แต่ในเวลาเดียวกัน เราต้องตระหนักว่า ลัทธิสงคราม และ How to ว่าด้วยสงครามนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น กลับดำรงอยู่คู่โลกนี้มายาวนาน อย่างน้อยประมาณ 2,000 ปี
ถ้าย้อนประวัติศาสตร์โลก ลัทธิสงคราม และทฤษฎีสงคราม นั้น มีกำเนิดมาพร้อมกับสายวัฒนธรรมแบบตะวันตก
สายวัฒนธรรมโลกในยุคโบราณ นับแต่ยุคชุมชนโบราณ แบ่งออกเป็น 2 สายใหญ่
สายแรก คือ สายอารยธรรมลุ่มน้ำ ที่ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หลังนามีเขตป่าเขาที่อุดม อารยธรรมชุดนี้ คือ ที่มาของสายวัฒนธรรมแบบตะวันออก ที่รักและเคารพธรรมชาติ ยกย่องผู้หญิง ชีวิตอยู่สงบ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่กันอย่างสันติ
อีกสายหนึ่ง คือ สายชนเผ่า ส่วนใหญ่มักอยู่ในเขตหนาว หรือตอนเหนือของเขตลุ่มน้ำ ชีวิตดำรงอยู่อย่างไม่พอเพียง ต้องเร่ร่อน เลี้ยงสัตว์ ชอบปล้นชิง อย่างเช่น พวกอารยัน พวกไวกิ้ง และพวกมองโกล
วัฒนธรรมแบบนี้คือ ที่มาของสายวัฒนธรรมแบบตะวันตก เป็นวัฒนธรรมที่ยกย่องสงคราม การปล้นชิง ชอบการต่อสู้ ยกย่องความเป็นชาย นับถือพระเจ้า(แห่งสงคราม) หลายองค์
วัฒนธรรมตะวันตกนี้มีชัยเหนือระบบโลก 2 ครั้ง
ครั้งแรก ก่อเกิดตั้งแต่ยุคการสร้างอาณาจักรโบราณขนาดใหญ่ เริ่มจากชาวเผ่าอารยัน (คนยุโรป) ขยายอำนาจเข้าครอบครองเหนือศูนย์อารยธรรมเก่าแถบลุ่มน้ำ ที่เคยเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของชนลุ่มน้ำ 3 แห่งของโลก คือ ที่ประเทศอินเดีย กรีก และตะวันออกกลาง
การรุกรานของชนเผ่าอารยัน คือที่มาและการก่อกำเนิดแห่งอาณาจักรขนาดใหญ่ และนำเสนอลัทธิที่ยกย่องสงคราม หรือการปล้นชิง ยกย่องความเป็นชาย นำมาซึ่งลัทธิชนชั้น และวรรณะ รวมทั้งเป็นที่มาของการกำเนิดขึ้นของวรรณะทาส หรือ ผู้ถูกจับเป็นทาส เพราะพ่ายแพ้สงคราม
ครั้งที่ 2 เริ่มจาก ชาวยุโรปยึดครองโลกทั้งโลกด้วยสงครามเช่นกัน นี่คือที่มาของลัทธิการล่าอาณานิคม และเป็นที่มาของระบอบทุนนิยม และสังคมนิยม
จนถึงปัจจุบัน ผู้คนในโลกล้วนถูกครอบด้วยวัฒนธรรมและทฤษฎีแบบตะวันตก รวมทั้งหลักการที่ผลิตจากโลกตะวันตก
ถึงวันนี้ แม้ว่าผมไม่ชอบทฤษฎีตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันตกนัก แต่มองไปทางไหน ก็เห็นแต่ทฤษฎีตะวันตก อะไรดี อะไรเลว เลยต้องใช้ทฤษฎี และหลักการแบบตะวันตกตัดสิน
อย่างเช่น เรา “หลง” เชื่อกันว่า ประชาธิปไตย (เลือกตั้งแบบตะวันตก) ดี หรือว่า ดีมากๆ
