ในที่สุดร่างแก้ไข พระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ได้ผ่านมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 9 มกราคม 2550 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล จะออกมาให้เหตุผลกับนักลงทุนต่างชาติเท่าใดก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า การกระทำในครั้งนี้เท่ากับเป็นความพยายามในการล้างมลทินให้กับเทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ที่เข้ามาซื้อชินคอร์ป
ต้องไม่ลืมว่า ชินคอร์ป เป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ในกิจการที่มีความมั่นคงต่อชาติ ทั้งการสัมปทานคลื่นความถี่โทรศัพท์มือถือของแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) สายการบินแอร์เอเซีย ดาวเทียมไทยคม และธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวอย่างสถานีโทรทัศน์ไอทีวี
การที่เทมาเส็กแห่งสิงคโปร์เข้ามาซื้อชินคอร์ปและใช้บริษัทตัวแทนสิงคโปร์เพื่อพรางว่า ชินคอร์ปยังเป็นของคนไทยอยู่ทั้งๆ ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายและเจตนารมณ์ในการเข้าครอบครองกิจการที่เป็นสิทธิการสัมปทานทรัพยากรของแผ่นดิน ต้องถือว่าเป็นการครอบครองกิจการต้องห้ามของคนต่างชาติอย่างผิดกฎหมายที่ไตร่ตรองเอาไว้แล้ว
และที่สำคัญเป็นการผิดสัญญา และผิดเงื่อนไขในการอนุญาตและสัมปทาน ซึ่งหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เป็นคู่สัญญาต้องทำหน้าที่เพิกถอนสัญญาสัมปทานนั้นเสีย หลังจากนั้นก็ต้องมาเข้าสู่กระบวนการหาคู่สัมปทานใหม่ตามขั้นตอน
เรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์ก็ได้เคยวินิจฉัยแล้วว่าเป็นการกระทำความผิด แต่ก็ยังมีกระบวนการ “แช่อิ่ม” ดึงเรื่องกันต่อไปโดยไม่ทำอะไร?
นอกจากจะใส่เกียร์ว่างแล้ว แม้แต่กรณีของ ไอทีวี ก็ดูเหมือนจะมีน้ำเลี้ยงพิเศษเข้ามาเพื่อต่ออายุโดยการจ่ายค่าสัมปทาน 2,200 ล้านบาท และพร้อมต่อสู้คดีความในเรื่องของค่าปรับโดยไม่สนใจในเรื่องปัญหาการเป็นกิจการของปัญหาความเสี่ยงเรื่องการถูกเพิกถอนเพราะกลายเป็นกิจการของต่างชาติและนอมินีต่างชาติ
ความจริงมาปรากฏเมื่อคณะรัฐมนตรีโดยนายเกริกไกร จีระแพทย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนี่เอง
วิธีการก็คือออกกฎหมายโดยนำปัญหากรณีของบริษัทกุหลาบแก้วและบริษัทนอมินีอื่นๆ ของเทมาเส็กในการเข้าซื้อชินคอร์ปเป็นตัวตั้งแล้วจึงออกกฎหมายแก้ไขตามหลัง
การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้หลักการในบทเฉพาะกาลเอาไว้ว่า บริษัทต่างชาติที่ถือหุ้นรวมกันทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมเกินกว่า 50% ต้องลดสัดส่วนลงภายใน 1 ปี ส่วนกรณีต่างชาติที่มีสิทธิ์ออกเสียงรวมกันแล้วเกินกว่า 50% จะต้องลดสิทธิ์ดังกล่าวลงภายใน 2 ปี
นี่คือกฎหมายที่เสมือนการ “นิรโทษกรรม” ให้กับเทมาเส็กในการซื้อหุ้นชินคอร์ปให้ยักย้ายถ่ายเทหุ้นในบริษัทกุหลาบแก้วและบริษัทนอมินีอื่นๆ เพื่อแก้ไขสัดส่วนการถือหุ้นภายใน 1 ปี และแก้ไขในเรื่องสิทธิ์การออกเสียงภายใน 2 ปี
