xs
xsm
sm
md
lg

เดินหน้ารื้อสัมปทานสื่อสาร "สนธิ"รุดหารือ"สุรยุทธ์"-สั่งกองทัพปรับระบบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"สนธิ"ดอดพบ "สุรยุทธ์"หารือ "รื้อสัมปทาน"โทรศัพท์-ดาวเทียม สั่งกองทัพปรับระบบสื่อสาร หันกลับมาใช้แบบเดิม "ประสิทธิ"ชี้ช่องแก้กฎหมายยกเลิกสัมปทานเอกชนเมื่อไรก็ได้ "จรัญ"เอาด้วย สั่งดีเอสไอวางระเบียบใช้เครื่องดักฟัง ให้อำนาจอธิบดีสั่งการได้คนเดียว เอไอเอส รับประกันลูกค้า100% ไม่มีดักฟัง ท้าหากตรวจเจอยินดีให้ยึดสัมปทาน พร้อมให้ดำเนินคดี อ้างที่ผ่านมาเคยปฎิเสธปปส.-ปปง.ให้ช่วยดักฟัง ด้านตร.ไม่เลิกใสเกียร์ว่างจัดการกุหลาบแก้วคดีนอมินีสิงคโปร์ ระบุต้องรอเอกสาร ส่วนทูตสิงโปร์โร่พบ"อารีย์"อยากให้ความสัมพันธ์กลับมาโดยเร็ว

เมื่อเวลา 10.00 น.วานนี้(19ม.ค.)พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)ได้เข้าพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งการเข้าพบดังกล่าวเป็น การเข้าพบภายหลังจากที่เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.สนธิ ระบุว่าเตรียมที่จะหารือกับรัฐบาลครั้งใหญ่เพื่อจัดการกับปัญหาการถูกดักฟังโทรศัพท์ และความลับด้านความมั่นคงรั่วไหลไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยประเด็นที่จะหารือคือเรื่องสัมปทานโทรศัพท์ และดาวเทียม

**เตรียมรื้อระบบสื่อสารของกองทัพ

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช.กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างกองทัพไทยกับสิงคโปร์ ว่า กองทัพกับการเมือง ต้องแยกกันออกมา ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพยังดีอยู่ แต่บางส่วนต้องอธิบายให้กองทัพสิงคโปร์เข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมามีความสมควรแค่ไหน เรามุ่งเน้นตรงนี้

ส่วนจะมีการขยายผลเพื่อยกเลิกสัมปทานดาวเทียมของไทย ที่สิงคโปร์ถือหุ้นอยู่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับบอร์ด และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต้องว่ากันต่อไป ซึ่งเรื่องความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อถามว่า ขณะนี้กองทัพถูกดักฟังใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ทุกส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องเครื่องมือสื่อสาร มันสามารถนำไปเก็บเป็นข้อมูลได้ทั้งหมด

เมื่อถามว่าคมช.จะมีการเปลี่ยนแปลงใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ จากระบบเอไอเอส เป็นอย่างอื่นหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ตอนนี้เราหันกลับมาใช้ในลักษณะของการเป็นวิทยุมากขึ้น เมื่อถามว่า แสดงว่ากรมสื่อสารกองทัพบกจะเข้ามามีบทบาทใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เครื่องมือเรามีอยู่แล้ว แต่เราใช้ตรงนั้นน้อย เรามาใช้อย่างอื่นช่วย ดังนั้นเราจึงหันกลับมาใช้เครื่องมือเก่าของเรา

ด้านพล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ปกติการติดต่อสื่อสารในหน่วยทหาร เรามีหมายเลขโทรศัพท์ห้าหลักอยู่แล้ว และยังมีช่องทางอื่น คือขององค์การโทรศัพท์ สองช่องทางนี้ก็น่าจะมีความปลอดภัยในเรื่องการดักฟังค่อนข้างสูง ส่วนโทรศัพท์มือถือเอไอเอส ก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เราก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้แค่ไหน แต่เมื่อเป็นข่าวขึ้นมา ก็ต้องระมัดระวังกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ เสนาธิการทหารบก ได้มีการหารือกับ พล.อ.บุญรอด ถึงกรณีที่มีข่าวว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้ซื้อเครื่องดักฟังสัญญาณโทรศัพท์มาไว้ในสำนักงานกระทรวงกลาโหม ในสมัยของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม ซึ่งขณะนี้พล.อ.มนตรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบที่กระทรวงกลาโหมแล้ว ว่ามีการจัดซื้อเครื่องดักฟังสัญญาโทรศัพท์จริงหรือไม่

