แม่ ผม และคนในบ้านมองดูการตรวจค้นด้วยความประหลาดใจ แต่ในใจนั้นผมรำลึกถึงพระ และคิดว่าคงเป็นเพราะอภินิหารของหลวงพ่อทวดเป็นแน่แท้ เพราะหิ้งพระที่บ้านชั้นล่างอยู่ด้านหลังตู้เก็บบัญชี ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือพระหลวงพ่อทวดท่านมองเห็นเอกสารและบัญชีอยู่ และคงมองเหตุการณ์อยู่ จึงแผ่บารมีมาปกป้องคุ้มครอง
หลังจากนั้นแล้วแม่เคยเล่าให้ฟังว่ายามตกอกตกใจเป็นทุกข์ร้อนในวันนั้นแม่ไม่รู้ที่จะพึ่งใคร จึงได้น้อมใจบนบานหลวงพ่อทวดให้ช่วยเหลือคุ้มครอง แม่จึงเข้าใจว่าหลวงพ่อทวดได้แสดงอภินิหารบังตา ทำให้เจ้าหน้าที่และตำรวจไม่เห็นสมุดบัญชีซึ่งมีอยู่เต็มตู้
แม่รู้ว่าเรื่องที่พ่อถูกจับในข้อหาคอมมิวนิสต์นั้นเป็นเรื่องร้ายและเป็นเรื่องใหญ่ ทั่วทั้งอำเภอไม่เห็นใครพอจะเป็นที่พึ่งได้ จึงรีบเดินทางไปตัวจังหวัดเพื่อโทรศัพท์ติดต่อญาติที่กรุงเทพฯ เนื่องจากในตัวอำเภอนั้นไม่มีโทรศัพท์ที่จะติดต่อกับใครๆ ได้
แม่เดินทางถึงตัวจังหวัดแล้วรีบโทรศัพท์ไปหายายซึ่งเป็นญาติอยู่กรุงเทพฯ และมีลูกรับราชการเป็นนายตำรวจใหญ่อยู่กองบัญชาการสอบสวนกลางในขณะนั้น คือพลตำรวจตรีจำรัส มัณฑุกานนท์ และเล่าความให้ทราบ หลังจากนั้นไม่ถึงวันท่านนายพลซึ่งผมนับถือว่าเป็นลุงได้โทรเลขสั่งการมายังตำรวจบ้านผมให้อนุญาตให้ประกันตัวพ่อได้
พอพ่อได้ประกันตัวในข้อหาที่ไม่มีทางได้ประกันตัวในขณะนั้นแล้วแม่จึงรีบรวบรวมเงินพาพ่อเข้ากรุงเทพฯ แล้วพาไปหาลุงแต่ลุงบอกว่าข้อเท็จจริงนั้นลุงไม่รู้จึงไม่อาจช่วยเหลือได้ ได้แต่เพียงช่วยให้ได้ประกันตัวเท่านั้น
ลุงบอกว่าข้อหาที่พ่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นั้นเป็นข้อหาร้ายแรง ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือ เพราะเป็นเรื่องที่หัวหน้ารัฐบาลในขณะนั้นคือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อประเทศชาติ หากใครถูกตั้งข้อหานี้ก็จะถูกขังลืมหรือไม่ก็จะถูกลอบสังหาร และเป็นข้อหาที่ไม่มีข้าราชการคนไหนกล้าช่วยเหลืออย่างเด็ดขาด
แต่ลุงก็บอกว่าคนที่จะช่วยเหลือได้นั้นก็พอมีอยู่และมีอยู่เพียงคนเดียว คือตัวจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเพราะไม่มีความคุ้นเคยกัน แม้เป็นคนคุ้นเคยก็ยังขอพบได้โดยยาก มีทางเดียวที่หากจะพบได้ก็โดยการแนะนำของฝ่ายทหารเท่านั้น
พ่อไม่มีญาติพี่น้องเป็นทหาร และไม่มีพรรคพวกใดๆ ในกรุงเทพฯ แต่เพราะเหตุที่พ่อเป็นคนสนใจการเมือง ชอบติดตามสถานการณ์บ้านเมืองและชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ดังนั้นจึงได้ทราบว่าเลขานุการคนหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เคยเป็นผู้บังคับบัญชาทหารอยู่ที่ค่ายเสนาณรงค์ และเคยเป็นผู้บัญชาการทหารในพื้นที่บ่อทอง จังหวัดปัตตานี ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง
ยามร้ายก็ใช่ว่าจะร้ายจนสิ้นไร้ไม้ตอกเสียทีเดียว ยามกรรมตามมาทัน บุญก็ไล่หนุนมาทันในจังหวะเดียวกันนั้นเอง เพราะเป็นการบังเอิญเหลือล้นพ้นประมาณที่เลขานุการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ท่านนี้ก็คืออดีตผู้บังคับบัญชาของพ่อเมื่อครั้งที่เป็นพลทหารเกณฑ์ในสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง
โดยปกติพ่อไม่กล้าที่จะไปมาหาสู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ในวงราชการ ดังนั้นแม้แต่ก่อนมาพ่อพอจะรู้ว่าอดีตผู้บังคับบัญชาเป็นเลขานุการคนหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ่อก็ไม่กล้าคิดที่จะไปเยี่ยมคารวะ แต่เมื่อชะตาต้องเข้าตาจนและไม่มีหนทางที่ใครไหนจะช่วยเหลือได้ พ่อจึงจำเป็นต้องตัดสินใจว่าเห็นจะต้องพึ่งพาอดีตผู้บังคับบัญชาท่านนี้
แต่พ่อก็ไม่รู้จักที่พักอาศัยของอดีตผู้บังคับบัญชาและไม่รู้จะติดต่อพบหาได้ประการใด ดังนั้นพ่อซึ่งพกบัตรประจำตัวทหารผ่านศึกอยู่ตลอดเวลาและมีระบุอยู่ในบัตรประจำตัวในขณะนั้นว่ามีเรื่องข้อขัดข้องประการใด ให้ติดต่อได้ที่สำนักงานทหารผ่านศึก พ่อจึงเดินทางไปที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเพื่อขอความเป็นธรรมและขอให้ช่วยเหลือประสานงานให้ได้พบกับอดีตผู้บังคับบัญชา
เจ้าหน้าที่ขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเมื่อได้ทราบความก็เห็นอกเห็นใจ แต่ก็บอกว่าข้อหาเรื่องคอมมิวนิสต์นั้นร้ายแรง ยากที่จะมีใครช่วยเหลือให้พ้นข้อหาได้ การที่พ่อจะไปพบอดีตผู้บังคับบัญชานั้นไม่เป็นปัญหาเพราะสามารถที่จะติดต่อประสานงานให้ได้ แต่จะช่วยเหลือได้หรือไม่ย่อมสุดแท้แต่บุญและกรรม
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อประสานงานอยู่พักใหญ่ พ่อก็ได้รับแจ้งว่าอดีตผู้บังคับบัญชาจำชื่อจำหน้าพ่อไม่ได้ คงจำได้แต่ว่าเคยมีลูกน้องอยู่กองร้อยหนึ่งที่ปะทะกับทหารญี่ปุ่นคนละฝั่งทุ่งนา และสามารถยันทหารญี่ปุ่นให้ล่าถอยกลับไปได้ แม้ว่าทหารในกองร้อยนี้จะล้มตายเกือบหมด เหลืออยู่เพียง 3-4 คนที่อยู่ยงคงกระพัน
ถึงแม้ว่าจะจำชื่อและจำหน้าไม่ได้ แต่เมื่อทราบว่าเป็นลูกน้องเก่าที่มีชีวิตเหลือรอดมาจากสงครามครั้งนั้น อดีตผู้บังคับบัญชาของพ่อก็อยากพบตัว และยินดีให้การช่วยเหลือ ทั้งเร่งให้เจ้าหน้าที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกรีบนำตัวพ่อไปพบ
พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อทราบความดังนั้นก็มีความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจึงได้บากหน้าไปหาผู้บังคับบัญชาซึ่งหลังจากได้ทักทายไต่ถามความแต่หนหลังเมื่อครั้งทำศึกกับญี่ปุ่นแล้วท่านก็จำเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี และถามย้ำว่าเธอเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ใช่ พ่อก็ยืนยันว่าชีวิตเสี่ยงตายมาจากการสงครามปกป้องแผ่นดิน ทั้งกองร้อยตายเกือบหมดเหลืออยู่เพียง 3-4 คน ไหนเลยจะทรยศต่อแผ่นดินได้
