xs
xsm
sm
md
lg

“สิทธิ” ในเว็บลามก

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

ในการกวาดล้างเว็บลามกเมื่อเร็วๆ นี้ นอกจากจะพบว่า บรรดาชายหญิงที่โชว์เรือนร่างของตนก็ดี หรือโชว์บทสังวาสของตนก็ดี ต่างทำไปอย่างเปิดเผยด้วยความเต็มอกเต็มใจแล้ว ยังมีรายงานผลการวิจัยออกมาอีกว่า 1 ในหญิงสาวที่โชว์บทสังวาสของเธอนั้น ยังได้กล่าวว่าเธอทำไปอย่างมีความสุข

เธอเปิดเผยว่า ที่ทำไปเช่นนั้นก็เพราะต้องการการยอมรับ ยิ่งมีเสียงเชียร์มากแค่ไหน เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น

อันที่จริงแล้วในช่วงปีสองปีมานี้ เรามักจะได้ยินได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการใช้คลิปวิดีโอที่บันทึกกันอย่างง่ายๆ แต่สามารถนำมาเผยแพร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทันทีทันใดผ่านเว็บไซต์บ้าง ผ่านในรูปของแผ่นวีซีดีบ้าง

บางเรื่องก็เป็นการเผยแพร่ภาพการตบตีกันของเด็กนักเรียน บางเรื่องก็เป็นภาพลามกอนาจาร ในเรื่องหลังนี้บางทีก็แสดงผ่านการโชว์เรือนร่าง บางทีก็เป็นการโชว์บทสังวาส

ในที่นี้ผมไม่ขอกล่าวถึงกรณีที่เจ้าของภาพหรือผู้ที่อยู่ในภาพไม่ได้ตั้งใจให้ภาพของตนเผยแพร่ หรือเป็นภาพที่ถูกแอบถ่ายและเผยแพร่โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว เพราะทั้งสองกรณีนี้ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่า การเผยแพร่ดังกล่าวนั้นถือเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับเจ้าตัวอย่างมาก บางคนเรียกว่าตายทั้งเป็นก็ว่าได้

ประเด็นที่ผมจะกล่าวถึงก็คือ ประเด็นที่เจ้าของภาพโดยเฉพาะผู้หญิง ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอทำเช่นนั้นโดยตั้งใจดังที่ผมยกมาข้างต้น ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ยังมีเหตุผลต่างจากนั้นไปอีกชุดหนึ่ง เช่น ทำเพราะต้องการเงินจริงๆ หรือประชดแฟนที่ทิ้งเธอไป เป็นต้น

ที่ผมสนใจประเด็นนี้ก็เพราะว่า ภาพที่เธอเหล่านี้โชว์ให้เห็นนั้นไม่ใช่ภาพที่ใครคิดอยากจะเห็นก็เห็นกันได้ง่ายๆ เพราะมันเป็นภาพ “ส่วนตัว” อย่างสุดๆ เรียกว่าถ้าไม่รักกันจริงก็ไม่มีทางได้เห็น

ฉะนั้น คนที่จะได้เห็นจึงมีอยู่ 2 ทางเท่านั้น ทางหนึ่ง แอบดู ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และไม่ควรนับในที่นี้เพราะเจ้าตัวไม่ได้เต็มใจให้เห็น อีกทางหนึ่ง เจ้าตัวยอมให้ดูเองด้วยความเต็มอกเต็มใจ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่าไอ้หนุ่มที่ได้ดู (หรือ “ได้” อะไรมากกว่านั้นในเวลาต่อมา) ย่อมต้องเป็นที่รักของฝ่ายหญิง อย่างน้อยก็ครึ่งหัวใจของเธอ

ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ยังมีผู้หญิงอีกจำนวนมากที่คิดเช่นนั้น คือคิดว่าเรือนร่างที่เธอเป็นเจ้าของนั้นเธอย่อมมีสิทธิเหนือมัน และมันจะกลายเป็น “ภาพ” ให้ใครได้ดูก็ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง

ครับ...ฟังไปก็เหมือนฟังคนแก่เที่ยวพล่ามไปนะครับ

แต่ที่ผมพูดขึ้นมาก็เพื่อจะบอกว่า นานนับสิบปีมานี้ จะด้วยความเติบโตของประชาธิปไตย หรือการตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของคนไทยที่มีมากขึ้นก็ตามที สิ่งที่เราสังเกตได้จากการปรากฏการณ์ที่ว่านี้ก็คือ การที่คนไทยเริ่มมีความหวงความเป็นส่วนตัวของตนเองมากขึ้น

จำได้ว่าก่อนที่ผมจะมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อหลายสิบปีก่อนมาจนทุกวันนี้นั้น คนแถวบ้านผมที่ต่างจังหวัดเคยเตือนผมว่า คนกรุงเทพฯ ใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครสนใจใคร บางคนบอกว่า เพื่อนบ้านที่มีบ้านอยู่ติดกันแท้ๆ ยังไม่เคยทักกันเลยก็มี และพอผมขึ้นมากรุงเทพฯ ผมก็พบเห็นเช่นนั้นจริงๆ

ผมไม่แน่ใจนักว่า การหวงความเป็นส่วนตัวดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ที่ค่อนข้างมั่นใจคือ ผมเชื่อว่าความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลอย่างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านี้ที่เราไม่ได้รู้สึกรู้สา (แบบที่เห็นคนกรุงเทพฯ เป็น) ก็เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมาคนไทยยังมีความรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของตัวเองนั้นมักจะแยกจากสิทธิของคนอื่นไม่ได้

เช่น คนในชุมชนหนึ่งมีสิทธิส่วนตัวที่จะใช้น้ำจากบ่อน้ำที่มีอยู่บ่อเดียวในหมู่บ้าน แต่ต่างก็ตระหนักดีว่าตนไม่มีสิทธิที่จะเอายาพิษไปหย่อนใส่ลงในบ่อเพียงเพราะไม่พอใจเมีย แม่ยาย หรือสมภารวัด เป็นต้น

แต่หลังจากระบบทุนนิยมเจริญงอกงามขึ้นพร้อมๆ กับระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก การหวงความเป็นส่วนตัวที่ว่าก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นสำนึกเกี่ยวกับสิทธิในเชิงปัจเจกมากขึ้น ฉะนั้น คนกรุงเทพฯ ที่มีชีวิตอยู่ในเมืองที่เป็นศูนย์กลางของอำนาจจึงง่ายที่จะรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ก่อนใคร สำนึกต่อสิทธิในเชิงปัจเจกจึงเกิดขึ้นก่อนใครไปด้วย

การหวงความเป็นส่วนตัวจนมีชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ของคนกรุงเทพฯ ในสายตาของคนต่างจังหวัดจึงสัมพันธ์กับสำนึกต่อสิทธิในเชิงปัจเจกดังกล่าวอย่างแนบแน่น ซึ่งสำนึกเช่นนี้ตะวันตกเป็นกันมาก แต่เมื่อคนไทยรับมาแล้วจะมากเท่าตะวันตกหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ก็ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่า สำนึกเช่นว่าได้ขยายตัวมากแล้วในปัจจุบัน เราจึงพบว่า เดี๋ยวนี้มีคนไทยจำนวนมากที่หวงความเป็นส่วนตัวไม่น้อยไปกว่าคนกรุงเทพฯ คิดจะพูด จะทำ หรืออยากจะได้อะไร ก็มักจะคิดถึงสิทธิในเชิงปัจเจกของตนก่อนเสมอ โดยสิทธินี้ไม่ว่าใครที่ไหนจะมาล่วงละเมิดเอาง่ายๆ ไม่ได้

