สกว.เสนองานวิจัย"เตรียมประเทศไทย รองรับภัยใหม่"นักวิชาการเผยปลายปีนี้ เสนอแนวทางการพัฒนากฎหมายการต่อต้านการก่อการร้ายอย่างบูรณาการแก่รัฐบาล หลัง"สุรยุทธ์"บินลงนามอนุสัญญาเซบู เผยเตรียมใช้วิธีดักฟัง-สะกดรอย เป็นข้อมูลในชั้นศาลเอาผิดผู้ก่อการร้าย หลังศาลยกฟ้องหลายคดี ชี้ปี 50 การก่อการร้ายทุกรูปแบบรุนแรงกว่าเดิม
วานนี้(17 ม.ค.)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)จัดแถลงข่าวเสนองานวิจัย "เตรียมประเทศไทย ...รองรับภัยใหม่" ณ ห้องประชุม สกว. อาคารเอสเอ็ม ชั้น 14 โดยรศ.ดร.ประธาน วัฒนวาณิชย์ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตนได้พิจารณาถึงข้อกฎหมายในการจัดการกับการก่อการร้ายอย่างบูรณาการ โดยมีด้วยกัน 3 ส่วน คือ 1. กฎหมายระหว่างประเทศ 2.กฎหมายภายในประเทศ และ 3. การพัฒนากฎหมาย เพราะแต่ละประเทศประสบภัยคุกคามการก่อการร้ายแตกต่างกัน เช่น ประเทศญี่ปุ่นไม่ค่อยเจอภัยคุกคามการก่อการร้าย แต่ให้เงินสนับสนุนการพัฒนากฎหมายการก่อการร้าย แก่ประเทศในอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา ที่มีความร่วมมือในการลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศมากกว่าประเทศไทยเสียอีก อาทิ อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันการก่อการร้ายอากาศยาน อนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนการเงินในการก่อการร้าย
อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังไม่ได้มีการเชื่อมโยงประสานการทำงานไปยังต่างประเทศเพียงพอ เช่น ยุโรปและสหรัฐฯ โดยเฉพาะเรื่องเส้นทางการสนับสนุนทางการเงินของผู้ก่อการร้ายในต่างประเทศ ให้มีกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้ เพราะการก่อการร้ายทำโดยองค์กร เครือข่าย หรือบริษัทที่จดทะเบียน มีทุกรูปแบบ"สิ่งที่มีตัวตน" ซึ่งภายในปลายปีนี้จะนำเสนอแนวทางการพัฒนากฎหมายการต่อต้านการก่อการร้ายอย่างบูรณาการแก่รัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)
"ประเทศไทยได้มีการแก้ไขกฎหมายอาญาเพิ่มเติมในประมวลกฎหมายอาญา ความผิดการก่อการร้าย มาตรา 135/1,2,3 และ 4 รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้ความผิดฐานก่อการร้ายเป็นความผิดมูลฐาน เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการปราบปรามการให้เงินสนับสนุนการก่อการร้าย"
รศ.ดร.ประธาน กล่าวว่า ในส่วนของความร่วมมือในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์นั้น นายกรัฐมนตรีได้มีการลงนามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายในอาเซียน ซึ่งจะเป็นการสร้างกรอบทางกฎหมายสำหรับความร่วมมือในการต่อต้าน ป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐบาลไทยมีส่วนในอนุสัญญาด้วยกัน 3 เรื่อง คือ 1. ความผิดทางอาญา 2. การส่งผู้ร้ายข้ามแดน และ 3. ความร่วมมือระหว่างประเทศ ในกระบวนการยุติธรรมหรือทางศาลระหว่างกัน เช่น การสืบพยาน การค้นหาหลักฐาน แลกเปลี่ยนระหว่างกัน ดังนั้นต้องมีการพัฒนากฎหมายการเอาผิดผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติม ด้านการดำเนินคดี เพราะการกระทำผิดบางอย่างของผู้ที่คาดว่าจะก่อการร้ายนั้น อาจจะกระทำเพื่อวัตถุประสงค์การก่อการร้ายบางอย่าง เช่น เพื่อสนับสนุนการก่อการร้าย เช่น การลักทรัพย์ การวางระเบิด การทำร้ายร่างกาย การปล้นทรัพย์ เพื่อนำไปสนับสนุนการก่อการร้าย
