ที่ตั้งชื่อคอลัมน์อย่างนี้ไม่ได้หมายความเป็นพวกต่อต้าน "แนวคิดสมานฉันท์" นะครับ แต่เอาเป็นว่า ตลอดระยะเวลาร่วมปีที่ผ่านมา ผมนั้นเกิดอาการเบื่อสุดขีดกับพวกชอบชวนให้ลืมเรื่องร้ายๆ หันหน้ามาหากัน รักกันกอดกัน มองโลกในแง่ดีแล้วชีวิตจะมีสุข อยากให้รักกันแบบพร่ำเพรื่อ ประมาณว่า ไอ้ห่าเอ๊ย...ไอ้คนที่ผมวิ่งไล่เตะมันอยู่นั่นเพราะอยู่ดีๆ มันมาขโมยของถึงในบ้าน แล้วยังเกเรมาตบกบาลผมอีก คุณจะมา บอกให้ผมเลิกทะเลาะมากอดกับมัน มึงจะบ้าหรือไง
ผมคิดว่านิสัยพื้นฐานแต่ดั้งเดิมของคนไทยเรา เป็นพวกชอบประนีประนอมยอมความ เป็นพวกอดทน อะไรนิด อะไรหน่อยก็ยอมเขาไป ไอ้นิสัยเช่นนี้แหละ ทำให้คนที่ชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่นในสังคมได้ใจ ได้โอกาส
นิสัยเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่ดี แต่บางทีผมว่าน่าจะมีไอ้พวกที่คอยเอะอะเกะกะกีดขวางเอาไว้บ้าง
การมองอะไรต่อมิอะไร ควรจะเป็นไปทั้งสองทาง นอกจาก หัดมองโลกในแง่ดีแล้ว การมองโลกในแง่ร้ายเอาไว้บ้าง บางที มันก็มีข้อเตือนใจอะไรหลายต่อหลายอย่างให้คิด
ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว หลายคนที่คุ้นเคยกับผมชอบเรียกผม อย่างกระแหนะกระแหนว่า "ผู้พิทักษ์ความยุติธรรมบนท้องถนน" เรื่องของเรื่องก็คือ ผมเป็นพวกทนเห็นคนทำผิดกฎจราจรไม่ได้ โดยเฉพาะพวกที่ชอบมาแซงตัดหน้าคนอื่นๆ ที่เขาจอดต่อแถวกันยาวๆ หรือพวกจอดรถเกะกะขวางทางคนอื่นแบบมักง่าย หรือไม่ก็พวกอยู่เลนบังคับเลี้ยวซ้ายแต่จะไปทางขวา พวกนี้เจอ ทีไร ผมมักของขึ้น อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องขับรถไล่บี้ไปกีดกันไม่ให้พวกนั้นทำมักง่ายสำเร็จ หรือไม่ก็อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องขับไล่ตามไปบีบแตร หรือเปิดกระจกไปตะโกนด่า (ซึ่งตอนนี้พอ แก่ตัวเข้าก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไร โวยวายน้อยลงเยอะ เพราะกลัวตาย แบบว่ากลัวด่าไปแล้วโดนยิงสวน)
ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี่ ขับรถไปกับเพื่อน โดยที่ผมเป็นคนขับ เพื่อนนั่งข้างๆ รถของเรากำลังต่อแถวจะเลี้ยวขวาที่ สี่แยกแห่งหนึ่ง ไฟจราจรที่เปิดเขียวให้เลี้ยวขวาเปิดครั้งละแป๊บเดียว แถวรอเลี้ยวเลยยาวมาก ผมรอจนสองเขียวสามแดงถึงจะได้มาจอดต่อเตรียมเลี้ยวเป็นคันที่สอง ปรากฏว่า มีรถอยู่คัน ผมมองเห็นจากกระจกมองหลัง พี่แกพอเห็นไฟเคานต์ดาวน์นับถอยหลังกำลังจะเขียว พี่แกก็เร่งปร๊าดมาจากท้ายแถวไกลเป็นกิโล (ประมาณว่าถ้าอยู่เข้าแถวแบบปกติ ก็คงเจออีกอย่างน้อยสองถึงสามแดง) ไอ้รถคันนี้ขับปร๊าดมาจอดข้างทางซ้ายรถผมเตรียมตัดหน้า
