มีเอกสารชุดหนึ่งที่เป็นของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้จัดทำขึ้นมาเพื่ออธิบายสรุปปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตก็สามารถจะหาอ่านได้ที่เว็บไซต์ที่ชื่อ www.checkairport.com
เอกสารชุดนี้มีชื่อว่า “รายงานโดยสังเขป ครั้งที่ 1” ความคืบหน้าของการสรุปรวมปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาในส่วนปัญหาของผู้โดยสาร พนักงาน และประชาชนภายในอาคารสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะเน้นด้านงานก่อสร้างทั่วไป
เอกสารรายงานฉบับนี้เป็น “ภารกิจการแก้ปัญหาด้านอาคาร (Hardware) เท่านั้น ซึ่งถือเป็นรายงานปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาฉบับแรกที่เป็นทางการ โดยสาระจะประกอบไปด้วย ปัญหา สาเหตุปัญหา ผู้ที่ได้รับผลกระทบ แนวทางการแก้ปัญหา กรอบเวลา และผู้รับผิดชอบ”
ไม่น่าเชื่อว่าปัญหาของสนามบินสุวรรณภูมินั้นจะมีมากมายจนถูกบันทึกในเอกสารฉบับนี้ถึง 61 กรณี ตัวอย่างเช่น ทางวิ่งชำรุด, ความไม่พร้อมของทางหนีภัย, ไม่มีแบบก่อสร้าง, การสัญจรบนทางวิ่งวุ่นวายระหว่างเครื่องบินและรถบัส, การตั้งบูธต่างๆ มากมายบังป้ายทางเข้าออกห้องน้ำ, ระบบปรับอากาศไม่พอเพียงต่อความร้อนที่มาจากหลังคากระจก, ความเสี่ยงสูงกับภัยการก่อการร้าย ฯลฯ
ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ ปัญหาบางอย่างเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้โดยสารที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และอาจจะยังแก้ไขไม่ได้อย่างทันท่วงที!!!
จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมจึงมีการเปิดสนามบินดอนเมืองให้เป็นสนามบินนานาชาติควบคู่ไปกับการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจมากกว่าก็ตรงที่รายงานทางการฉบับนี้ได้กล่าวถึงหัวข้อ “ข่าวลือ ตำนานเล่าขานแห่งสนามบิน” ด้วย โดยรายงานฉบับดังกล่าวได้ระบุเอาไว้ว่า:
“มีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องลึกลับ เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิ มีการส่งต่อแพร่สะพัด ทั้งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และโดยการบอกแบบปากต่อปาก และโดยไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพใดๆ ออกมาให้ความจริง สยบหรือสกัดกั้นการแพร่กระจายของข่าวลือ กลับปล่อยให้เป็นเรื่องเล่าสนุกปาก เขย่าขวัญ สั่นประสาทไปอย่างไม่มีการควบคุม เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของสนามบินโดยเร่งด่วน การนำเสนอความจริงด้วยคำอธิบายที่เป็นเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์กับทุกๆข่าวลือ เป็นสิ่งที่ควรดำเนินการเพื่อให้ประชาชน ได้หลุดข่าวลือที่งมงายเหล่านี้โดยเร็ว”
ทำให้มีหลายคนสงสัยว่าข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องลึกลับที่ว่านั้นคืออะไร?