ดังนั้นสิ่งสำคัญประเทศไทยต้องพัฒนาสารบัญญัติ การเอาผิดและลงโทษ รวมถึงการพิจารณาคดีอาญาเพื่อนำไปสู่การพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิด ซึ่งในการใช้กฎหมายต้องมีเครื่องมือเป็นพิเศษ ต้องมีการบูรณาการการใช้กฎหมาย เช่น กม.การฟอกเงิน กม.การค้ายาเสพติด หรือกม.กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ให้มีการประสานการทำงานระหว่างหน่วยงานและ ผู้ปฏิบัติการรู้กลไกสืบสวน สอบสวน จับกุม ควบคุมตัวทั้งหมดอย่างดี
"ทางยูเอ็นเองก็มีอนุสัญญาเกี่ยวกับการก่อการร้าย 13 ฉบับ จนฉบับล่าสุดที่มีอนุสัญญาเกี่ยวกับการต่อต้านการใช้อาวุธนิเคลียร์มาข่มขู่ให้รัฐบาลกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง"
นอกจากนี้ ในหน่วยงานการต่อต้านการจรกรรม และการแทรกซึม เพื่อป้องกันภัยคุกคาม ซึ่งเป็นหน่วยงานนี้ไม่ได้มุ่งไปที่จะนำหลักฐานดังกล่าว นำไปพิจารณาความทางคดี แต่จะใช้วิธีการเฉพาะในการดำเนินการจับกุม และพิจารณาคดี เช่น หากต้องการจะจับกุมลงโทษผู้กระทำการก่อการร้าย ทางผู้ปฏิบัติงานจะได้อำนาจพิเศษเฉพาะที่ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานต้นสังกัดระดับอธิบดีให้มีคำสั่งพิเศษไปดำเนินการในการพัฒนากฎหมายเพื่อป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายนั้น เห็นว่า ควรจะเป็นหน่วยงานข้าราชการ และพลเรือน ไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่งถ้าจะให้หน่วยงานทางทหารเป็นผู้ร่าง แต่ควรให้หน่วยงานราชการ และพลเมืองที่เป็นกลางทางการเมือง เพราะกฎหมายฉบับนี้กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง คนออกกฎหมาย และ คนใช้กฎหมาย ต้องเป็นหน่วยงานกลาง ที่เป็นกลางทางการเมืองเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กฎหมายความมั่นคงภายใน เช่น ประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นกฎหมายเผด็จการ เพราะไม่มีระบบตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการคำนึงเส้นแบ่งระหว่างสิทธิเสรีภาพ กับ ความมั่นคงภายใน เช่น การดักฟัง กล้องวงจรปิด การตรวจสอบติดตามเรื่องส่วนบุคคล ดังนั้นถ้าจะมีกฎหมายความมั่นคงภายใน ต้องมีการคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพประชาชน และการตรวจสอบการใช้อำนาจด้วย
นายสนิท ชมชาญ อดีตข้าราชการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวว่า งานหลักสำคัญสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เป็นองค์กรที่จะมากำหนดนโยบาย และมาตรการป้องกัน จากข้อมูลหลักฐานด้านลับที่ได้ไปสืบเสาะหามา เพื่อนำมากำหนดนโยบาย และมาตรการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำหลักฐานเหล่านั้นมาเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นศาล เพราะในชั้นศาลจะไม่รับหลักฐานงานข่าวกรอง เช่น การดักฟัง สะกดรอย