ผมอดรนทนไม่ได้เลยเปิดกระจกรถด้านซ้ายที่เพื่อนผมนั่งข้างๆ ชะโงกตัวไปตะโกนด่าด้วยความอดรนทนไม่ไหว
ปรากฏว่า คนที่อยู่ในรถคันนั้นเป็นคนแก่ครับ เป็นลุง กับป้าแก่ๆ ลุงขับป้านั่งข้างๆ เห็นดังนั้นผมชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ด้วยความหงุดหงิดเลยตะโกนด่าไป (อย่าไปสนใจในรายละเอียดคำด่าเลยนะ) ไฟเขียวพอดี ลุงป้าทำไม่รู้ไม่ชี้ขับแซงหน้ารถคันก่อนหน้าผมไป ผมบีบแตรยาวด่าไล่ท้ายไปอีกสองสามปี๊น
ปรากฏว่าเพื่อนผมมันหันมาด่าผมครับ "มึงไปด่าคนแก่ทำไมวะ"
อ้าว แล้วไงล่ะ แก่แล้วทำผิดกฎจราจรได้หรือไง อย่างนี้แก่แล้วก็ไม่โดนตำรวจจับสิวะ
"มึงจะหงุดหงิดไปทำไม ถึงเขาแซงไป มึงก็พ้นไฟแดงนี้ได้อยู่ดี ช้านิดช้าหน่อย เดี๋ยวก็ถึงเหมือนกัน"
"อ้าว มาแซงตัดหน้ากูอย่างงี้ มึงจะให้กูยิ้มให้หรือไง" ผมพูดแล้วก็หัวเราะ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนต่อ
แต่จริงๆ แล้ว สถานการณ์ก็คือ ไอ้ที่เพื่อนผมบอกว่า จะหงุดหงิดไปทำไม ช้านิดช้าหน่อย (เพราะมีคนมาแซง) เดี๋ยวก็ถึงเหมือนกัน นั่นมันคนละประเด็นกับที่ผมหงุดหงิด อันที่จริง ผมไม่ได้หงุดหงิดกับเรื่องรถติด แต่ผมหงุดหงิดกับเรื่องของการ เอารัดเอาเปรียบของคนที่ไม่ยอมทำตามกติกาต่างหาก ซึ่งผมสังเกตการณ์ด้วยการมองจากกระจกหลังดูพฤติกรรมแล้ว เห็น ว่าเขาตั้งใจที่จะดูจังหวะแซงจากปลายแถวมาตัดหน้าคนอื่นจริงๆ (จะแก่หรือไม่แก่ไม่เกี่ยว)
ซึ่งแน่นอน ถึงผมจะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ เนื่องจาก ผมอยู่คันที่สองจากหัวแถว ยังไงก็ได้ไปรอบไฟเขียวนี้แน่ๆ แต่แน่นอนว่า บรรดารถที่ต่อแถวอยู่อย่างถูกกติกาถูกกฎจราจร จะต้องมีคันหนึ่งที่อดไป ทั้งๆ ที่สมควรจะได้ไปในรอบไฟเขียวนี้ แต่จะต้องรออีกรอบไฟแดงหนึ่ง
สำหรับผมแล้ว การที่ไอ้คนที่ทำตัวเอารัดเอาเปรียบคนอื่นเช่นนั้น โดนคนเปิดกระจกออกมาตะโกนด่าเสียหนึ่งทีนั้น ยังถือเป็นโทษสถานเบาไปเสียด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วรถคันนั้นต้อง โดนตำรวจจับและให้ใบสั่งไปเสียค่าปรับที่โรงพัก นั่นคือโทษที่เหมาะสม
ผมว่าเรื่องเช่นนี้ บางทีก็ไม่ใช่ว่าจะต้องให้ผมหัดมองโลกในแง่ดี หัดอดทน หัดใจดี หัดช่างมันเถอะ หรือจะให้ผมขับรถด้วยแนวทางสมานฉันท์ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก
บางทีสังคมไทยก็ใจดีกันจนเกินไป
ชอบชักชวนกันให้มองโลกในแง่ดี
แต่เป็นการใจดีและมองโลกในแง่ดีกันอย่างพร่ำเพรื่อ
จะเรียกว่าเป็นการ "มองโลกในแง่อย่างไร้เดียงสา" ก็ ไม่ผิดนัก
อย่างท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ก็ใจดี มองโลกในแง่ดี
ท่านพล.อ.สนธิ ก็ใจดี มองโลกในแง่ดี