นี่คือกระบวนการทำให้เชื่อและยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของกฎหมายที่ออกกฎหมายไม่ชัดเจน ทั้งๆ ที่กระทรวงพาณิชย์เคยสรุปเอาไว้แล้วว่าเป็นความผิดโดยไม่ต้องไปออกกฎหมายเพิ่มเติม
นี่คือความพยายามทำให้ทรัพย์สินของชินคอร์ปที่ซื้อมาโดยเทมาเส็ก ไม่ถูกลงโทษ ไม่ถูกเพิกถอน เพื่อที่จะทำให้กิจการทั้งหลายเหล่านี้ยังคงเป็นของสิงคโปร์ต่อไปในรูปแบบใหม่ที่แนบเนียนมากขึ้นกว่าเดิม
กฎหมายที่ให้คุณต่อผู้กระทำความผิดย่อมให้ผลย้อนหลัง อันเป็นผลทำให้ร่างแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จะไปล้างมลทินของเทมาเส็ก และประกอบกิจการในความมั่นคงของชาติได้ต่อไป
AIS, ไอทีวี, ดาวเทียม, และแอร์เอเซีย จะยังคงตกอยู่ในกำมือผู้ถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ปอย่างเทมาเส็กต่อไป!!!
ผลประโยชน์นับแสนล้านบาทกำลังส่งกลับคืนให้ต่างชาติในรูปแบบใหม่ที่ไม่รู้ว่ามีใครในรัฐบาลได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่?
-108 จุด ที่ดัชนีตลาดหุ้นร่วงวันเดียวเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 นั้น ก็อ้างว่าประเทศไทยไม่ต้องการเงินทุนระยะสั้นที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท
แต่คราวนี้การออกมาตรการนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินทุนระยะยาวทั้งสิ้น
เป็นการแก้ปัญหาของชินคอร์ป กุหลาบแก้ว และเทมาเส็กที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อนักลงทุนต่างชาติ!!!
การกล่าวอ้างว่าการออกกฎหมายฉบับนี้ได้จะทำให้การแก้ปัญหาเรื่อง “นอมินี” ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้หมดไปนั้น....
เป็นเรื่องที่แหกตาประชาชนทั้งประเทศ!!!
ธุรกิจหลายแห่งที่เขาลงเงินมาในประเทศเพราะประเทศไทยไม่มีการลงทุน บางธุรกิจคนไทยไม่มีเงินพอที่จะลงทุน และบางธุรกิจเป็นธุรกิจเฉพาะที่คนไทยขาดความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ
ดังนั้นการไปบังคับในเรื่องจำนวนหุ้นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือการบังคับในเรื่องของสิทธิ์การออกเสียงนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแค่ภาพมายาเท่านั้น เพราะสุดท้ายธุรกิจเหล่านี้ก็จะสามารถหาวิธีหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี
เพราะคนไทยไม่ได้มีเงินมากมายเพียงพอที่จะไปซื้อหุ้นในทุกกิจการ ใครจะไปพิสูจน์ได้ว่าสุดท้ายคนที่มาซื้อหุ้นเหล่านั้นใช้เงินต่างชาติเพื่อมาเป็น “นอมินี” ชนิดใหม่ที่มีสัญญาข้อตกลงกันอย่างลับๆและไม่เปิดเผย
เพราะบางธุรกิจต้องอาศัยการบริหารและการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญของคนต่างด้าว ใครที่จะไปพิสูจน์ได้ว่าคนที่มาใช้สิทธิ์ออกเสียงล้วนแล้วแต่เป็น “ลูกจ้างคนไทย” ของต่างชาติที่ทำตามมติและเซ็นเอกสารตามที่เจ้านายต่างชาติต้องการทุกประการ
ไม่เว้นแม้แต่ชินคอร์ปของเทมาเส็กที่สามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมในรูปแบบ “นอมินี” ในวันต่อๆ ไปได้เช่นกัน!!
