xs
xsm
sm
md
lg

รู้ทัน ธุรกิจ:พรบ. ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว (ฉบับแก้ไข) ดีพอหรือยัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

และแล้ว...วันอังคารที่ 9 มกราคม 2550 ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่บรรดานักวิชาการ นักธุรกิจทั้งไทยและเทศ ต่างแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อต่างๆ มากมาย หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับหลักการแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งประเด็นหลักๆ ที่แก้ไขมีอยู่ 3 ประเด็นคือ การให้คำนิยาม “คนต่างด้าว” การกำหนดบทลงโทษ และธุรกิจที่อยู่ในบัญชีแนบท้าย 3 ก่อนหน้านี้นายปีเตอร์ จอห์น แวน ฮาเรน ประธานหอการค้าต่างชาติ “หัวเสียมาก” เพราะมองว่า พรบ. ฉบับแก้ไขนี้จะทำนักลงทุนกังวลแล้วจะถอนเงินลงทุนไปในที่สุด สอดคล้องกับความคิดเห็นของ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ที่เชื่อว่า พรบ. ดังกล่าวจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติถอนทุนและชะลอการลงทุนในที่สุด แต่หลังจากที่ผ่าน ครม. แล้ว ฟังน้ำเสียง...รู้สึกเบาลงๆ ประมาณว่า “ต้องทำใจ”

กฎหมายฉบับนี้กำเนิดขึ้นจากวิฤกติเศรษฐกิจของไทย ในช่วงนั้นประเทศไทย “หิวกระหาย” เงินตราต่างประเทศมาก!! ทั้งนี้เพื่อชดเชยทุนในประเทศและต่างชาติที่สูญเสียไปกับเศรษฐกิจที่พังลงในปี 2541 ด้วยความต้องการเงินตราจากต่างประเทศ จึงต้องแก้ไขคำสั่งคณะปฎิวัติหรือที่เรียกว่า “ปว. 281” เปลี่ยนมาเป็น พรบ. ฉบับนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี 2542 เป็นต้นมา อีกด้านหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าการมี พรบ. ฉบับนี้มาพร้อมๆ กับรัฐบาลทักษิณ!! ที่ต้องการเปิดประเทศรับกระแสทุนนิยมเต็มร้อย ทว่า...เมื่อไร้ซึ่งเงาของรัฐบาล แต่ร่องรอยที่ยังคงมีไว้ให้ดูต่างหน้าคือกรณีการถือหุ้นแทนหรือที่เรียกว่า “โนมินี (Nominee)” ส่งผลให้มีการรื้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจของบริษัทต่างชาติ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและชัดเจนขึ้น

เมื่อมีการกล่าวว่า พรบ. ฉบับแก้ไขนี้จะเป็น “ขวากหนาม” ต่อการลงทุนต่างชาตินั้น ผมคิดอย่างนี้ครับ... จริงๆ แล้ว พรบ. ฉบับนี้มีทั้งส่วนที่เข้มข้นขึ้นและเจือจางลง โดยความเข้มข้นที่ว่าก็คือบรรดาธุรกิจที่อยู่ในบัญชีหนึ่งและสอง ซึ่งมีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ต้องมาแจ้งภายใน 90 วัน และลดหุ้นภายใน 1 ปี ส่วนกรณีมีสิทธิออกเสียงเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ก็ต้องมาแจ้งภายใน 90 วันเช่นกัน และต้องลดสิทธิการออกเสียงภายใน 2 ปี สำหรับธุรกิจในบัญชีสาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจภาคบริการ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการลดหุ้นและการลดสิทธิเลย เพียงแต่มาแจ้งให้หน่วยงานภาครัฐทราบเท่านั้นพอ สำหรับความเจือจาง...คือการเปิดเสรีมากขึ้น และเห็นทีจะหนีไม่พ้นธุรกิจที่อยู่ในบัญชีสาม!! ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจการเงินการธนาคาร ธุรกิจหลักทรัพย์ โบรกเกอร์ และซื้อขายเกษตรล่วงหน้า ซึ่งเมื่อก่อนการทำธุรกิจเหล่านี้จะต้องขออนุญาตก่อน ส่วนกรณีของยักษ์ใหญ่อย่าง เทสโก้โลตัสและคาร์ฟู ยังอยู่ได้สบายๆ กับกฎหมายฉบับนี้ แต่อีกสักพักคงไม่รอดเหมือนกัน!! เพราะจะมีร่าง พรบ. ค้าส่งค้าปลีกออกมาประหารที่หลัง...