ท่าน คมช.ทั้งหลายอุตส่าห์ยกขบวนทหารขี่รถถังฮึ่มฮั่ม ออกมาปฏิวัติ พอเอาเข้าจริงๆ ก็ใจดี มองโลกในแง่ดีกันทุกคน
คนไทยส่วนใหญ่นั้นชอบที่จะเป็นคนใจดี ชอบที่จะมองโลกในแง่ดี อดทน อดกลั้น รู้จักให้อภัย ให้โอกาส ให้เวลา
ปล่อยให้พวกที่ควรโดนลงโทษลอยนวล เดินเล่นกันอย่าง สบายใจ
ผมคิดว่านิสัยพื้นฐานแต่ดั้งเดิมของคนไทยเรา เป็นพวกชอบประนีประนอมยอมความ เป็นพวกอดทน อะไรนิด อะไรหน่อยก็ยอมเขาไป ไอ้นิสัยเช่นนี้แหละ ทำให้คนที่ชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่นในสังคมได้ใจ ได้โอกาส
นิสัยเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่ดี แต่บางทีผมว่าน่าจะมีไอ้พวกที่คอยเอะอะเกะกะกีดขวางเอาไว้บ้าง
การมองอะไรต่อมิอะไร ควรจะเป็นไปทั้งสองทาง นอกจาก หัดมองโลกในแง่ดีแล้ว การมองโลกในแง่ร้ายเอาไว้บ้าง บางที มันก็มีข้อเตือนใจอะไรหลายต่อหลายอย่างให้คิด
ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว หลายคนที่คุ้นเคยกับผมชอบเรียกผม อย่างกระแหนะกระแหนว่า "ผู้พิทักษ์ความยุติธรรมบนท้องถนน" เรื่องของเรื่องก็คือ ผมเป็นพวกทนเห็นคนทำผิดกฎจราจรไม่ได้ โดยเฉพาะพวกที่ชอบมาแซงตัดหน้าคนอื่นๆ ที่เขาจอดต่อแถวกันยาวๆ หรือพวกจอดรถเกะกะขวางทางคนอื่นแบบมักง่าย หรือไม่ก็พวกอยู่เลนบังคับเลี้ยวซ้ายแต่จะไปทางขวา พวกนี้เจอ ทีไร ผมมักของขึ้น อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องขับรถไล่บี้ไปกีดกันไม่ให้พวกนั้นทำมักง่ายสำเร็จ หรือไม่ก็อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องขับไล่ตามไปบีบแตร หรือเปิดกระจกไปตะโกนด่า (ซึ่งตอนนี้พอ แก่ตัวเข้าก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไร โวยวายน้อยลงเยอะ เพราะกลัวตาย แบบว่ากลัวด่าไปแล้วโดนยิงสวน)
ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี่ ขับรถไปกับเพื่อน โดยที่ผมเป็นคนขับ เพื่อนนั่งข้างๆ รถของเรากำลังต่อแถวจะเลี้ยวขวาที่ สี่แยกแห่งหนึ่ง ไฟจราจรที่เปิดเขียวให้เลี้ยวขวาเปิดครั้งละแป๊บเดียว แถวรอเลี้ยวเลยยาวมาก ผมรอจนสองเขียวสามแดงถึงจะได้มาจอดต่อเตรียมเลี้ยวเป็นคันที่สอง ปรากฏว่า มีรถอยู่คัน ผมมองเห็นจากกระจกมองหลัง พี่แกพอเห็นไฟเคานต์ดาวน์นับถอยหลังกำลังจะเขียว พี่แกก็เร่งปร๊าดมาจากท้ายแถวไกลเป็นกิโล (ประมาณว่าถ้าอยู่เข้าแถวแบบปกติ ก็คงเจออีกอย่างน้อยสองถึงสามแดง) ไอ้รถคันนี้ขับปร๊าดมาจอดข้างทางซ้ายรถผมเตรียมตัดหน้า
ผมอดรนทนไม่ได้เลยเปิดกระจกรถด้านซ้ายที่เพื่อนผมนั่งข้างๆ ชะโงกตัวไปตะโกนด่าด้วยความอดรนทนไม่ไหว