**ชี้ช่องแก้ กม.ยกเลิกสัมปทาน

นายประสิทธิ์ โฆวิลัยกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลงานด้านกฎหมายของรัฐบาล ให้ความเห็นถึงความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายการถือหุ้นของต่างชาติที่เกินสัดส่วน เพื่อยกเลิกสัมปทานดาวเทียม เพื่อการสื่อสารกับบริษัทเอกชนที่มีปัญหาด้านความมั่นคงว่า ในส่วนตัวแล้วยังไม่ได้ศึกษาถึงเนื้อหาของกฎหมายดังกล่าว แต่ก็จะต้องศึกษาหากมีการส่งเรื่องมายังตนแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางกฎหมายหากมีการขอเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในสัญญาในกฎหมายจะมีผลอย่างไร นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ในหลักกฎหมายทั่วไปหากกฎหมายมีการทำไปแล้ว และมีผลผูกพัน ในระหว่างที่อยู่ในระหว่างของสัญญานั้น ก็คงจะต้องปฏิบัติตามสัญญา

"ถ้าจะมีการแก้ไขสัญญาก็จะต้องให้ทั้ง 2 ฝ่าย ที่เป็นคู่สัญญามาเจรจากันก่อน เพื่อจะแก้ไขสัญญาแต่ถ้าเป็นกรณีที่ในสัญญาเขียนไว้ว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะมีส่วนปรับปรุงแก้ไขกฎหมายของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ให้ปฏิบัติตามสัญญา ถ้าเป็นกรณีตามสัญญาจะเป็นเช่นนี้"นายประสิทธิ์ กล่าว

หากเป็นกรณีที่ไม่มีการเขียนสัญญาไว้ จะแก้ไขเพื่อให้ยกเลิกสัมปทานได้หรือไม่นั้น นายประสิทธ์ กล่าวว่า ประเด็นนี้ที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ โดยไม่ยอมให้แก้ไข ก็ยังจะต้องเจรจากัน ในข้อกฎมายทั่วไปคือ จะต้องดูข้อสัญญาแล้วจึงมาเจรจากัน ดังนั้นถ้าไม่เป็นอำนาจที่อีกฝ่ายหนึ่งที่จะปรับปรุงแก้ไขสัญญาโดยฝ่ายเดียว คือ ต้องมีการเจรจา

"ในกรณีที่จะให้มีการปรับเปลี่ยนสัญญา จำเป็นจะต้องให้สัญญาสัมปทานครบก่อนหรือไม่ อันนี้คิดว่าคงไม่จำเป็น ถ้าตัวกฎหมายไม่เขียนอ้างเอาไว้ เพราะสัญญานั้นจะปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงเมื่อไรก็ได้ ถ้าเป็นกรณีที่คู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่ายนั้นมีความเห็นชอบต่อกัน ซึ่งเป็นข้อกฎหมายทั่วไป" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯฝ่ายกฎหมาย กล่าว

**"จรัญ"สั่งดีเอสไอวางระเบียบดักฟัง

นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการใช้เครื่องดักฟังโทรศัพท์ว่า หน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)เพียงหน่วยงานเดียวที่มีเครื่องดักฟังโทรศัพท์ ตามอำนาจ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งทางดีเอสไอ ได้สั่งซื้อเข้ามาตามระเบียบขั้นตอนทุกอย่าง มี 2 เครื่อง และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นได้สั่งการให้นายไกรสร บารมีอวยชัย รักษาการอธิบดีดีเอสไอ เข้าไปจัดระเบียบการใช้ เพื่อตรวจสอบการใช้เครื่องดักฟังให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยมีการกำหนดผู้ควบคุมประจำเครื่อง มีผู้รับผิดชอบที่เป็นตัวตนแน่นอน และการใช้งานจะต้องผ่านการอนุมัติจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษสั่งการเพียงคนเดียว

ด้านนายไกรสร บารมีอวยชัย กล่าวว่า ว่า ได้สั่งการให้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ รองอธิบดีดีเอสไอ ออกระเบียบการใช้เครื่องดักฟังโทรศัพท์ใช้ชัดเจนมากขึ้น โดยต้องระบุพื้นที่ที่จะนำเครื่องดักฟังโทรศัพท์ไปใช้ ซึ่งที่ผ่านมาการขออนุญาตนำเครื่องไปใช้ไม่ต้องผ่านเรื่องมายังอธิบดี เป็นอำนาจของผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยี และศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้เครื่องดักฟังอยู่ในการควบคุมของสำนักคดีเทคโนโลยีฯ

**เอไอเอสท้าถอนสัมปทาน

นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวถึงปัญหาเรื่องการดักฟังโทรศัพท์มือถือว่า เอไอเอส ขอยืนยันว่าไม่เคยมีเครื่องดักฟังในบริษัท ซึ่งพร้อมให้หน่วยราชการเข้ามาตรวจสอบดูได้ หากพบก็พร้อมให้ดำเนินการถอนใบอนุญาตและดำเนินคดีตามกม.