จนหลงเชื่อกันว่า พวกคนจนๆ ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ยอม “ตาย” เพื่อสร้างประชาธิปไตยโดยการโค่นล้มระบอบศักดินา หรือระบอบทหาร เพื่อเปิดทางให้บรรดาคนรวยๆ ปกครอง
เราไม่ตระหนักว่า ลัทธิประชาธิปไตยแบบตะวันตก แม้จะเป็นลัทธิที่ส่งเสริมเรื่องการให้สิทธิแก่ประชาชนบ้าง แต่ก็เป็นลัทธิที่ยกย่องชนชั้นผู้ปกครอง(คนรวย) และวางอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ผู้ถูกปกครองต้องขึ้นต่อผู้ปกครอง
ดังนั้น ลัทธิประชาธิปไตยแบบนี้จึงถือได้ว่าเป็นลัทธิอัตตานิยม และชนชั้นนิยมแบบหนึ่ง ที่มองข้ามความสามารถของประชาชนที่จะปกครองตัวเอง
นอกจากนี้ ลัทธิประชาธิปไตยแบบตะวันตก จะเสนอว่า “มนุษย์” เท่านั้นที่มีสิทธิ์และมีค่า ซึ่งมองข้ามความจริงว่า ทุกสิ่งในโลกธรรมชาติล้วนมีสิทธิ์ และมีค่า ไม่ต่างจากมวลมนุษย์
วิถีคิดแบบตะวันออกจะนำเสนอเรื่องธรรมาธิปไตย (ธรรมชาติเป็นใหญ่) แบบของท่านพุทธทาสที่เคยนำเสนอ และประชาธิปไตยชุมชน (แบบประชาชนเป็นใหญ่จริงๆ)
ผมคิดว่า ผู้คนตะวันออกต้องกล้าคิด กล้าก้าวพ้นรูปแบบการปกครองแบบตะวันตก ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากวัฒนธรรมตะวันตก
ไม่เพียงเรื่อง หลักการ หรือทฤษฎี เท่านั้นที่ต่างกัน แนวทางในการปฏิบัติก็ต่างกัน
คนตะวันออกจะปฏิบัติอะไร ก็ต้องคิดว่า ดีงาม หรือไม่
คนที่คิดแบบเต๋า แบบพุทธ จะให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติมากๆ ดังนั้น หลักการในการปฏิบัติ ที่เหมาะ ที่ควร จึงถูกนำเสนอขึ้น
อย่างเช่น คนตะวันออกจะสู้แบบสันติวิธีและสู้ด้วยปัญญาเป็นหลัก วิธีสู้ของคนตะวันออกจะต่างจากคนตะวันตกเช่นกัน
ชาวเต๋าจะเชื่อหลักการ “ไม่กระทำ” เพราะชาวตะวันออกเชื่อว่า สิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายล้วนทำลายตัวมันเอง
เต๋าจะลุกขึ้นต่อสู้ เมื่อปรากฏการณ์เลวร้ายก่อเกิด พัฒนา และอย่างเห็นได้ชัด หรือใกล้ถึงขั้น “สุกงอม” แล้ว เท่านั้น
ความคิดแบบตะวันออกเช่นนี้ จะเรียกว่าเป็น Pragmatism แบบหนึ่งก็ได้ เพราะจะเน้นเรื่อง จังหวะ วิธีการปฏิบัติ และผลจากการปฏิบัติมากๆ
คนที่เป็น Pragmatism แบบตะวันออก เขาจึงระวังการปฏิบัติ และผลจากการปฏิบัติมากๆ
ก่อนเกิดรัฐประหาร ผมได้รับเชิญจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ให้ไปพูดอภิปราย ก่อนจบงานนักข่าวถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าทหารทำรัฐประหาร
ผมตอบว่า