ในวันนั้นพ่อได้เอาของสิ่งหนึ่งซึ่งนำติดตัวไปด้วยออกมาให้อดีตผู้บังคับบัญชาดูว่านี่คือเสื้อพลทหารที่พ่อเคยสวมใส่ในยามสงคราม รอยเสื้อที่ถูกยิงเป็นรูพรุนอยู่หลายรูนั้นคือประจักษ์พยานการปะทะกับทหารญี่ปุ่นที่เผชิญหน้ากันคนละฝั่งทุ่งนา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พ่อไม่เคยลืม พ่อจึงนำมาเป็นพยานหลักฐานให้เห็นถึงความรักภักดีต่อผืนแผ่นดินที่ไม่มีวันที่จะคดหรือทรยศเป็นอย่างอื่นหรือเป็นคอมมิวนิสต์ตามข้อกล่าวหาของนายอำเภอได้เลย
อดีตผู้บังคับบัญชาของพ่อมีสายเลือดเป็นทหาร เมื่อได้รับคำยืนยันก็มั่นใจ และยิ่งเห็นเสื้อพลทหารของพ่อที่เก่าคร่ำคร่าก็นิ่งอึ้งด้วยน้ำตาซึมๆ ซึ่งคงจะเป็นเพราะรำลึกถึงลูกน้องเก่าที่ล้มตายในเหตุการณ์ครั้งกระโน้น จากนั้นจึงได้เข้าไปหาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รายงานความให้ทราบและขอความเป็นธรรมให้กับพ่อ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ท่านก็เป็นทหารแท้ เมื่อทราบว่าลูกน้องของลูกน้องไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความทุกข์ร้อนจากการข่มเหงราษฎรโดยไม่เป็นธรรม จึงมีคำสั่งให้ย้ายนายอำเภอออกจากพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมง และให้ยกเลิกคดีที่กล่าวหาพ่อผมทั้งหมดในทันที.
โปรดติดตามตอนที่ 43 “วิบากของการทอดทิ้งบิดา มารดา ตอน 1” ในวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2550
หลังจากนั้นแล้วแม่เคยเล่าให้ฟังว่ายามตกอกตกใจเป็นทุกข์ร้อนในวันนั้นแม่ไม่รู้ที่จะพึ่งใคร จึงได้น้อมใจบนบานหลวงพ่อทวดให้ช่วยเหลือคุ้มครอง แม่จึงเข้าใจว่าหลวงพ่อทวดได้แสดงอภินิหารบังตา ทำให้เจ้าหน้าที่และตำรวจไม่เห็นสมุดบัญชีซึ่งมีอยู่เต็มตู้
แม่รู้ว่าเรื่องที่พ่อถูกจับในข้อหาคอมมิวนิสต์นั้นเป็นเรื่องร้ายและเป็นเรื่องใหญ่ ทั่วทั้งอำเภอไม่เห็นใครพอจะเป็นที่พึ่งได้ จึงรีบเดินทางไปตัวจังหวัดเพื่อโทรศัพท์ติดต่อญาติที่กรุงเทพฯ เนื่องจากในตัวอำเภอนั้นไม่มีโทรศัพท์ที่จะติดต่อกับใครๆ ได้
แม่เดินทางถึงตัวจังหวัดแล้วรีบโทรศัพท์ไปหายายซึ่งเป็นญาติอยู่กรุงเทพฯ และมีลูกรับราชการเป็นนายตำรวจใหญ่อยู่กองบัญชาการสอบสวนกลางในขณะนั้น คือพลตำรวจตรีจำรัส มัณฑุกานนท์ และเล่าความให้ทราบ หลังจากนั้นไม่ถึงวันท่านนายพลซึ่งผมนับถือว่าเป็นลุงได้โทรเลขสั่งการมายังตำรวจบ้านผมให้อนุญาตให้ประกันตัวพ่อได้
พอพ่อได้ประกันตัวในข้อหาที่ไม่มีทางได้ประกันตัวในขณะนั้นแล้วแม่จึงรีบรวบรวมเงินพาพ่อเข้ากรุงเทพฯ แล้วพาไปหาลุงแต่ลุงบอกว่าข้อเท็จจริงนั้นลุงไม่รู้จึงไม่อาจช่วยเหลือได้ ได้แต่เพียงช่วยให้ได้ประกันตัวเท่านั้น