"ขอยืนยันว่าลูกค้าของเอไอเอสไม่ถูกดักฟัง 100% เอไอเอสไม่เคยมี ไม่เคยทำ และไม่เคยนำเข้าอุปกรณ์ในการดักฟัง รวมทั้งไม่เคยครอบครองด้วย"

นายสมประสงค์ กล่าวด้วยว่า จุดยืนในการทำธุรกิจ และหลักปฏิบัติในการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งเป็นหลักมาตรฐานที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ เรื่องความปลอดภัยในการส่งข้อมูลข่าวสารของผู้ใช้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการ เนื่องจากเอไอเอสเป็นเพียงผู้ให้บริการทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลเท่านั้น เหมือนเป็นคนสร้างถนนทำทางด่วน ผู้ใช้บริการคือผู้ใช้ยานพาหนะวิ่งบนถนน ผู้ใช้จะเอาอะไรมาวิ่งหรือขนอะไรขึ้นอยู่กับผู้ใช้บริการ บริษัทไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ เจตนารมย์ของบริษัท ที่ยึดมั่นในหลักการธรรมาภิบาล ซึ่งต้องปฏบัติตามกม.ให้ครบถ้วนและเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ดังนั้นเมื่อมีกรณีดักฟังเกิดขึ้นจริง และได้มีประกาศของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และประกาศคปค.ซึ่งห้ามเรื่องนี้ เอไอเอสก็ปฏิบัติตาม และบริษัทก็เห็นด้วยหากพบว่ามีการดักฟังจริงก็ต้องถูกยึดใบอนุญาตและดำเนินคดีตามกม.

ทั้งนี้ การนำเข้าอุปกรณ์โทรคมนาคมทั้งหลาย จะต้องมีใบอนุญาตซึ่งเป็นรายการที่สามารถตรวจสอบได้ทั้งจากบริษัทเองและหน่วยงานกำกับดูแลอย่างกรมไปรษณีย์โทรเลขในอดีตหรือกทช.ในปัจจุบัน ซึ่งถึงแม้ทางทฤษฏีการดักฟังจะสามารถทำได้ แต่ถ้าขาดอุปกรณ์ก็ไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ

"เอไอเอสยังได้มีทีมตรวจสอบในเรื่องดักฟังโดยมีคุณวิกรม ศรีประทักษ์ ซีทีโอรับผิดชอบซึ่งยังไม่เคยพบการกระทำผิดเลย แต่ในอนาคตหากพบพนักงานทำผิด ก็จะต้องไล่ออกและดำเนินคดีตามกม." นายสมประสงค์ กล่าว

นายสมประสงค์ กล่าวถึงกรณีของนอมินีว่า เป็นปัญหาของบริษัทกุหลาบแก้วที่จะมีการชี้ขาด ซึ่งเรื่องนี้ผู้ถือหุ้นของเอไอเอสไม่มีปฏิกริยาอะไร

**อ้างปปส.-ปปง.เคยขอให้ดักฟัง

ด้านนายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการเอไอเอส กล่าวว่าเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐอย่างปปส.และ ปปง.ได้เคยเรียกประชุมผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือ เพื่อขอความร่วมมือในการดักฟัง เนื่องจากต้องการตรวจสอบเส้นทางยาเสพติดและการฟอกเงิน รวมทั้งเคยนำคำสั่งศาลขอความร่วมมือกับเอไอเอส แต่เอไอเอสไม่เคยดักฟังเลยสักครั้งเดียว

นอกจากนี้ ในช่วงดังกล่าว หน่วยงานของรัฐได้ขอความร่วมมือและขอข้อมูลเอไอเอสเกี่ยวกับการจัดซื้ออุปกรณ์การดักฟัง ซึ่งเอไอเอสได้เรียกสอบราคาจาก 4 เวนเดอร์อย่างหัวเหว่ย อีริคสัน โนเกีย พบว่าราคาอุปกรณ์มีตั้งแต่ชุดละ 1 ล้านเหรียญจนถึง 10 ล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อทราบราคาหน่วยงานดังกล่าวก็หายไป ไม่มีการจัดซื้ออุปกรณ์แต่อย่างใด