รายงานฉบับดังกล่าวของ ทอท. ได้ระบุอีกว่า ข่าวลือที่ว่านั้น ได้แก่กรณี มีการส่งต่ออีเมล เรื่อง “ผีคนงานก่อสร้างในเสาและมีการตั้งโต๊ะหมู่บูชา การตั้งตู้บริจาค หรือข่าวผีเจ้าที่เฮี้ยน”
อดสงสัยไม่ได้ว่าข่าวที่ว่านั้นมาจากที่ไหน ก็บังเอิญมีผู้แนะนำให้อ่านเว็บไซต์รายงานคำทำนายของ อ.กิจจา ทวีกุลกิจ “หมอนิด” ที่ใช้วิธีการทำนายทางการเมืองโดยอาศัยญาณที่เคยสร้างความฮือฮามาแล้ว
บทความนั้นชื่อว่า “อาถรรพณ์ หนองงูเห่า” ที่เขียนเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2550 โดยความตอนหนึ่งอธิบายว่า
“ข่าวลือที่คนเชื่อว่าน่าจะมีมูลความจริงคือ เสาต้นหนึ่งบริเวณสายพาน 9 ซึ่งเป็นห้องพักของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของการท่าอากาศยาน ลือกันว่ามีคนงานหญิงชาวพม่าพลัดตกลงไปในช่องหล่อคอนกรีต คนที่อยู่ด้านบนไม่รู้ว่ามีคนตกลงไปในหลุมคอนกรีต จึงเทปูนลงไปในช่องเสาคอนกรีต มารู้อีกครั้งระหว่างที่มีการนำบล็อกออกมา จึงเห็นเป็นรูปตัวคน วิศวกรพยายามกะเทาะเอาศพออกมา แต่ไม่สำเร็จ จึงต้องตัดเอาส่วนที่ยื่นออกมา หลังจากนั้นก็โบกปูนทับ”
ส่วนเรื่องผีเฮี้ยนนั้น น่าจะมาจากบทความเดียวกัน ที่ อ.กิจจา ทวีกุลกิจ หรือ “หมอนิด” ได้ไปประกอบพิธีขอขมาเจ้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อสื่อสารกับเหล่าวิญญาณแห่งนี้ว่าเป็นวิญญาณอะไร พร้อมอธิบายว่าหลายคนรู้หรือไม่ว่า วิญญาณอาฆาต เจ้าที่พยาบาทในสนามบินสุวรรณภูมินั้นมีมากและรุนแรง ในไม่ช้านี้อาจจะมีข่าวที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
หมอนิด ยังทำนายอีกว่า นอกจากผู้ก่อสร้างต้องปวดหัวกับการที่ต้องคอยแก้ไขจุกจิกไม่สิ้นสุดแล้ว รันเวย์สนามบินยังมีปัญหาใหญ่ ต้องซ่อมแซมแทบทุกจุด แล้วโครงสร้างอาคารยังจะมีปัญหาใหญ่อีก
ที่สำคัญต้องระวังและต้องรอบคอบให้มากสำหรับผู้ที่รับผิดชอบ หอการบินที่ดูแลการขึ้นลงของเครื่องบินอย่าได้เผลอ หรือประมาทเป็นอันขาด เพราะความเฮี้ยนของสถานที่สามารถทำให้สับสนหรือสะเพร่าได้โดยไม่ตั้งใจ อาจเกิดข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
นอกจากนี้สนามบินสุวรรณภูมิจะยังส่งผลให้ใครบางคนต้องเจอคุกอย่างแน่นอน และเชื่อว่ามีคนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิต้องถูกยึดทรัพย์
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเนื้อหาที่ ทอท. ระบุเอาไว้ในรายงานว่าเป็นข่าวลือ!
รายงานดังกล่าวบอกว่าคนที่ต้องรับผิดชอบในการแก้ไขตำนานและข่าวลือเรื่องนี้ก็คือ ทอท. ซึ่งมีกำหนดกรอบเวลาในการทำงานวันที่ 31 มกราคม 2550
แต่ในความเป็นจริงถึงวันนี้ก็ไม่เห็นจะมีใครใน ทอท.ออกมาเป็นเจ้าภาพนำเสนอความจริงที่อธิบายเป็นเหตุผลในเรื่องนี้อย่างจริงจังกันเสียที และเรื่องแบบนี้เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลก็ไม่รู้ว่าใครใน ทอท.จะเป็นผู้สยบข่าวในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ในเรื่องความเชื่อและสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นพิสูจน์และหักล้างกันได้ยาก ดังนั้นในสังคมไทยส่วนใหญ่หากบอกว่าควรทำอะไรในทางพิธีกรรมเพื่อให้เกิดความสบายใจได้ก็มักจะทำกัน
แต่ในเรื่องความปลอดภัยของสนามบินไม่ต้องรอการพิสูจน์ทางไสยศาสตร์ แต่สามารถมองเห็นด้วยตาในเรื่องความไม่ปลอดภัย และใช้การคำนวณทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เพื่อให้ได้ตัวเลขที่สามารถอธิบายว่าใช้งานได้ด้วยเพราะเหตุผลอะไร?
ปัญหาในวันนี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมตรงที่ไม่มีใครออกมารับประกันได้ว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีความปลอดภัยหรือไม่ หากซ่อมแซมและจะหายหรือไม่ และหากจะแก้ให้หายได้จะต้องใช้งบประมาณอีกเท่าใด และคุ้มค่าหรือไม่?