ลุงบอกว่าข้อหาที่พ่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นั้นเป็นข้อหาร้ายแรง ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือ เพราะเป็นเรื่องที่หัวหน้ารัฐบาลในขณะนั้นคือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อประเทศชาติ หากใครถูกตั้งข้อหานี้ก็จะถูกขังลืมหรือไม่ก็จะถูกลอบสังหาร และเป็นข้อหาที่ไม่มีข้าราชการคนไหนกล้าช่วยเหลืออย่างเด็ดขาด
แต่ลุงก็บอกว่าคนที่จะช่วยเหลือได้นั้นก็พอมีอยู่และมีอยู่เพียงคนเดียว คือตัวจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเพราะไม่มีความคุ้นเคยกัน แม้เป็นคนคุ้นเคยก็ยังขอพบได้โดยยาก มีทางเดียวที่หากจะพบได้ก็โดยการแนะนำของฝ่ายทหารเท่านั้น
พ่อไม่มีญาติพี่น้องเป็นทหาร และไม่มีพรรคพวกใดๆ ในกรุงเทพฯ แต่เพราะเหตุที่พ่อเป็นคนสนใจการเมือง ชอบติดตามสถานการณ์บ้านเมืองและชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ดังนั้นจึงได้ทราบว่าเลขานุการคนหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เคยเป็นผู้บังคับบัญชาทหารอยู่ที่ค่ายเสนาณรงค์ และเคยเป็นผู้บัญชาการทหารในพื้นที่บ่อทอง จังหวัดปัตตานี ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง
ยามร้ายก็ใช่ว่าจะร้ายจนสิ้นไร้ไม้ตอกเสียทีเดียว ยามกรรมตามมาทัน บุญก็ไล่หนุนมาทันในจังหวะเดียวกันนั้นเอง เพราะเป็นการบังเอิญเหลือล้นพ้นประมาณที่เลขานุการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ท่านนี้ก็คืออดีตผู้บังคับบัญชาของพ่อเมื่อครั้งที่เป็นพลทหารเกณฑ์ในสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง
โดยปกติพ่อไม่กล้าที่จะไปมาหาสู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ในวงราชการ ดังนั้นแม้แต่ก่อนมาพ่อพอจะรู้ว่าอดีตผู้บังคับบัญชาเป็นเลขานุการคนหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ่อก็ไม่กล้าคิดที่จะไปเยี่ยมคารวะ แต่เมื่อชะตาต้องเข้าตาจนและไม่มีหนทางที่ใครไหนจะช่วยเหลือได้ พ่อจึงจำเป็นต้องตัดสินใจว่าเห็นจะต้องพึ่งพาอดีตผู้บังคับบัญชาท่านนี้
แต่พ่อก็ไม่รู้จักที่พักอาศัยของอดีตผู้บังคับบัญชาและไม่รู้จะติดต่อพบหาได้ประการใด ดังนั้นพ่อซึ่งพกบัตรประจำตัวทหารผ่านศึกอยู่ตลอดเวลาและมีระบุอยู่ในบัตรประจำตัวในขณะนั้นว่ามีเรื่องข้อขัดข้องประการใด ให้ติดต่อได้ที่สำนักงานทหารผ่านศึก พ่อจึงเดินทางไปที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเพื่อขอความเป็นธรรมและขอให้ช่วยเหลือประสานงานให้ได้พบกับอดีตผู้บังคับบัญชา
เจ้าหน้าที่ขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเมื่อได้ทราบความก็เห็นอกเห็นใจ แต่ก็บอกว่าข้อหาเรื่องคอมมิวนิสต์นั้นร้ายแรง ยากที่จะมีใครช่วยเหลือให้พ้นข้อหาได้ การที่พ่อจะไปพบอดีตผู้บังคับบัญชานั้นไม่เป็นปัญหาเพราะสามารถที่จะติดต่อประสานงานให้ได้ แต่จะช่วยเหลือได้หรือไม่ย่อมสุดแท้แต่บุญและกรรม