ส่วนกรณีดาวเทียมไคมคมของบริษัท ชินแซทเทลไลท์นั้นนายวิเชียร กล่าวว่า ดาวเทียมก็เหมือนกระจกไว้สะท้อนสัญญาณเท่านั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าของข้อมูลที่จะทำหน้าที่เข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลของตัวเอง เนื่องจากดาวเทียมเป็นระบบเปิดหากเจ้าของข้อมูลไม่เข้ารหัส ไม่ว่าใครก็สามารถตั้งจานดาวเทียมให้ตรงตำแหน่งดาวเทียมดวงนั้นแล้วดูดสัญญาณได้

**"กุหลาบแก้ว"อืด ตร.อ้างรอเอกสาร

พล.ต.ต.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง ผบก.ปศท.(ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีกุหลาบแก้วว่า ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนเรื่องการขอเอกสารที่มีความเกี่ยวข้องกับคดี จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีเป็นจำนวนมากกว่า 10,000 แผ่น โดยหน่วยงานที่ได้ร้องขอไปบางส่วน ยังขอผัดผ่อนในการส่งเอกสารมาตรวจสอบที่ปศท. ทำให้การสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง คงต้องรอหลังจากตรวจเอกสารทั้งหมดก่อน เพื่อหาว่า ผู้ใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง

สำหรับข้อสงสัยที่ว่า ผู้ที่ต้องสอบสวนบางคนที่ยังอยู่ในต่างประเทศนั้น จะสามารถทำการสอบสวนได้หรือไม่ ก็คงต้องอาศัยหลักฐานจากเอกสารที่ร้องขอไป ว่ามีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับคดีมากน้อยแค่ไหน

"หากบุคคลที่เกี่ยวข้องที่อยู่ต่างประเทศ มีความสำคัญกับคดีจริง ก็สามารถส่งเจ้าหน้าที่ไปสอบสวนยังต่างประเทศ หรือสามารถเรียกตัวกลับมาสอบสวนในประเทศไทยได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม"พล.ต.ต.รุจิรัตน์ กล่าว

**ทูต-กงสุลใหญ่ประเทศเพื่อนบ้านเข้าพบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 10.30 น.วันเดียวกันนี้ คณะเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ประจำประเทศ เวียดนาม ลาว กัมพูชา และพม่า เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล

นายรัฐกิจ มานะทัต เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เปิดเผย ภายหลังเข้าพบนายกรัฐมนตรี ว่า นายกรัฐมนตรีเน้นความร่วมมือระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในกรอบทวิภาคี และพหุภาคี โดยเฉพาะกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ระหว่างกัมพูชา ลาว พม่า ไทย และเวียดนาม (ACMECS)

นายกรัฐมนตรีเน้นถึงนโยบายที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ หรือข้อตกลงที่ได้ทำไว้ ยืนยันว่าให้ดำเนินการต่อไป รวมทั้งจะมีโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้นตามเหตุการณ์และความจำเป็น ที่เราเห็นว่ามีประโยชน์กับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมองว่าความสงบของเขตแดนถือเป็นปัจจัยสำคัญในความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีไม่ได้เน้นย้ำเรื่องการทำความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเห็นว่าการดำเนินการที่เป็นอยู่นั้นดีอยู่แล้ว

"สิ่งหนึ่งที่ช่วยความมั่นใจ คือ รัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านให้ความมั่นใจกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการประชุมวันนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ได้ย้ำเรื่องความเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรี พูดแต่เรื่องปัจจุบันและอนาคต"นายรัฐกิจ กล่าว

**"สุรยุทธ์"นัดสื่อ-คอลัมน์นิสต์หารือ

เมื่อเวลา 12.00 น.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เชิญผู้บริหารสื่อสิ่งพิมพ์และคอลัมน์นิสต์ประจำหนังสือพิมพ์รายวัน จำนวน 8 คน มาร่วมหารือถึงสถานการณ์บ้านเมือง พร้อมกับรับประทานอาหารเป็นการส่วนตัวที่บ้านพิษณุโลก ประกอบด้วย นายเทพชัย หย่อง ผู้บริหารเครือเนชั่น นายลิขิต จงสกุล คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นายกำแหง ภิรตานนท์ หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ นายบุญเลิศ คชายุทธเดช มติชน นายคำนูณ สิทธิสมาน หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นายกมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม หนังสือพิมพ์แนวหน้า นายโรจน์ งามแม้น คอลัมน์นิสต์จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ และ นายวีระ ประทีปชัยกุล หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โดยมีรัฐมนตรีรวมหารือด้วยอาทิ นายนิตย์ พิบูลย์สงคราม รมว.ต่างประเทศ นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