ปัญหาทางวิ่งชำรุดอยู่ในรายงานฉบับดังกล่าวของ ทอท. ระบุว่า ทางขับชำรุดโดย “ไม่สามารถคาดเดาการชำรุด” โดยมีสาเหตุที่อาจจะเกิดจากการก่อสร้าง โดยมีผลกระทบคือเป็น “อันตราย” และมีผลกับปริมาณการรองรับการสัญจรของเครื่องบิน
รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุอีกว่าการจราจรภายในทางวิ่งสนามบินสุวรรณภูมินั้น ยังไม่มีการจัดการระบบไฟจราจรอย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดความสับสน เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและความเสียหายต่างๆ และมีผลกระทบโดยเป็นอันตรายกับชีวิตและทรัพย์สิน
รายงานของ ทอท. ออกมาขนาดระบุว่าเป็น “อันตราย” ก็ไม่รู้ว่าจะดึงดันในการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิบางส่วนต่อไปได้อย่างไร?
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2550 คณะกรรมการในการตรวจสอบหาสาเหตุในการทรุดตัวของสนามบินจะรายงานความคืบหน้าในผลของการตรวจสอบ
แต่เนื่องจากวิธีการจัดเก็บตัวอย่างวัสดุในชั้นทรายที่อยู่ใต้ผิวทางที่ได้ทำลงไปนั้น ไม่ได้จัดเก็บในสภาพที่จำลองเหมือนกับใต้ผิวทาง และการจัดเก็บนั้นก็มีปัญหาอยู่มากเพราะชั้นทรายนั้นมีสภาพชุ่มน้ำและอุ้มน้ำอยู่
เมื่อชั้นทรายที่ชุ่มน้ำก็ได้ทำให้น้ำนั้นได้ไหลออกและชั้นทรายที่เก็บตัวอย่างมานั้นก็เปลี่ยนสภาพไปไม่สามารถจำลองสภาพใต้ดินได้
แม้ว่าจะไม่สามารถจำลองสภาพใต้ดินได้ทั้งหมด แต่ในทางวิศวกรรมก็น่าจะสามารถทดสอบหาอัตราการระบายน้ำของชั้นทราย ความชื้น และอัตราการทรุดตัวได้จากการเก็บตัวอย่างโดยใช้เครื่องมือทดลองทางวิศวกรรมได้ “แต่อาจจะไม่สามารถทดสอบการรับน้ำหนักของชั้นทรายให้จำลองเหมือนสภาพใต้ดินได้”
ทุกวันนี้จึงไม่มีใครกล้าออกมารับประกันว่าสนามบินจะสามารถใช้งานได้ต่อไปหรือไม่ และถ้าจะพยายามฝืนที่จะใช้ต่อจะรับน้ำหนักได้ด้วยตัวเลขเท่าใด
เมื่อไม่มีใครสามารถให้ตัวเลขได้ชัดเจน ก็แปลว่าไม่สามารถมีใครออกมารับประกันได้อีกว่าจะมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหนเมื่อใช้สนามบิน
ในทางวิศวกรรมแล้วหากสามารถมองเห็นด้วยตาถึงอาการวิบัติที่เริ่มก่อตัวขึ้น สิ่งที่สมควรจะต้องทำอย่างยิ่งก็คือห้ามประชาชนไปใช้งานก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีตัวเลขรองรับได้ว่าสามารถใช้งานต่อไปด้วยข้อจำกัดอะไรบ้าง!!!
เหมือนกับอาคารใดที่ถูกไฟไหม้หรือมีการทรุดตัวที่ยังไม่แน่ชัดด้วยตัวเลขว่าจะสามารถใช้งานได้ต่อไปหรือไม่ ก็ต้องมีการปิดล้อมห้ามคนไปใช้งานจนกว่าจะมีการตรวจสอบเป็นที่ชัดเจนให้เรียบร้อยก่อน
วันนี้เมื่อพิสูจน์ตอบไม่ได้ด้วยการทดสอบและตัวเลขที่ชัดเจน ตลอดจนไม่มีใครออกมารับประกันได้ สิ่งที่สมควรจะต้องทำก็คือต้องปิดสนามบินเสียก่อนเพื่อพิสูจน์ความจริง!