“ผมไม่เห็นด้วยนัก เพราะด้านหนึ่ง รัฐประหารสะท้อนถึงวัฒนธรรมอำนาจนิยม ที่เชื่อว่า อำนาจ หรือ การใช้อำนาจ แก้ปัญหาได้ ผมเกรงว่า หลังรัฐประหารแล้ว สภาวะวิกฤติเก่าจะคงอยู่ และในเวลาเดียวกัน จะนำมาซึ่งรูปแบบวิกฤติใหม่ อย่างเช่น วิกฤติความชอบธรรม และวิกฤติประชาธิปไตย”
อาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งที่ร่วมอภิปราย ท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาฯ ที่ผ่านมาท่านก็คัดค้านระบอบทักษิณเช่นกัน ท่านก็ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นห่วงว่ารัฐประหารจะก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักหน่วงตามมา
สัก 2 วันหลังเกิดรัฐประหาร ผมเจออาจารย์ที่เคยสอนผมมาตั้งแต่ผมยังเป็นนักศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ ท่านเป็นผู้นำสำคัญในการต่อต้านระบอบทักษิณคนหนึ่ง ท่านถามผมว่า
“ไปร่วมวางแผนรัฐประหารหรือเปล่า”
ผมตอบว่า “ไม่ครับ”
ท่านคงสังเกตจากใบหน้าผม ว่าผมไม่สบายใจนัก จึงกล่าวว่า
“คนอย่างพวกเราคิดมาก คิดละเอียด แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดอะไรง่ายๆ ก็คิดแก้อะไรแบบง่ายๆ”
ความจริงแล้ว วิถีตะวันออกสอนให้เรารู้ค่าของความละเอียด และความงาม จะพูดอะไร จะเขียนอะไร จะทำอะไร ก็ต้องระวัง
ปัญหาของประเทศไทย ไม่ใช่เรื่อง Pragmatism เท่านั้นหรอก แต่เป็นเรื่องที่เรา “ตก” หรือ “หลง” ในลัทธิและทฤษฎีสงคราม(แบบตะวันตก) และชอบแก้ปัญหาด้วยวิธีมักง่าย มากกว่า (ยังมีต่อ)
ถ้าย้อนประวัติศาสตร์โลก ลัทธิสงคราม และทฤษฎีสงคราม นั้น มีกำเนิดมาพร้อมกับสายวัฒนธรรมแบบตะวันตก
สายวัฒนธรรมโลกในยุคโบราณ นับแต่ยุคชุมชนโบราณ แบ่งออกเป็น 2 สายใหญ่
สายแรก คือ สายอารยธรรมลุ่มน้ำ ที่ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หลังนามีเขตป่าเขาที่อุดม อารยธรรมชุดนี้ คือ ที่มาของสายวัฒนธรรมแบบตะวันออก ที่รักและเคารพธรรมชาติ ยกย่องผู้หญิง ชีวิตอยู่สงบ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่กันอย่างสันติ
อีกสายหนึ่ง คือ สายชนเผ่า ส่วนใหญ่มักอยู่ในเขตหนาว หรือตอนเหนือของเขตลุ่มน้ำ ชีวิตดำรงอยู่อย่างไม่พอเพียง ต้องเร่ร่อน เลี้ยงสัตว์ ชอบปล้นชิง อย่างเช่น พวกอารยัน พวกไวกิ้ง และพวกมองโกล
วัฒนธรรมแบบนี้คือ ที่มาของสายวัฒนธรรมแบบตะวันตก เป็นวัฒนธรรมที่ยกย่องสงคราม การปล้นชิง ชอบการต่อสู้ ยกย่องความเป็นชาย นับถือพระเจ้า(แห่งสงคราม) หลายองค์
วัฒนธรรมตะวันตกนี้มีชัยเหนือระบบโลก 2 ครั้ง
ครั้งแรก ก่อเกิดตั้งแต่ยุคการสร้างอาณาจักรโบราณขนาดใหญ่ เริ่มจากชาวเผ่าอารยัน (คนยุโรป) ขยายอำนาจเข้าครอบครองเหนือศูนย์อารยธรรมเก่าแถบลุ่มน้ำ ที่เคยเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของชนลุ่มน้ำ 3 แห่งของโลก คือ ที่ประเทศอินเดีย กรีก และตะวันออกกลาง