รายงานข่าวแจ้งว่า เนื้อหาการหารือในครั้งนี้ เกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วๆไป เช่น เรื่องร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของต่างด้าว ซึ่งเนื้อหาส่สนใหญ่ก็คล้ายกับที่ รมว.พาณิชย์ได้ชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปแล้ว รวมทั้งมาตรการทางการทูตที่ไทยตอบโต้สิงคโปร์ ในกรณีที่รัฐบาลสิงคโปร์ให้การต้อนรับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และยอมให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศโจมตีรัฐบาลไทย ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับมาเลเซีย

นอกจากนี้ยังมีการคุยกันเรื่องการทำงานของตำรวจ และตำแหน่ง ผบ.ตร.ของพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ตนเป็นคนมีหลักการในการทำงาน ก่อนที่จะทำอะไรลงไปต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน ก่อนจะลงโทษใครต้องมีความผิดที่ชัดเจน ไม่เคยลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่มีเหตุผล จึงต้องให้เวลาเขาก่อน แต่ขณะนี้ก็ได้เร่งรัดไปแล้ว และให้รายงานผลการทำงานมาด้วย แม้ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องภายในกี่วัน แต่ต้องเร็ว เมื่อแจ้งไปแล้วถ้าไม่มีคำตอบก็ต้องตัดสินใจ ซึ่งการพิจารณษจะไม่ใช่เรื่องระเบิดอย่างเดียว แต่รวมถึงเรื่องผลงานอื่นๆที่ผ่านมาด้วย เช่นเรื่องเผาโรงเรียน

**"บิ๊กแอ้ด-บิ๊กจิ๋ว"ร่วมงานกองทัพบกชื่นมื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงค่ำวานนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กล่าวสุนทรพจน์ เนื่องในงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพบก ที่ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก โดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม และ ผู้นำเหล่าทัพ เดินทางไปร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น ซึ่งเป็นที่ น่าสังเกตว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ได้เดินเคียงข้างกับ พล.อ.ชวลิต ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการตอบโต้กันผ่านสื่อ อย่างไรก็ตาม งานเลี้ยงดัง กล่าวไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด

**ทูตสิงค์โปร์พบ"อารีย์"ฟื้นสัมพันธ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องรับรองกระทรวงมหาดไทย นายปีเตอร์ ชาง เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ ประจำประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยใช้เวลา 35 นาที

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รองผู้ว่าฯปทุมธานี ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย แถลงภายหลังการเข้าพบว่า ในการเข้าพบได้พูดคุย 3 ประเด็นหลัก คือ 1.เอกอัครราชทูตได้ยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศมีมาช้านาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จเยือนประเทศสิงคโปร์ และได้มีการพระราชทาน รูปหล่อช้างทองสัมฤทธิ์ แก่ทางการสิงคโปร์ อันถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของชาติไทย และทางการสิงคโปร์ได้อัญเชิญประดิษฐานอยู่หน้าอาคารรัฐสภาหลังเดิมมาตราบจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งทางเอกอัครราชทูตยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จะไม่มีกรณีใดมาขวางกั้น

2.รูปแบบการบริหารราชการกระทรวงมหาดไทยของไทย โดยเฉพาะสถานการณ์ปัญหาน้ำท่วม ทางรัฐบาลสิงคโปร์พร้อมให้ความช่วยเหลือในด้านเทคนิคต่างๆ หากทางรัฐบาลไทยต้องการความช่วยเหลือ และสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงบทบาทของ ศอ.บต.ซึ่งทางเอกอัครราชทูตเชื่อว่า สถานการณ์จะสงบโดยเร็ว และยังได้เชิญนายอารีย์ ไปเยือนและเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีความร่วมมือทางด้านความมั่นคงของภูมิภาคที่จะจัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ในเดือนมี.ค.นี้

3.ให้นำเรื่องชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีว่าประเทศสิงคโปร์มีความสัมพันธ์ระดับปกติ และจะกลับคืนสู่มิตรประเทศโดยเร็วที่สุด

"คำพูดของเอกอัครราชทูต เน้นย้ำต่อนายอารีย์ว่าอยากให้สถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด ซึ่งคำพูดของเอกอัครราชทูตหากกล่าวอะไรในทางการทูต ย่อมถือว่าเป็นเสียงสะท้อน และเป็นตัวแทนของรัฐบาลสิงคโปร์ โดยเอกอัครราชทูตบอกว่าจะนำเรื่องการเข้าพบนี้รายงานให้ผู้บริหารประเทศสิงคโปร์รับทราบ ขณะเดียวกันนายอารีย์ จะแจ้งเรื่องดังกล่าวให้พล.อ.สุรยุทธ์ทราบเช่นเดียวกัน"ม.ล.ปนัดดา กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น