xs
xsm
sm
md
lg

ศาลรับฟ้อง"แม้ว"คดีเบิกความเท็จฮุบไอบีซี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศาลอาญารับฟ้องคดีฝรั่งอเมริกันฟ้อง “ทักษิณ” ฐานเบิกความเท็จ เรียกค่าเสียหาย 6 พันล้านบาท คำฟ้องระบุจำเลยเป็นถึงรัฐมนตรี แถมดีกรีปริญญาเอกอาชญวิทยาแต่ยังจงใจทำผิดเพื่อฮุบกิจการคนอื่น ต้องลงโทษให้เข็ดหลาบ

หลังจากที่นายวิลเลี่ยม ไลน์ มอนสัน อายุ 63 ปี ผู้บริหารบริษัท ซีทีวีซี ออฟฮาวาย จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจเคเบิลทีวีประเทศสหรัฐ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะอฟดีตประธานบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบกิจการไอบีซี เคเบิลทีวี เป็นจำเลยที่ 1 และ บริษัท ยูไนเต็ด บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ยูบีซี (เดิมคือ ไอบีซี) ในความผิดฐานเบิกความเท็จ ไปเมื่อปีที่แล้ว ล่าสุดศาลอาญาได้ประทับรับฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ 137/2550 แล้วเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา

ในคำฟ้องของคดีดังกล่าว นายวิลเลี่ยม ผู้เป็นโจทก์ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เบิกความต่อศาลแพ่งในวันที่ 22 ก.ค. 2539 12 พ.ย. 2539 และ 13 ม.ค. 2540 ในหลายประเด็นในระหว่างการพิจารณาคดีแพ่งที่ทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ฟ้องตน ซึ่งถือเป็นความผิดอาญา อีกทั้งยังเป็นการจงใจทำผิดต่อกฎหมายเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการละเมิดทางแพ่งต่อโจทก์

ในคำฟ้องยังระบุด้วยว่า การเบิกความเท็จดังกล่าวกระทำไป ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นข้าราชการเมืองในตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งมีฐานะสูงกว่าคนธรรมดา อีกทั้งยังเนนายตำรวจระดับสัญญาบัตรและมีการศึกษาสูงระดับปริญญาเอก แต่กลับมาเบิกคามเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่เกรงกลัวอำนาจศาลและไม่มีจริยธรรม เพียงเพื่อปกป้องธุรกิจที่ได้แย่งไปจากโจทก์ สมควรจะต้องได้รับโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญาหนักกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพื่อให้เข็ดหลาบ ในลักษณะที่เรียกว่า Punitive Damage กล่าวคือ เป็นการลงโทษมิให้เป็นเยี่ยงอย่างหรือเป็นการลงโทษให้หลบจำ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 6 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี

ก่อนหน้านี้ นายวิลเลี่ยม เคยเบิกความต่อศาลว่า ตนรู้จักกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาตั้งแต่ปี 2528 และร่วมทุนประกอบกิจการเคเบิลทีวี ชื่อ บริษัทวีดีโอลิ้งค์ จำกัด และบริษัทวีดีโอลลิ้งค์ฯ แต่รัฐบาลขณะนั้นมีคำสั่งถอนใบอนุญาต จึงทำให้กิจการหยุดชะงัก ต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญาใหม่โดยให้บริษัทไอบีซี ของจำเลย เป็นผู้จัดขอใบอนุญาตการประกอบธุรกิจให้เท่านั้นแต่ไม่มีการร่วมทุนกัน ระหว่างที่รอใบอนุญาตโจทก์ได้ขออนุญาตจำเลยนำเครื่องมืออุปกรณ์การส่งสัญญาณเคเบิลไปฝากไว้ที่อาคารชินวัตรคอมเพล็กซ์ เป็นการชั่วคราว

ต่อมาปลายปี 2532 จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่ากำลังจะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ซึ่งโจทก์นัดพบกับจำเลยเพื่อชำระเงินค่านายหน้าตามสัญญาในการดำเนินเรื่องขอใบอนุญาต แต่เมื่อถึงเวลาปรากฏว่าจำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์และได้นำเครื่องมือและอุปกรณ์ที่โจทก์ฝากไว้ไปดำเนินกิจการในนามของบริษัทจำเลยเอง เมื่อโจทก์ไม่ยินยอม จำเลยจึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับโจทก์ ทำให้โจทก์ถูกยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งและคดีอาญารวม 2 สำนวน แต่ในที่สุดคดีอาญาศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง ส่วนคดีแพ่งศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้องเช่นกันโดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
กำลังโหลดความคิดเห็น