การรุกรานของชนเผ่าอารยัน คือที่มาและการก่อกำเนิดแห่งอาณาจักรขนาดใหญ่ และนำเสนอลัทธิที่ยกย่องสงคราม หรือการปล้นชิง ยกย่องความเป็นชาย นำมาซึ่งลัทธิชนชั้น และวรรณะ รวมทั้งเป็นที่มาของการกำเนิดขึ้นของวรรณะทาส หรือ ผู้ถูกจับเป็นทาส เพราะพ่ายแพ้สงคราม
ครั้งที่ 2 เริ่มจาก ชาวยุโรปยึดครองโลกทั้งโลกด้วยสงครามเช่นกัน นี่คือที่มาของลัทธิการล่าอาณานิคม และเป็นที่มาของระบอบทุนนิยม และสังคมนิยม
จนถึงปัจจุบัน ผู้คนในโลกล้วนถูกครอบด้วยวัฒนธรรมและทฤษฎีแบบตะวันตก รวมทั้งหลักการที่ผลิตจากโลกตะวันตก
ถึงวันนี้ แม้ว่าผมไม่ชอบทฤษฎีตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันตกนัก แต่มองไปทางไหน ก็เห็นแต่ทฤษฎีตะวันตก อะไรดี อะไรเลว เลยต้องใช้ทฤษฎี และหลักการแบบตะวันตกตัดสิน
อย่างเช่น เรา “หลง” เชื่อกันว่า ประชาธิปไตย (เลือกตั้งแบบตะวันตก) ดี หรือว่า ดีมากๆ
จนหลงเชื่อกันว่า พวกคนจนๆ ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ยอม “ตาย” เพื่อสร้างประชาธิปไตยโดยการโค่นล้มระบอบศักดินา หรือระบอบทหาร เพื่อเปิดทางให้บรรดาคนรวยๆ ปกครอง
เราไม่ตระหนักว่า ลัทธิประชาธิปไตยแบบตะวันตก แม้จะเป็นลัทธิที่ส่งเสริมเรื่องการให้สิทธิแก่ประชาชนบ้าง แต่ก็เป็นลัทธิที่ยกย่องชนชั้นผู้ปกครอง(คนรวย) และวางอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ผู้ถูกปกครองต้องขึ้นต่อผู้ปกครอง
ดังนั้น ลัทธิประชาธิปไตยแบบนี้จึงถือได้ว่าเป็นลัทธิอัตตานิยม และชนชั้นนิยมแบบหนึ่ง ที่มองข้ามความสามารถของประชาชนที่จะปกครองตัวเอง
นอกจากนี้ ลัทธิประชาธิปไตยแบบตะวันตก จะเสนอว่า “มนุษย์” เท่านั้นที่มีสิทธิ์และมีค่า ซึ่งมองข้ามความจริงว่า ทุกสิ่งในโลกธรรมชาติล้วนมีสิทธิ์ และมีค่า ไม่ต่างจากมวลมนุษย์
วิถีคิดแบบตะวันออกจะนำเสนอเรื่องธรรมาธิปไตย (ธรรมชาติเป็นใหญ่) แบบของท่านพุทธทาสที่เคยนำเสนอ และประชาธิปไตยชุมชน (แบบประชาชนเป็นใหญ่จริงๆ)
ผมคิดว่า ผู้คนตะวันออกต้องกล้าคิด กล้าก้าวพ้นรูปแบบการปกครองแบบตะวันตก ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากวัฒนธรรมตะวันตก
ไม่เพียงเรื่อง หลักการ หรือทฤษฎี เท่านั้นที่ต่างกัน แนวทางในการปฏิบัติก็ต่างกัน
คนตะวันออกจะปฏิบัติอะไร ก็ต้องคิดว่า ดีงาม หรือไม่
คนที่คิดแบบเต๋า แบบพุทธ จะให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติมากๆ ดังนั้น หลักการในการปฏิบัติ ที่เหมาะ ที่ควร จึงถูกนำเสนอขึ้น