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อประสานงานอยู่พักใหญ่ พ่อก็ได้รับแจ้งว่าอดีตผู้บังคับบัญชาจำชื่อจำหน้าพ่อไม่ได้ คงจำได้แต่ว่าเคยมีลูกน้องอยู่กองร้อยหนึ่งที่ปะทะกับทหารญี่ปุ่นคนละฝั่งทุ่งนา และสามารถยันทหารญี่ปุ่นให้ล่าถอยกลับไปได้ แม้ว่าทหารในกองร้อยนี้จะล้มตายเกือบหมด เหลืออยู่เพียง 3-4 คนที่อยู่ยงคงกระพัน
ถึงแม้ว่าจะจำชื่อและจำหน้าไม่ได้ แต่เมื่อทราบว่าเป็นลูกน้องเก่าที่มีชีวิตเหลือรอดมาจากสงครามครั้งนั้น อดีตผู้บังคับบัญชาของพ่อก็อยากพบตัว และยินดีให้การช่วยเหลือ ทั้งเร่งให้เจ้าหน้าที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกรีบนำตัวพ่อไปพบ
พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อทราบความดังนั้นก็มีความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจึงได้บากหน้าไปหาผู้บังคับบัญชาซึ่งหลังจากได้ทักทายไต่ถามความแต่หนหลังเมื่อครั้งทำศึกกับญี่ปุ่นแล้วท่านก็จำเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี และถามย้ำว่าเธอเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ใช่ พ่อก็ยืนยันว่าชีวิตเสี่ยงตายมาจากการสงครามปกป้องแผ่นดิน ทั้งกองร้อยตายเกือบหมดเหลืออยู่เพียง 3-4 คน ไหนเลยจะทรยศต่อแผ่นดินได้
ในวันนั้นพ่อได้เอาของสิ่งหนึ่งซึ่งนำติดตัวไปด้วยออกมาให้อดีตผู้บังคับบัญชาดูว่านี่คือเสื้อพลทหารที่พ่อเคยสวมใส่ในยามสงคราม รอยเสื้อที่ถูกยิงเป็นรูพรุนอยู่หลายรูนั้นคือประจักษ์พยานการปะทะกับทหารญี่ปุ่นที่เผชิญหน้ากันคนละฝั่งทุ่งนา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พ่อไม่เคยลืม พ่อจึงนำมาเป็นพยานหลักฐานให้เห็นถึงความรักภักดีต่อผืนแผ่นดินที่ไม่มีวันที่จะคดหรือทรยศเป็นอย่างอื่นหรือเป็นคอมมิวนิสต์ตามข้อกล่าวหาของนายอำเภอได้เลย
อดีตผู้บังคับบัญชาของพ่อมีสายเลือดเป็นทหาร เมื่อได้รับคำยืนยันก็มั่นใจ และยิ่งเห็นเสื้อพลทหารของพ่อที่เก่าคร่ำคร่าก็นิ่งอึ้งด้วยน้ำตาซึมๆ ซึ่งคงจะเป็นเพราะรำลึกถึงลูกน้องเก่าที่ล้มตายในเหตุการณ์ครั้งกระโน้น จากนั้นจึงได้เข้าไปหาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รายงานความให้ทราบและขอความเป็นธรรมให้กับพ่อ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ท่านก็เป็นทหารแท้ เมื่อทราบว่าลูกน้องของลูกน้องไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความทุกข์ร้อนจากการข่มเหงราษฎรโดยไม่เป็นธรรม จึงมีคำสั่งให้ย้ายนายอำเภอออกจากพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมง และให้ยกเลิกคดีที่กล่าวหาพ่อผมทั้งหมดในทันที.
โปรดติดตามตอนที่ 43 “วิบากของการทอดทิ้งบิดา มารดา ตอน 1” ในวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2550