อย่างไรก็ตาม ในร่างกฎหมายการต่อต้านการก่อการร้ายที่กำลังเร่งร่างอยู่นี้ และจะนำเสนอต่อรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)กลางปีหรือปลายปีนี้ ที่จะเพิ่มแง่มุมทางกฎหมายในการพิจารณาคดีในชั้นศาล หาก ปปง. ปปส. และ ดีเอสไอ มีหลักฐานหรือพยานแวดล้อมเพียงพอที่จะระบุได้ว่า คนหรือกลุ่มบุคคลนั้นต้องสงสัย จะขออนุมัติจากศาลในการติดตามหาหลักฐานในทางลับ เช่น ดักฟังโทรศัพท์ แอบถ่ายภาพ หรือสะกดรอย ซึ่งก็เป็นการขออนุมัติโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อมีหลักฐานแน่ชัดว่า บุคคลๆนั้นก่อการเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง ก่อการร้ายก็นำหลักฐานเหล่านั้นมาประกอบสำนวนคดี ดำเนินการเอาผิดแก่บุคคลนั้นได้
"เราจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพมนุษยชน หรือความมั่นคงของรัฐ เช่น การดักฟัง ที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายเกิดขึ้น ซึ่งก่อนที่เราจะไปการตรวจสอบติดตามดักฟังโทรศัพท์ หรือกล้องวงจรปิด ก็ไปขออนุมัติคำสั่งจากศาล แต่เมื่อได้หลักฐานเอาผิดชัดเจน ก็นำไปประกอบสำนวนคดีอาญา ศาลก็จะรับฟังได้"
สำหรับปัญหาความรุนแรงในพื้นทื่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ขณะนี้ผู้ก่อความไม่สงบจะดำเนินการยุทธวิธีทุกวิถีทางทุกรูปแบบ เพื่อต่อต้านในแนวทางสมานฉันท์ และการปรับขบวนใหม่ของรัฐบาล เช่น ศอ.บต.และพตท.43 ที่ยังไม่ลงตัวดีนัก จึงเป็นช่องว่างที่ทางกลุ่มใช้วิธีการทุกรูปแบบในการดำเนินการ เช่น ให้แนวร่วมฆ่าข่มขู่ให้คนไทยพุทธออกจากพื้นที่ ส่วนคนไทยมุสลิมคนใดช่วยเหลือรัฐก็จะถูกฆ่า เพื่อแสดงให้ภาครัฐเห็นว่า ทางกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมีศักยภาพและสร้างขวัญกำลังใจให้กับแนวร่วม ซึ่งความรุนแรงใน จ.ยะลา รุนแรงมากที่สุด เพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายเห็นว่าในพื้นที่จ.ยะลาเป็นพื้นที่ที่มีแนวร่วมขบวนการมากที่สุด จึงออกประกาศว่าจะปักธงรัฐปัตตานี ที่ อ.มะนังสะตา
"เชื่อว่าความรุนแรงในปี 50 นี้จะรุนแรงไม่แพ้ปี 49 ที่ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบกดดันทุกรูปแบบ ซึ่งอย่างน้อยการแก้ปัญหาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4ปี"
รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข หัวหน้าโครงการความมั่นคงศึกษา สกว.กล่าวว่า สกว.ได้ศึกษาถึงภายคุกคามแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยเฉพาะข้อกังวลกับภัยที่จะเกิดเมืองขนาดใหญ่ ที่มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่อาศัยอยู่ในตึกสูง รวมทั้งระบบขนส่งมวลชน ควรจะมีวิธีป้องกันตัวเองที่เหมาะสมและสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับในต่างประเทศ
ทั้งนี้เห็นว่า ควรสร้างมาตรการที่สำคัญในการเผชิญกีบความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เช่น สร้างระบบงานที่สามารถครอบคลุมระบบของเมือง สร้างเมืองให้เข้มแข็ง สร้างระบบคุ้มครองผู้ปฏิบัติงาน สร้างการสื่อสารกับประชาชน สร้างระบบสื่อสารระหว่างหน่วยงาน สร้างการมีส่วนร่วมของการตัดสินใจ และสร้างระบบการบริหารงานฉุกเฉินในพื้นที่
"สกว.ได้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ เช่นในการให้หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนจัดทำบันทึกรายการตึกสูงหรือหน่วยงานที่ถูกโทรศัพท์ขู่วางระเบิด ที่ควรจะให้มีการบันทึกคำบอกเล่าระหว่างคนรับโทรศัพท์ และคนขู่ เป็นต้น หรือหากจะให้มีการอพยพ ปิดถนน ปิดโรงเรียน หรือปิดระบบการสื่อสารควรจะมีการชี้แจง ระบบการตัดสินใจหรือการรองรับปัญหาให้กับภาคเอกชนหรือหน่วยงานนั้น ๆ อย่างไร"
