริหารระดับสูงได้ต้อนรับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมเยียนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านงานสาธารณสุขและประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
ทั้งนี้ 4 เดือนที่ผ่านมา สธ.ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานหลายด้าน เช่น การยกเลิกค่าธรรมเนียม 30 บาทโครงการหลักประกันสุขภาพ เพิ่มค่ารายหัวเป็น 1,899 บาท/คน/ปี และตั้งศูนย์แพทย์ชุมชน 21 แห่ง จะเริ่มทยอยเปิดในเดือนเมษายน 2550 เป็นต้นไป รวมทั้งการผลิตยาโดยบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ เป็นต้น
ขณะที่นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกสธ. กล่าวสรุปผลการประชุมว่า สธ.ขอให้สนช.สนับสนุนร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกฤษฎีกาและเตรียมนำเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในเร็วๆ นี้ โดยสนช.แจ้งว่าสนช.ได้มีการเข้าชื่อ 28 รายชื่อเพื่อเสนอร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ และนำมาพิจารณาควบคู่กับร่างพ.ร.บ.ฉบับของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสนช.เห็นด้วยในการผลักดันร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชน
ส่วนกรณีการบังคับใช้สิทธิที่ประชุมเห็นว่าการดำเนินการของสธ.ถูกต้องมาถูกทิศทางแล้ว อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติให้สธ.ดำเนินการออกสมุดปกขาว เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้ทราบถึงความเป็นมาการบังคับใช้สิทธิยาทั้ง 3 ตัว และให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เป็นผู้พิมพ์เผยแพร่ต่อไป
นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า การเจรจาต่อรองราคายาในวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ระหว่างคณะเจรจาเรื่องการบังคับใช้สิทธิบัตรยาต้านไวรัสเอดส์กับบริษัทแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส จำกัด ผู้ทรงสิทธิบัตรยาคาเรตตร้านั้น เป็นเพียงการเจรจาเบื้องต้นยังไม่ใช่ผลสรุปสุดท้าย แต่ยืนยันว่าการต่อรองราคากับบริษัทยาอย่างน้อยจะต้องสามารถลดลงได้ถึง 50% โดยที่บริษัทจะเปลี่ยนสูตรยาโดยลดตัวยาลงไม่ได้ ไม่ยอมแน่ให้มีการเปลี่ยนแปลงสูตรเด็ดขาด
ส่วนการยอมเจรจาและให้เวลากับบริษัทยาในการพัฒนาสูตรยาอีก 6 เดือน นั้นคงไม่ได้เป็นการยอมอ่อนข้อให้กับบริษัทยาแต่ถือว่าเป็นการเกื้อกูลกัน ซึ่งสธ.ได้ตั้งธงไว้แล้ว อย่างยาสลายลิ่มเลือดหัวใจและไขมัน (โคพิโดเกรล) หรือพลาวิคซ์ ที่สธ.ตั้งธงไว้จากราคา 70 บาทต่อเม็ด ไว้เหลือเพียง 7 บาท ถ้าบริษัทจะลดให้เหลือ 7.5 -8 บาท ก็พอใจแล้ว เพราะเนื่องจากคำนวณต้นทุนแล้ว ทราบมาว่า ราคายาดังกล่าวเหลือเพียง 3 บาทเท่านั้น
ด้านนพ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลในการจัดทำสมุดปกขาวดังกล่าว ซึ่งไม่ทราบว่าจะเสร็จเมื่อใด แต่จะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด
ขณะที่ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ อาจารย์ประจำหน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาทราบว่า บริษัทยาเคยใช้วิธีการดังกล่าวทั้งการลดปริมาณตัวยาจาก 100 มิลลิกรัมต่อแคปซูลเหลือ 50 มิลลิกรัมต่อแคปซูล เท่ากับว่าประชาชนต้องทานยาเพิ่มจำนวนขึ้น หรือจะเป็นวิธีที่หาวัตถุดิบที่ลดคุณภาพลงมา สำหรับผลิตยาราคาถูก เรื่องเหล่านี้เป็นกลยุทธ์ของบริษัทยาที่เป็นที่ทราบกันดีทั่วโลก
วันเดียวกัน นพ.มงคลและผู้บริหารระดับสูงได้ต้อนรับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมเยียนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านงานสาธารณสุขและประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
ทั้งนี้ 4 เดือนที่ผ่านมา สธ.ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานหลายด้าน เช่น การยกเลิกค่าธรรมเนียม 30 บาทโครงการหลักประกันสุขภาพ เพิ่มค่ารายหัวเป็น 1,899 บาท/คน/ปี และตั้งศูนย์แพทย์ชุมชน 21 แห่ง จะเริ่มทยอยเปิดในเดือนเมษายน 2550 เป็นต้นไป รวมทั้งการผลิตยาโดยบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ เป็นต้น
ขณะที่นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกสธ. กล่าวสรุปผลการประชุมว่า สธ.ขอให้สนช.สนับสนุนร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกฤษฎีกาและเตรียมนำเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในเร็วๆ นี้ โดยสนช.แจ้งว่าสนช.ได้มีการเข้าชื่อ 28 รายชื่อเพื่อเสนอร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ และนำมาพิจารณาควบคู่กับร่างพ.ร.บ.ฉบับของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสนช.เห็นด้วยในการผลักดันร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชน
ส่วนกรณีการบังคับใช้สิทธิที่ประชุมเห็นว่าการดำเนินการของสธ.ถูกต้องมาถูกทิศทางแล้ว อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติให้สธ.ดำเนินการออกสมุดปกขาว เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้ทราบถึงความเป็นมาการบังคับใช้สิทธิยาทั้ง 3 ตัว และให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เป็นผู้พิมพ์เผยแพร่ต่อไป