จะอย่างไรก็ตาม สิทธิในเชิงปัจเจกดังกล่าวก็ไม่ได้ตั้งอยู่อย่างอิสระ เพราะเอาเข้าจริงแล้วต่างก็รู้ตัวดีว่าตนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการแข่งขัน เหตุฉะนั้น ไม่ว่าใครจะตระหนักหรือหวงสิทธิในเชิงปัจเจกของตนมากเพียงไรก็ตาม ต่างก็ไม่อาจหลีกหนีการแข่งขันที่ว่าไปได้

และบทพิสูจน์ความสำเร็จของการแข่งขันที่ว่านี้ก็คือ การทำตนให้เป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง

หรือถ้าได้รับการยอมรับถึงขั้นสังคมระดับกว้างหรือระดับชาติด้วยแล้วก็ยิ่งดี ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นบางคนก้าวไกลไปในการแข่งขันถึงขั้นระดับโลกหรือนานาชาติ แบบที่เรียกว่า “โกอินเตอร์” ไม่งั้นเราก็คงไม่ได้เห็น ทาทา ยัง เธอออกมา “ดูม ดูม” ให้เราได้สะท้านทรวงกันหรอกครับ และผมเองก็ควรกล่าวด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่เธอหรอกครับที่อยากจะ “ดูม ดูม” ให้โลกแตก

แม้แต่วงวิชาการก็ถูกทำให้อยาก “ดูม ดูม” ไปด้วยไม่แพ้กัน

ซึ่งถ้าเป็นได้ถึงขนาดนั้นก็ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดกันเลยทีเดียว เพราะการยอมรับหากเกิดขึ้นในวงกว้างมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเท่ากับว่า สิทธิในเชิงปัจเจกของคนนั้นก็จะแผ่อำนาจในการต่อรองมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ การแข่งขันเพื่อให้ได้รับการยอมรับของคนไทยทุกวันนี้ในด้านหนึ่งจึงเป็นความขัดแย้งกันระหว่างการทำอย่างไรที่ไม่ให้อัตตาส่วนตัวของตนเองไม่ให้คนอื่นมาละเมิด กับการทำอย่างไรให้อัตตาของตนได้รับการยอมรับโดยไม่ต้องแคร์คนอื่น

ที่สำคัญก็คือว่า ความขัดแย้งจากการแข่งขันเช่นนี้มีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสในการแข่งขันของแต่ละคนว่ามีมากน้อยแค่ไหน เป็นการแข่งขันกันอย่างเสมอภาคหรือไม่ หรือเป็นการแข่งขันที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่ร่ำไป

ที่ผมร่ายยาวมา (จนดูแทบจะไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ผมปูมาแต่ต้นเรื่อง) นั้นเพื่อที่จะบอกว่า คงเป็นเพราะโอกาสในการแข่งขันที่ต่างกันนี้เอง เราจึงได้เห็นการโชว์เรือนร่างที่เปล่าเปลือยและโจ๋งครึ่ม (ที่ดูยังไงก็ไม่อาจนับเป็นภาพศิลป์ได้) หรือการโชว์บทสังวาสอย่างถึงพริกถึงขิงของผู้หญิงผ่านคลิปวิดีโอและในเว็บไซต์นั้นด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวเองก็อยากจะเปิดเผยด้วยความเต็มใจ

เป็นการแข่งขันที่ผู้หญิงยอมเสียสิทธิในเชิงปัจเจกของตนด้วยการยอมให้คนอื่นได้เห็น “ภาพ” ของเธอโดยที่ไม่อาจสัมผัสอะไรได้มากไปกว่าการ “ดู” แต่สิ่งที่เธอได้รับก็คือ การได้รับการยอมรับหรือยกย่องจากคนที่ได้ “ดู” เธอแล้วบอกว่าเธอแน่

ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือ อัตตาของเธอถูกทำให้พองโต อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในสังคมที่สิทธิในเชิงปัจเจกกำลังถูกให้ความสำคัญมากขึ้นทุกที
กำลังโหลดความคิดเห็น