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล “ทางไสยศาสตร์” หรือ “ทางวิศวกรรมศาสตร์” การปิดสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อความปลอดภัยของประชาชนก็สมควรแก่เวลาแล้ว
เอกสารชุดนี้มีชื่อว่า “รายงานโดยสังเขป ครั้งที่ 1” ความคืบหน้าของการสรุปรวมปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาในส่วนปัญหาของผู้โดยสาร พนักงาน และประชาชนภายในอาคารสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะเน้นด้านงานก่อสร้างทั่วไป
เอกสารรายงานฉบับนี้เป็น “ภารกิจการแก้ปัญหาด้านอาคาร (Hardware) เท่านั้น ซึ่งถือเป็นรายงานปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาฉบับแรกที่เป็นทางการ โดยสาระจะประกอบไปด้วย ปัญหา สาเหตุปัญหา ผู้ที่ได้รับผลกระทบ แนวทางการแก้ปัญหา กรอบเวลา และผู้รับผิดชอบ”
ไม่น่าเชื่อว่าปัญหาของสนามบินสุวรรณภูมินั้นจะมีมากมายจนถูกบันทึกในเอกสารฉบับนี้ถึง 61 กรณี ตัวอย่างเช่น ทางวิ่งชำรุด, ความไม่พร้อมของทางหนีภัย, ไม่มีแบบก่อสร้าง, การสัญจรบนทางวิ่งวุ่นวายระหว่างเครื่องบินและรถบัส, การตั้งบูธต่างๆ มากมายบังป้ายทางเข้าออกห้องน้ำ, ระบบปรับอากาศไม่พอเพียงต่อความร้อนที่มาจากหลังคากระจก, ความเสี่ยงสูงกับภัยการก่อการร้าย ฯลฯ
ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ ปัญหาบางอย่างเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้โดยสารที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และอาจจะยังแก้ไขไม่ได้อย่างทันท่วงที!!!
จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมจึงมีการเปิดสนามบินดอนเมืองให้เป็นสนามบินนานาชาติควบคู่ไปกับการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจมากกว่าก็ตรงที่รายงานทางการฉบับนี้ได้กล่าวถึงหัวข้อ “ข่าวลือ ตำนานเล่าขานแห่งสนามบิน” ด้วย โดยรายงานฉบับดังกล่าวได้ระบุเอาไว้ว่า:
“มีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องลึกลับ เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิ มีการส่งต่อแพร่สะพัด ทั้งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และโดยการบอกแบบปากต่อปาก และโดยไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพใดๆ ออกมาให้ความจริง สยบหรือสกัดกั้นการแพร่กระจายของข่าวลือ กลับปล่อยให้เป็นเรื่องเล่าสนุกปาก เขย่าขวัญ สั่นประสาทไปอย่างไม่มีการควบคุม เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของสนามบินโดยเร่งด่วน การนำเสนอความจริงด้วยคำอธิบายที่เป็นเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์กับทุกๆข่าวลือ เป็นสิ่งที่ควรดำเนินการเพื่อให้ประชาชน ได้หลุดข่าวลือที่งมงายเหล่านี้โดยเร็ว”
ทำให้มีหลายคนสงสัยว่าข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องลึกลับที่ว่านั้นคืออะไร?