วานนี้(17 ม.ค.)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)จัดแถลงข่าวเสนองานวิจัย "เตรียมประเทศไทย ...รองรับภัยใหม่" ณ ห้องประชุม สกว. อาคารเอสเอ็ม ชั้น 14 โดยรศ.ดร.ประธาน วัฒนวาณิชย์ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตนได้พิจารณาถึงข้อกฎหมายในการจัดการกับการก่อการร้ายอย่างบูรณาการ โดยมีด้วยกัน 3 ส่วน คือ 1. กฎหมายระหว่างประเทศ 2.กฎหมายภายในประเทศ และ 3. การพัฒนากฎหมาย เพราะแต่ละประเทศประสบภัยคุกคามการก่อการร้ายแตกต่างกัน เช่น ประเทศญี่ปุ่นไม่ค่อยเจอภัยคุกคามการก่อการร้าย แต่ให้เงินสนับสนุนการพัฒนากฎหมายการก่อการร้าย แก่ประเทศในอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา ที่มีความร่วมมือในการลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศมากกว่าประเทศไทยเสียอีก อาทิ อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันการก่อการร้ายอากาศยาน อนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนการเงินในการก่อการร้าย
อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังไม่ได้มีการเชื่อมโยงประสานการทำงานไปยังต่างประเทศเพียงพอ เช่น ยุโรปและสหรัฐฯ โดยเฉพาะเรื่องเส้นทางการสนับสนุนทางการเงินของผู้ก่อการร้ายในต่างประเทศ ให้มีกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้ เพราะการก่อการร้ายทำโดยองค์กร เครือข่าย หรือบริษัทที่จดทะเบียน มีทุกรูปแบบ"สิ่งที่มีตัวตน" ซึ่งภายในปลายปีนี้จะนำเสนอแนวทางการพัฒนากฎหมายการต่อต้านการก่อการร้ายอย่างบูรณาการแก่รัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)
"ประเทศไทยได้มีการแก้ไขกฎหมายอาญาเพิ่มเติมในประมวลกฎหมายอาญา ความผิดการก่อการร้าย มาตรา 135/1,2,3 และ 4 รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้ความผิดฐานก่อการร้ายเป็นความผิดมูลฐาน เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการปราบปรามการให้เงินสนับสนุนการก่อการร้าย"
รศ.ดร.ประธาน กล่าวว่า ในส่วนของความร่วมมือในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์นั้น นายกรัฐมนตรีได้มีการลงนามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายในอาเซียน ซึ่งจะเป็นการสร้างกรอบทางกฎหมายสำหรับความร่วมมือในการต่อต้าน ป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐบาลไทยมีส่วนในอนุสัญญาด้วยกัน 3 เรื่อง คือ 1. ความผิดทางอาญา 2. การส่งผู้ร้ายข้ามแดน และ 3. ความร่วมมือระหว่างประเทศ ในกระบวนการยุติธรรมหรือทางศาลระหว่างกัน เช่น การสืบพยาน การค้นหาหลักฐาน แลกเปลี่ยนระหว่างกัน ดังนั้นต้องมีการพัฒนากฎหมายการเอาผิดผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติม ด้านการดำเนินคดี เพราะการกระทำผิดบางอย่างของผู้ที่คาดว่าจะก่อการร้ายนั้น อาจจะกระทำเพื่อวัตถุประสงค์การก่อการร้ายบางอย่าง เช่น เพื่อสนับสนุนการก่อการร้าย เช่น การลักทรัพย์ การวางระเบิด การทำร้ายร่างกาย การปล้นทรัพย์ เพื่อนำไปสนับสนุนการก่อการร้าย
