xs
xsm
sm
md
lg

สิทธิในการประกอบอาชีพ

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

การประกอบอาชีพเพื่อการดำรงชีวิตให้คงอยู่ต่อไป เป็นสิทธิโดยธรรมชาติของมนุษยชาติตั้งแต่กำเนิด มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่ต้องกินอาหารเพื่อการอยู่รอด ต้องดื่มน้ำ ต้องหายใจ และต้องมีที่อยู่อาศัยเพื่อหลีกพ้นจากภัยที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกัน หรือสัตว์ร้าย และจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่สิทธิธรรมชาติในเบื้องต้นก็คือสิทธิที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งชีวิตเพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นทางชีวภาพดังกล่าวมาเบื้องต้น

ในสมัยโบราณในยุคก่อนคลื่นลูกที่หนึ่งของอัลวิน ทอฟเฟอร์ ซึ่งพูดถึงอารยธรรมของคลื่นสามลูกอันได้แก่ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และข่าวสารข้อมูล ในยุคก่อนเกษตรกรรมคือ การล่าสัตว์และเก็บเกี่ยว มนุษย์มีสิทธิที่จะดำรงชีวิตด้วยการหาอาหารจากการล่าสัตว์และการเก็บเกี่ยวผลหมากรากไม้เพื่อประทังชีวิต ในส่วนของการล่าสัตว์เพื่อกินเป็นอาหารเป็นสิทธิโดยธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถจะปฏิเสธได้ ขณะเดียวกันสิทธิในการที่จะเก็บเกี่ยวผลิตผลจากธรรมชาติก็เป็นสิทธิโดยธรรมชาติเช่นเดียวกัน

ในการประกอบอาชีพจากการล่าสัตว์และการเก็บเกี่ยวเพื่อการยังชีพจะขยายขอบเขต เมื่อสังคมมนุษย์พัฒนาไปสู่อารยธรรมคลื่นลูกที่หนึ่งคือเกษตรกรรมโดยรวมกันเป็นชุมชนต่างๆ ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนผลผลิตทั้งในทางเกษตรและอุตสาหกรรมพื้นบ้านระหว่างกัน การแลกเปลี่ยนดังกล่าวนี้ได้นำไปสู่การค้าขายในที่สุด อันได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจตลาดและเศรษฐกิจเงินตรา สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพเพื่อการยังชีพ ด้วยการล่าสัตว์ เก็บเกี่ยว และการค้าขาย จึงเป็นสิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์และชุมชนมนุษย์

ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมีการพูดถึงความอุดมสมบูรณ์ของอาหารอันเกิดจากการเพาะปลูกและโดยธรรมชาติ เช่น “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” มีผลหมากรากไม้มากมาย ขณะเดียวกันก็ได้ระบุถึงสิทธิในการค้าขาย “ใคร่จักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส” และเพื่อจะส่งเสริมให้เกิดการค้าขาย เพื่อให้เกิดการไหลเข้ามาของธุรกิจและเงินตรา ก็ได้มีการกำหนดการเก็บภาษีโดยรัฐสมัยนั้น ด้วยการเก็บภาษีเพียงครั้งเดียว ไม่ได้เก็บภาษีตามด่านกั้นต่างๆ ดังที่ศิลาจารึกได้ระบุว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบไพร่ลู่ทาง (transit tax)” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว สิทธิในการประกอบอาชีพ ทำไร่ ทำนา ค้าขาย ทำมาหากิน เป็นสิทธิขั้นมูลฐานของมนุษย์ในชุมชน แต่สิทธิในการประกอบอาชีพดังกล่าวอาจจะถูกบิดเบือนไปจากระบบธรรมชาติ หรือระบบตลาดซึ่งได้แก่ การกำหนดราคาโดยหลักจำนวนสินค้า (อุปทาน) และความต้องการสินค้า (อุปสงค์) อันเนื่องมาจากการไม่ทราบข่าวสารข้อมูลความต้องการของตลาด ทำให้เกิดการผลิตที่เกินจำนวน หรือเนื่องจากการผูกขาดในการรับซื้อและในการขายสินค้าของผู้ประกอบการที่เรียกว่าคนกลาง หรือเนื่องจากการขาดอำนาจต่อรองของผู้ซึ่งเสียเปรียบในสังคมทำให้ถูกกดราคาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร หรือในบางกรณีเกิดจากการรีดภาษีของรัฐ ฯลฯ

ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้ นำไปสู่การได้เปรียบเสียเปรียบของคนในสังคม ความเสมอภาคทางการเมืองโดยหนึ่งคนมีสิทธิลงคะแนนได้หนึ่งเสียง จึงไม่สอดคล้องกับความเสมอภาคและความยุติธรรมในทางเศรษฐกิจ อันเกิดจากระบบเศรษฐกิจที่เปิดให้มีการฉกฉวยประโยชน์โดยกลุ่มนายทุนผู้มีอำนาจต่อรองสูง และนายทุนจำนวนหนึ่งก็เกาะเกี่ยวอำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของตน ครอบครัว และพรรคพวก

การเกาะเกี่ยวอำนาจรัฐทำให้เกิดการผูกขาด บิดเบือนระบบตลาดในระบบเสรี ทำให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง การกดค่าแรงของผู้ใช้แรงงาน การกดราคาของพืชผลทางการเกษตร การกักตุนสินค้าเพื่อการเก็งกำไร การค้ากำไรเกินควร การเอารัดเอาเปรียบลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ด้วยการเรียกเก็บดอกเบี้ยแพงกว่าปกติ การขายสินค้าที่ต่ำกว่าคุณภาพมาตรฐาน การผลิตสินค้าปลอม การปั่นหุ้นในตลาดหุ้น ฯลฯ

ระบบเศรษฐกิจที่ถูกบิดเบือนดังกล่าวนั้นยังส่งผลในสิทธิการประกอบอาชีพ และการได้รับผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจของคนส่วนใหญ่ในชาติ เมื่อมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ และทำสัญญาการค้ากับต่างประเทศในลักษณะของข้อตกลงการค้าเสรีที่นำไปสู่ความเสียเปรียบ เป็นผลให้เกษตรกรและนักอุตสาหกรรมขนาดย่อมไม่สามารถดำรงกิจการอยู่ต่อไปได้ การเปิดกว้างของการค้าเสรีในขณะที่ไม่มีความพร้อมทั้งในสมรรถนะในการผลิต ประกอบกับวิทยาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กฎหมายที่เปิดช่องให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ โดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งบริหารร่วมมือกับรัฐบาลต่างชาติและนักธุรกิจต่างชาติหาผลประโยชน์ส่วนตัว ย่อมจะส่งผลในทางลบต่อสิทธิในการประกอบอาชีพของคนส่วนใหญ่

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การฉ้อราษฎร์บังหลวง การเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่ให้การสนับสนุนต่อพรรคการเมืองของตน หรือเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อการเมืองที่เป็นนักธุรกิจ ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้ทำให้สิทธิในการประกอบอาชีพอันเป็นสิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนถูกบิดเบือนและถูกละเมิด

ตัวอย่างที่น่าเศร้าสลดยิ่งของสิทธิในการทำมาหากินด้วยการประกอบอาชีพเพื่อดำรงชีวิตมิให้อดตาย ก็คือกรณีที่พ่อค้าแม่ขายหาบเร่หรือแผงลอยถูกตำรวจเทศกิจไล่จับซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ผู้พยายามทำมาหากินเลี้ยงชีพดังกล่าวต้องหอบสินค้าวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าตรอกเข้าซอยเพื่อไม่ให้ถูกจับและเสียค่าปรับ คำถามก็คือบัญญัติท้องถิ่นที่ต้องการรักษาความเรียบร้อยสวยงามของเมืองซึ่งไม่ผิด แต่มีมาตรการใดหรือไม่ที่จะเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ทำมาหาเลี้ยงชีพ และถ้าบุคคลเหล่านี้ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินไม่สามารถประกอบอาชีพโดยสุจริตอันเป็นสิทธิขั้นมูลฐานที่สำคัญได้ จะให้บุคคลเหล่านี้ลักทรัพย์ ตีชิงวิ่งราว ปล้นสะดมหรืออย่างไร ถ้าการประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดโดยสุจริตไม่สามารถจะกระทำได้ ระบบการเมืองนั้นก็เป็นระบบที่ละเมิดต่อสิทธิในการประกอบอาชีพ อันเป็นสิทธิธรรมชาติและเป็นสิทธิขั้นมูลฐานสำคัญ ระบบเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ระบบที่พึงประสงค์
กำลังโหลดความคิดเห็น