ปรากฏว่า คนที่อยู่ในรถคันนั้นเป็นคนแก่ครับ เป็นลุง กับป้าแก่ๆ ลุงขับป้านั่งข้างๆ เห็นดังนั้นผมชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ด้วยความหงุดหงิดเลยตะโกนด่าไป (อย่าไปสนใจในรายละเอียดคำด่าเลยนะ) ไฟเขียวพอดี ลุงป้าทำไม่รู้ไม่ชี้ขับแซงหน้ารถคันก่อนหน้าผมไป ผมบีบแตรยาวด่าไล่ท้ายไปอีกสองสามปี๊น
ปรากฏว่าเพื่อนผมมันหันมาด่าผมครับ "มึงไปด่าคนแก่ทำไมวะ"
อ้าว แล้วไงล่ะ แก่แล้วทำผิดกฎจราจรได้หรือไง อย่างนี้แก่แล้วก็ไม่โดนตำรวจจับสิวะ
"มึงจะหงุดหงิดไปทำไม ถึงเขาแซงไป มึงก็พ้นไฟแดงนี้ได้อยู่ดี ช้านิดช้าหน่อย เดี๋ยวก็ถึงเหมือนกัน"
"อ้าว มาแซงตัดหน้ากูอย่างงี้ มึงจะให้กูยิ้มให้หรือไง" ผมพูดแล้วก็หัวเราะ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนต่อ
แต่จริงๆ แล้ว สถานการณ์ก็คือ ไอ้ที่เพื่อนผมบอกว่า จะหงุดหงิดไปทำไม ช้านิดช้าหน่อย (เพราะมีคนมาแซง) เดี๋ยวก็ถึงเหมือนกัน นั่นมันคนละประเด็นกับที่ผมหงุดหงิด อันที่จริง ผมไม่ได้หงุดหงิดกับเรื่องรถติด แต่ผมหงุดหงิดกับเรื่องของการ เอารัดเอาเปรียบของคนที่ไม่ยอมทำตามกติกาต่างหาก ซึ่งผมสังเกตการณ์ด้วยการมองจากกระจกหลังดูพฤติกรรมแล้ว เห็น ว่าเขาตั้งใจที่จะดูจังหวะแซงจากปลายแถวมาตัดหน้าคนอื่นจริงๆ (จะแก่หรือไม่แก่ไม่เกี่ยว)
ซึ่งแน่นอน ถึงผมจะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ เนื่องจาก ผมอยู่คันที่สองจากหัวแถว ยังไงก็ได้ไปรอบไฟเขียวนี้แน่ๆ แต่แน่นอนว่า บรรดารถที่ต่อแถวอยู่อย่างถูกกติกาถูกกฎจราจร จะต้องมีคันหนึ่งที่อดไป ทั้งๆ ที่สมควรจะได้ไปในรอบไฟเขียวนี้ แต่จะต้องรออีกรอบไฟแดงหนึ่ง
สำหรับผมแล้ว การที่ไอ้คนที่ทำตัวเอารัดเอาเปรียบคนอื่นเช่นนั้น โดนคนเปิดกระจกออกมาตะโกนด่าเสียหนึ่งทีนั้น ยังถือเป็นโทษสถานเบาไปเสียด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วรถคันนั้นต้อง โดนตำรวจจับและให้ใบสั่งไปเสียค่าปรับที่โรงพัก นั่นคือโทษที่เหมาะสม
ผมว่าเรื่องเช่นนี้ บางทีก็ไม่ใช่ว่าจะต้องให้ผมหัดมองโลกในแง่ดี หัดอดทน หัดใจดี หัดช่างมันเถอะ หรือจะให้ผมขับรถด้วยแนวทางสมานฉันท์ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก
บางทีสังคมไทยก็ใจดีกันจนเกินไป
ชอบชักชวนกันให้มองโลกในแง่ดี
แต่เป็นการใจดีและมองโลกในแง่ดีกันอย่างพร่ำเพรื่อ
จะเรียกว่าเป็นการ "มองโลกในแง่อย่างไร้เดียงสา" ก็ ไม่ผิดนัก
อย่างท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ก็ใจดี มองโลกในแง่ดี
ท่านพล.อ.สนธิ ก็ใจดี มองโลกในแง่ดี
ท่าน คมช.ทั้งหลายอุตส่าห์ยกขบวนทหารขี่รถถังฮึ่มฮั่ม ออกมาปฏิวัติ พอเอาเข้าจริงๆ ก็ใจดี มองโลกในแง่ดีกันทุกคน
คนไทยส่วนใหญ่นั้นชอบที่จะเป็นคนใจดี ชอบที่จะมองโลกในแง่ดี อดทน อดกลั้น รู้จักให้อภัย ให้โอกาส ให้เวลา
ปล่อยให้พวกที่ควรโดนลงโทษลอยนวล เดินเล่นกันอย่าง สบายใจ