รายงานฉบับดังกล่าวของ ทอท. ได้ระบุอีกว่า ข่าวลือที่ว่านั้น ได้แก่กรณี มีการส่งต่ออีเมล เรื่อง “ผีคนงานก่อสร้างในเสาและมีการตั้งโต๊ะหมู่บูชา การตั้งตู้บริจาค หรือข่าวผีเจ้าที่เฮี้ยน”
อดสงสัยไม่ได้ว่าข่าวที่ว่านั้นมาจากที่ไหน ก็บังเอิญมีผู้แนะนำให้อ่านเว็บไซต์รายงานคำทำนายของ อ.กิจจา ทวีกุลกิจ “หมอนิด” ที่ใช้วิธีการทำนายทางการเมืองโดยอาศัยญาณที่เคยสร้างความฮือฮามาแล้ว
บทความนั้นชื่อว่า “อาถรรพณ์ หนองงูเห่า” ที่เขียนเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2550 โดยความตอนหนึ่งอธิบายว่า
“ข่าวลือที่คนเชื่อว่าน่าจะมีมูลความจริงคือ เสาต้นหนึ่งบริเวณสายพาน 9 ซึ่งเป็นห้องพักของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของการท่าอากาศยาน ลือกันว่ามีคนงานหญิงชาวพม่าพลัดตกลงไปในช่องหล่อคอนกรีต คนที่อยู่ด้านบนไม่รู้ว่ามีคนตกลงไปในหลุมคอนกรีต จึงเทปูนลงไปในช่องเสาคอนกรีต มารู้อีกครั้งระหว่างที่มีการนำบล็อกออกมา จึงเห็นเป็นรูปตัวคน วิศวกรพยายามกะเทาะเอาศพออกมา แต่ไม่สำเร็จ จึงต้องตัดเอาส่วนที่ยื่นออกมา หลังจากนั้นก็โบกปูนทับ”
ส่วนเรื่องผีเฮี้ยนนั้น น่าจะมาจากบทความเดียวกัน ที่ อ.กิจจา ทวีกุลกิจ หรือ “หมอนิด” ได้ไปประกอบพิธีขอขมาเจ้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อสื่อสารกับเหล่าวิญญาณแห่งนี้ว่าเป็นวิญญาณอะไร พร้อมอธิบายว่าหลายคนรู้หรือไม่ว่า วิญญาณอาฆาต เจ้าที่พยาบาทในสนามบินสุวรรณภูมินั้นมีมากและรุนแรง ในไม่ช้านี้อาจจะมีข่าวที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
หมอนิด ยังทำนายอีกว่า นอกจากผู้ก่อสร้างต้องปวดหัวกับการที่ต้องคอยแก้ไขจุกจิกไม่สิ้นสุดแล้ว รันเวย์สนามบินยังมีปัญหาใหญ่ ต้องซ่อมแซมแทบทุกจุด แล้วโครงสร้างอาคารยังจะมีปัญหาใหญ่อีก
ที่สำคัญต้องระวังและต้องรอบคอบให้มากสำหรับผู้ที่รับผิดชอบ หอการบินที่ดูแลการขึ้นลงของเครื่องบินอย่าได้เผลอ หรือประมาทเป็นอันขาด เพราะความเฮี้ยนของสถานที่สามารถทำให้สับสนหรือสะเพร่าได้โดยไม่ตั้งใจ อาจเกิดข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
นอกจากนี้สนามบินสุวรรณภูมิจะยังส่งผลให้ใครบางคนต้องเจอคุกอย่างแน่นอน และเชื่อว่ามีคนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิต้องถูกยึดทรัพย์
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเนื้อหาที่ ทอท. ระบุเอาไว้ในรายงานว่าเป็นข่าวลือ!
รายงานดังกล่าวบอกว่าคนที่ต้องรับผิดชอบในการแก้ไขตำนานและข่าวลือเรื่องนี้ก็คือ ทอท. ซึ่งมีกำหนดกรอบเวลาในการทำงานวันที่ 31 มกราคม 2550
แต่ในความเป็นจริงถึงวันนี้ก็ไม่เห็นจะมีใครใน ทอท.ออกมาเป็นเจ้าภาพนำเสนอความจริงที่อธิบายเป็นเหตุผลในเรื่องนี้อย่างจริงจังกันเสียที และเรื่องแบบนี้เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลก็ไม่รู้ว่าใครใน ทอท.จะเป็นผู้สยบข่าวในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ในเรื่องความเชื่อและสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นพิสูจน์และหักล้างกันได้ยาก ดังนั้นในสังคมไทยส่วนใหญ่หากบอกว่าควรทำอะไรในทางพิธีกรรมเพื่อให้เกิดความสบายใจได้ก็มักจะทำกัน
แต่ในเรื่องความปลอดภัยของสนามบินไม่ต้องรอการพิสูจน์ทางไสยศาสตร์ แต่สามารถมองเห็นด้วยตาในเรื่องความไม่ปลอดภัย และใช้การคำนวณทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เพื่อให้ได้ตัวเลขที่สามารถอธิบายว่าใช้งานได้ด้วยเพราะเหตุผลอะไร?
ปัญหาในวันนี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมตรงที่ไม่มีใครออกมารับประกันได้ว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีความปลอดภัยหรือไม่ หากซ่อมแซมและจะหายหรือไม่ และหากจะแก้ให้หายได้จะต้องใช้งบประมาณอีกเท่าใด และคุ้มค่าหรือไม่?