อย่างเช่น คนตะวันออกจะสู้แบบสันติวิธีและสู้ด้วยปัญญาเป็นหลัก วิธีสู้ของคนตะวันออกจะต่างจากคนตะวันตกเช่นกัน
ชาวเต๋าจะเชื่อหลักการ “ไม่กระทำ” เพราะชาวตะวันออกเชื่อว่า สิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายล้วนทำลายตัวมันเอง
เต๋าจะลุกขึ้นต่อสู้ เมื่อปรากฏการณ์เลวร้ายก่อเกิด พัฒนา และอย่างเห็นได้ชัด หรือใกล้ถึงขั้น “สุกงอม” แล้ว เท่านั้น
ความคิดแบบตะวันออกเช่นนี้ จะเรียกว่าเป็น Pragmatism แบบหนึ่งก็ได้ เพราะจะเน้นเรื่อง จังหวะ วิธีการปฏิบัติ และผลจากการปฏิบัติมากๆ
คนที่เป็น Pragmatism แบบตะวันออก เขาจึงระวังการปฏิบัติ และผลจากการปฏิบัติมากๆ
ก่อนเกิดรัฐประหาร ผมได้รับเชิญจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ให้ไปพูดอภิปราย ก่อนจบงานนักข่าวถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าทหารทำรัฐประหาร
ผมตอบว่า
“ผมไม่เห็นด้วยนัก เพราะด้านหนึ่ง รัฐประหารสะท้อนถึงวัฒนธรรมอำนาจนิยม ที่เชื่อว่า อำนาจ หรือ การใช้อำนาจ แก้ปัญหาได้ ผมเกรงว่า หลังรัฐประหารแล้ว สภาวะวิกฤติเก่าจะคงอยู่ และในเวลาเดียวกัน จะนำมาซึ่งรูปแบบวิกฤติใหม่ อย่างเช่น วิกฤติความชอบธรรม และวิกฤติประชาธิปไตย”
อาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งที่ร่วมอภิปราย ท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาฯ ที่ผ่านมาท่านก็คัดค้านระบอบทักษิณเช่นกัน ท่านก็ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นห่วงว่ารัฐประหารจะก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักหน่วงตามมา
สัก 2 วันหลังเกิดรัฐประหาร ผมเจออาจารย์ที่เคยสอนผมมาตั้งแต่ผมยังเป็นนักศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ ท่านเป็นผู้นำสำคัญในการต่อต้านระบอบทักษิณคนหนึ่ง ท่านถามผมว่า
“ไปร่วมวางแผนรัฐประหารหรือเปล่า”
ผมตอบว่า “ไม่ครับ”
ท่านคงสังเกตจากใบหน้าผม ว่าผมไม่สบายใจนัก จึงกล่าวว่า
“คนอย่างพวกเราคิดมาก คิดละเอียด แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดอะไรง่ายๆ ก็คิดแก้อะไรแบบง่ายๆ”
ความจริงแล้ว วิถีตะวันออกสอนให้เรารู้ค่าของความละเอียด และความงาม จะพูดอะไร จะเขียนอะไร จะทำอะไร ก็ต้องระวัง
ปัญหาของประเทศไทย ไม่ใช่เรื่อง Pragmatism เท่านั้นหรอก แต่เป็นเรื่องที่เรา “ตก” หรือ “หลง” ในลัทธิและทฤษฎีสงคราม(แบบตะวันตก) และชอบแก้ปัญหาด้วยวิธีมักง่าย มากกว่า (ยังมีต่อ)