ดังนั้นสิ่งสำคัญประเทศไทยต้องพัฒนาสารบัญญัติ การเอาผิดและลงโทษ รวมถึงการพิจารณาคดีอาญาเพื่อนำไปสู่การพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิด ซึ่งในการใช้กฎหมายต้องมีเครื่องมือเป็นพิเศษ ต้องมีการบูรณาการการใช้กฎหมาย เช่น กม.การฟอกเงิน กม.การค้ายาเสพติด หรือกม.กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ให้มีการประสานการทำงานระหว่างหน่วยงานและ ผู้ปฏิบัติการรู้กลไกสืบสวน สอบสวน จับกุม ควบคุมตัวทั้งหมดอย่างดี
"ทางยูเอ็นเองก็มีอนุสัญญาเกี่ยวกับการก่อการร้าย 13 ฉบับ จนฉบับล่าสุดที่มีอนุสัญญาเกี่ยวกับการต่อต้านการใช้อาวุธนิเคลียร์มาข่มขู่ให้รัฐบาลกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง"
นอกจากนี้ ในหน่วยงานการต่อต้านการจรกรรม และการแทรกซึม เพื่อป้องกันภัยคุกคาม ซึ่งเป็นหน่วยงานนี้ไม่ได้มุ่งไปที่จะนำหลักฐานดังกล่าว นำไปพิจารณาความทางคดี แต่จะใช้วิธีการเฉพาะในการดำเนินการจับกุม และพิจารณาคดี เช่น หากต้องการจะจับกุมลงโทษผู้กระทำการก่อการร้าย ทางผู้ปฏิบัติงานจะได้อำนาจพิเศษเฉพาะที่ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานต้นสังกัดระดับอธิบดีให้มีคำสั่งพิเศษไปดำเนินการในการพัฒนากฎหมายเพื่อป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายนั้น เห็นว่า ควรจะเป็นหน่วยงานข้าราชการ และพลเรือน ไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่งถ้าจะให้หน่วยงานทางทหารเป็นผู้ร่าง แต่ควรให้หน่วยงานราชการ และพลเมืองที่เป็นกลางทางการเมือง เพราะกฎหมายฉบับนี้กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง คนออกกฎหมาย และ คนใช้กฎหมาย ต้องเป็นหน่วยงานกลาง ที่เป็นกลางทางการเมืองเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กฎหมายความมั่นคงภายใน เช่น ประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นกฎหมายเผด็จการ เพราะไม่มีระบบตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการคำนึงเส้นแบ่งระหว่างสิทธิเสรีภาพ กับ ความมั่นคงภายใน เช่น การดักฟัง กล้องวงจรปิด การตรวจสอบติดตามเรื่องส่วนบุคคล ดังนั้นถ้าจะมีกฎหมายความมั่นคงภายใน ต้องมีการคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพประชาชน และการตรวจสอบการใช้อำนาจด้วย
นายสนิท ชมชาญ อดีตข้าราชการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวว่า งานหลักสำคัญสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เป็นองค์กรที่จะมากำหนดนโยบาย และมาตรการป้องกัน จากข้อมูลหลักฐานด้านลับที่ได้ไปสืบเสาะหามา เพื่อนำมากำหนดนโยบาย และมาตรการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำหลักฐานเหล่านั้นมาเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นศาล เพราะในชั้นศาลจะไม่รับหลักฐานงานข่าวกรอง เช่น การดักฟัง สะกดรอย
อย่างไรก็ตาม ในร่างกฎหมายการต่อต้านการก่อการร้ายที่กำลังเร่งร่างอยู่นี้ และจะนำเสนอต่อรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)กลางปีหรือปลายปีนี้ ที่จะเพิ่มแง่มุมทางกฎหมายในการพิจารณาคดีในชั้นศาล หาก ปปง. ปปส. และ ดีเอสไอ มีหลักฐานหรือพยานแวดล้อมเพียงพอที่จะระบุได้ว่า คนหรือกลุ่มบุคคลนั้นต้องสงสัย จะขออนุมัติจากศาลในการติดตามหาหลักฐานในทางลับ เช่น ดักฟังโทรศัพท์ แอบถ่ายภาพ หรือสะกดรอย ซึ่งก็เป็นการขออนุมัติโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อมีหลักฐานแน่ชัดว่า บุคคลๆนั้นก่อการเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง ก่อการร้ายก็นำหลักฐานเหล่านั้นมาประกอบสำนวนคดี ดำเนินการเอาผิดแก่บุคคลนั้นได้
"เราจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพมนุษยชน หรือความมั่นคงของรัฐ เช่น การดักฟัง ที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายเกิดขึ้น ซึ่งก่อนที่เราจะไปการตรวจสอบติดตามดักฟังโทรศัพท์ หรือกล้องวงจรปิด ก็ไปขออนุมัติคำสั่งจากศาล แต่เมื่อได้หลักฐานเอาผิดชัดเจน ก็นำไปประกอบสำนวนคดีอาญา ศาลก็จะรับฟังได้"
สำหรับปัญหาความรุนแรงในพื้นทื่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ขณะนี้ผู้ก่อความไม่สงบจะดำเนินการยุทธวิธีทุกวิถีทางทุกรูปแบบ เพื่อต่อต้านในแนวทางสมานฉันท์ และการปรับขบวนใหม่ของรัฐบาล เช่น ศอ.บต.และพตท.43 ที่ยังไม่ลงตัวดีนัก จึงเป็นช่องว่างที่ทางกลุ่มใช้วิธีการทุกรูปแบบในการดำเนินการ เช่น ให้แนวร่วมฆ่าข่มขู่ให้คนไทยพุทธออกจากพื้นที่ ส่วนคนไทยมุสลิมคนใดช่วยเหลือรัฐก็จะถูกฆ่า เพื่อแสดงให้ภาครัฐเห็นว่า ทางกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมีศักยภาพและสร้างขวัญกำลังใจให้กับแนวร่วม ซึ่งความรุนแรงใน จ.ยะลา รุนแรงมากที่สุด เพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายเห็นว่าในพื้นที่จ.ยะลาเป็นพื้นที่ที่มีแนวร่วมขบวนการมากที่สุด จึงออกประกาศว่าจะปักธงรัฐปัตตานี ที่ อ.มะนังสะตา
"เชื่อว่าความรุนแรงในปี 50 นี้จะรุนแรงไม่แพ้ปี 49 ที่ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบกดดันทุกรูปแบบ ซึ่งอย่างน้อยการแก้ปัญหาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4ปี"
รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข หัวหน้าโครงการความมั่นคงศึกษา สกว.กล่าวว่า สกว.ได้ศึกษาถึงภายคุกคามแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยเฉพาะข้อกังวลกับภัยที่จะเกิดเมืองขนาดใหญ่ ที่มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่อาศัยอยู่ในตึกสูง รวมทั้งระบบขนส่งมวลชน ควรจะมีวิธีป้องกันตัวเองที่เหมาะสมและสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับในต่างประเทศ
ทั้งนี้เห็นว่า ควรสร้างมาตรการที่สำคัญในการเผชิญกีบความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เช่น สร้างระบบงานที่สามารถครอบคลุมระบบของเมือง สร้างเมืองให้เข้มแข็ง สร้างระบบคุ้มครองผู้ปฏิบัติงาน สร้างการสื่อสารกับประชาชน สร้างระบบสื่อสารระหว่างหน่วยงาน สร้างการมีส่วนร่วมของการตัดสินใจ และสร้างระบบการบริหารงานฉุกเฉินในพื้นที่
"สกว.ได้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ เช่นในการให้หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนจัดทำบันทึกรายการตึกสูงหรือหน่วยงานที่ถูกโทรศัพท์ขู่วางระเบิด ที่ควรจะให้มีการบันทึกคำบอกเล่าระหว่างคนรับโทรศัพท์ และคนขู่ เป็นต้น หรือหากจะให้มีการอพยพ ปิดถนน ปิดโรงเรียน หรือปิดระบบการสื่อสารควรจะมีการชี้แจง ระบบการตัดสินใจหรือการรองรับปัญหาให้กับภาคเอกชนหรือหน่วยงานนั้น ๆ อย่างไร"