ปัญหาทางวิ่งชำรุดอยู่ในรายงานฉบับดังกล่าวของ ทอท. ระบุว่า ทางขับชำรุดโดย “ไม่สามารถคาดเดาการชำรุด” โดยมีสาเหตุที่อาจจะเกิดจากการก่อสร้าง โดยมีผลกระทบคือเป็น “อันตราย” และมีผลกับปริมาณการรองรับการสัญจรของเครื่องบิน
รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุอีกว่าการจราจรภายในทางวิ่งสนามบินสุวรรณภูมินั้น ยังไม่มีการจัดการระบบไฟจราจรอย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดความสับสน เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและความเสียหายต่างๆ และมีผลกระทบโดยเป็นอันตรายกับชีวิตและทรัพย์สิน
รายงานของ ทอท. ออกมาขนาดระบุว่าเป็น “อันตราย” ก็ไม่รู้ว่าจะดึงดันในการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิบางส่วนต่อไปได้อย่างไร?
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2550 คณะกรรมการในการตรวจสอบหาสาเหตุในการทรุดตัวของสนามบินจะรายงานความคืบหน้าในผลของการตรวจสอบ
แต่เนื่องจากวิธีการจัดเก็บตัวอย่างวัสดุในชั้นทรายที่อยู่ใต้ผิวทางที่ได้ทำลงไปนั้น ไม่ได้จัดเก็บในสภาพที่จำลองเหมือนกับใต้ผิวทาง และการจัดเก็บนั้นก็มีปัญหาอยู่มากเพราะชั้นทรายนั้นมีสภาพชุ่มน้ำและอุ้มน้ำอยู่
เมื่อชั้นทรายที่ชุ่มน้ำก็ได้ทำให้น้ำนั้นได้ไหลออกและชั้นทรายที่เก็บตัวอย่างมานั้นก็เปลี่ยนสภาพไปไม่สามารถจำลองสภาพใต้ดินได้
แม้ว่าจะไม่สามารถจำลองสภาพใต้ดินได้ทั้งหมด แต่ในทางวิศวกรรมก็น่าจะสามารถทดสอบหาอัตราการระบายน้ำของชั้นทราย ความชื้น และอัตราการทรุดตัวได้จากการเก็บตัวอย่างโดยใช้เครื่องมือทดลองทางวิศวกรรมได้ “แต่อาจจะไม่สามารถทดสอบการรับน้ำหนักของชั้นทรายให้จำลองเหมือนสภาพใต้ดินได้”
ทุกวันนี้จึงไม่มีใครกล้าออกมารับประกันว่าสนามบินจะสามารถใช้งานได้ต่อไปหรือไม่ และถ้าจะพยายามฝืนที่จะใช้ต่อจะรับน้ำหนักได้ด้วยตัวเลขเท่าใด
เมื่อไม่มีใครสามารถให้ตัวเลขได้ชัดเจน ก็แปลว่าไม่สามารถมีใครออกมารับประกันได้อีกว่าจะมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหนเมื่อใช้สนามบิน
ในทางวิศวกรรมแล้วหากสามารถมองเห็นด้วยตาถึงอาการวิบัติที่เริ่มก่อตัวขึ้น สิ่งที่สมควรจะต้องทำอย่างยิ่งก็คือห้ามประชาชนไปใช้งานก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีตัวเลขรองรับได้ว่าสามารถใช้งานต่อไปด้วยข้อจำกัดอะไรบ้าง!!!
เหมือนกับอาคารใดที่ถูกไฟไหม้หรือมีการทรุดตัวที่ยังไม่แน่ชัดด้วยตัวเลขว่าจะสามารถใช้งานได้ต่อไปหรือไม่ ก็ต้องมีการปิดล้อมห้ามคนไปใช้งานจนกว่าจะมีการตรวจสอบเป็นที่ชัดเจนให้เรียบร้อยก่อน
วันนี้เมื่อพิสูจน์ตอบไม่ได้ด้วยการทดสอบและตัวเลขที่ชัดเจน ตลอดจนไม่มีใครออกมารับประกันได้ สิ่งที่สมควรจะต้องทำก็คือต้องปิดสนามบินเสียก่อนเพื่อพิสูจน์ความจริง!
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล “ทางไสยศาสตร์” หรือ “ทางวิศวกรรมศาสตร์” การปิดสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อความปลอดภัยของประชาชนก็สมควรแก่เวลาแล้ว