แล้วอย่างนี้กระทบต่อการลงทุนจากต่างชาติหรือไม่?! อันนี้ก็ต้องมาดูว่ามีธุรกิจกี่รายและอะไรบ้างที่เข้าข่ายโดนหางเลข!! จากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังรายงานว่ามีธุรกิจต่างชาติในเมืองไทยมีเกือบ 40,000 ราย และที่ถูกกระทบมีมากกว่า 1,000 บริษัท โดยธุรกิจที่เป็นการผลิตหรืออุตสาหกรรมนั้น ไม่ได้รับผลกระทบเลยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่มีมูลค่าในการผลิตสูง เช่น ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้นเพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในบัญชีแนบท้าย นั่นหมายความว่าไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการถือหุ้นและสิทธิการออกเสียงเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นเป้าหมายในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในปีนี้ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับเลย นอกเสียจากจะถูกกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจอื่นๆ แทน หันไปดูการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติที่ผ่าน BOI แน่นอน!! ไม่กระทบร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะมีการระบุไว้ชัดว่าไม่ครอบคลุมถึง ขณะเดียวกันนักลงทุนจากประเทศสหรัฐฯ ก็จะไม่โดนกระทบเพราะมีพันธกรณีภายใต้ “Treaty of Amity and Economic Relations” ซึ่งเป็นสนธิสัญญาไมตรีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 ซึ่งให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการไทยและสหรัฐฯ เท่าเทียมกันในด้านการลงทุน

เมื่อเรามีกฎหมายใหม่...หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?? หากการแก้กฎหมายฉบับนี้มีเป้าประสงค์เพื่อแก้โจทย์ “ถือหุ้นแทน” ก็อย่าไปคาดหวังมากว่าจะแก้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะในการปฏิบัตินั้นยังถือว่ายากที่จะตรวจสอบ!! ยกตัวอย่างหากผมเป็นนักลงทุนต่างชาติเดิมถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ ผมแก้ให้ถูกต้องโดยเหลือเพียง 49 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 2 เปอร์เซ็นต์ ผมให้เงินลูกน้องผมที่เป็นคนไทยไปซื้อแทน แม้ว่าสิทธิในการออกเสียงใหม่ตามกฎหมายของผมมีเพียง 49 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ผมก็ยังมีอำนาจในการควบคุม ชี้แนะ ชี้นำ สิทธิในการออกเสียงอีก 2 เสียงได้อยู่ดี เพราะลูกน้องที่กินเงินเดือนผมทุกๆ เดือน คงต้องเชื่อคำสั่งผมแน่ๆ คราวนี้รัฐฯ จะตรวจสอบอย่างไรดีล่ะ?! ลำพังกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่เป็นเจ้าของเรื่องนี้โดยตรง เฉพาะดูแลเรื่องการจัดตั้งบริษัทจดทะเบียนใหม่ในแต่ละวันก็แทบหมดแรง...

ดังนั้น ทางออกในเบื้องต้น หน่วยงานรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องร่วมมือ ร่วมใจและประสานทั้งการทำงานและข้อมูลในการตรวจสอบ หากรวมภาคเอกชนเข้าไปด้วยก็ไม่เลว นอกจากนี้ผมขอเพิ่มเติมว่าหากต้องการโค่น “โนมินี” ให้โล่งเตียน ประเด็นที่กำหนดการลงทุนขั้นต่ำไว้เพียง 2 ล้านบาทต้องแก้ไขให้เพิ่มขึ้น เงินลงทุนแค่นี้ “จิ้บจ้อยมาก” สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ประเด็นถัดมา การเอาผิดโดยการฟ้องศาลนั้น ยังไม่มีการแก้ไข ความผิดที่เกิดขึ้นยังต้องใช้เวลานานกว่าเรื่องจะจบ ทำไมเราไม่โยนให้คณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวตัดสินใจว่าจะถอนบัตรอนุญาตทันที นักลงทุนประเภท “อีแอบ” จะได้ไม่กล้าทำผิดกฎหมาย อีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่นๆ คือที่มาของคณะกรรมการประกอบธุรกิจ ควรมีตัวแทนของท้องถิ่น อาจเป็นผู้รู้หรือนักปราชญ์ในท้องถิ่น หรือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นๆ เข้ามาเป็นกรรมการให้ข้อมูลที่แท้จริงระดับจังหวัด

อย่างไรก็ตาม พรบ. ฉบับนี้จะขจัดปัญหาได้ผลชะงักงันหรือไม่นั้น แต่ก็ยังดีกว่าประเทศไทยไม่ทำอะไรเลย ความมั่นใจหลังจากนี้ผมคิดว่าจะดีขึ้น เพราะต่างชาติที่มองเข้ามา เขาจะคิดได้ทันทีว่าการทำธุรกิจในเมืองไทยมีความเป็นสากลมากขึ้น เท่าเทียมกันและโปร่งใส “เป็นเรื่องแปลกแต่จริง“ ที่ว่า... นักลงทุนต่างชาติเมื่ออยู่นอกประเทศมักจะโหยหาความโปร่งใส แต่พอเข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทยและเจอกฎระเบียบที่เป็นสากลมากขึ้น “กลับโวยวาย รับไม่ได้” ตรงกันข้าม เวลาคนไทยไปทำมาค้าขายในบ้านท่าน ประเทศท่าน “ไล่ขยี้เรา เราไม่เคยบ่น” โลกนี้ช่างยุติธรรมดีเสียจริง...ท่านเอย

กำลังโหลดความคิดเห็น