เรื่องการกล่าวอ้างว่าต้องแก้ไขทั้งระบบโดยอ้างการออกกฎหมายเพื่อให้แก้ไขภายใน 1 ถึง 2 ปีนั้น จึงเป็นเรื่องแหกตาทั้งสิ้น และน่าจะมีเป้าหมายในการล้างมลทินช่วยเหลือให้กับกิจการโทรคมนาคมของต่างชาติเป็นสำคัญ
ในทางตรงกันข้ามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ฉบับนี้ต่างหากที่จะสร้างความยุ่งยากให้กับนักลงทุนมากขึ้น จนท้ายที่สุดก็คงจะมีนักธุรกิจบางกลุ่มตัดสินใจไม่ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทย และอาจจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นที่สะดวกในการลงทุนมากกว่า
วิธีการจึงไม่เกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่เป็นเรื่องที่ว่า รัฐบาลสามารถจับโจร “นอมินี” ที่ขัดต่อเจตนารมณ์ต่อกฎหมายได้หรือไม่?
เมื่อจับได้ก็ต้องมีบทลงโทษ ยิ่งเป็นธุรกิจต้องห้ามเพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเป็นสัมปทานในทรัพยากรของชาติด้วยแล้ว ยิ่งต้องลงโทษให้ได้หนักหน่วงและรวดเร็วที่สุด
ไม่ใช่ออกกฎหมายนิรโทษกรรม!!
หยุดอ้างได้แล้วว่า ทำเพื่อประชาชน รักชาติ ทำเพื่อนักลงทุน ทำเพื่อความโปร่งใส เพราะงานนี้เป็นการแหกตาปกป้องทุนจากระบอบทักษิณชัดๆ
ไม่แปลกใจหรอกว่าร่างกฎหมายฉบับนี้แอบทำกันอย่าง “งุบงิบ” ไม่เปิดเผยจนคณะทูต 28 ประเทศ และนักลงทุนทั้งโลกทนไม่ได้ต้องออกมาประท้วงว่าทำไมรัฐบาลไทยออกมาตรการบ้าบอโดยไม่ทำประชาพิจารณ์ถามความเห็นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศแม้แต่น้อย แล้วมันจะไปโปร่งใสได้อย่างไร?
เป็นการแอบทำกันอย่าง “งุบงิบ” เพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรีได้รู้ทันความเคลื่อนไหวของนักธุรกิจว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร และลักไก่นำเรื่องของความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีสำเร็จในที่สุด
ประชาชนที่เขาต่อสู้กันมาต่างทวงถามความคืบหน้าในการดำเนินการกับเหตุผลการทำรัฐประหาร 4 ข้อ เขาต้องอดทนต่อการทำงานของรัฐบาลและคมช. ไม่พออีกหรือ?
ประชาชนที่ต้องเจ็บใจที่การโยกย้ายสนับสนุนตำรวจที่สมคบกุ๊ยกระทืบประชาชนที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ จนมาถึงกรณีการปล่อยให้มีการวางเพลิงโรงเรียนหลายสิบแห่ง และการวางระเบิดในกรุงเทพมหานครโดยยังไม่ปลด พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ให้ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มันยังไม่ทำให้ประชาชนเจ็บช้ำน้ำใจเพียงพออีกหรือ?
ประชาชนต้องทนกับรัฐบาลที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่พยายามออกกฎหมายหวยล้างมลทินให้รัฐบาลชุดที่แล้ว ออกมาตรการที่ไร้ความเป็นมืออาชีพทางการเงิน ไปอีกนานเท่าไร?
และประชาชนจำเป็นต้องทนไปอีกนานเท่าไรกับคนในรัฐบาลและข้าราชการที่ใส่ “เกียร์ว่าง” และ “เกียร์ถอยหลัง” ทำเรื่องไม่เข้าท่าเต็มไปหมด ทั้งการเอาการศึกษาออกนอกระบบ, ไม่ยึดหนังสือเดินทางการทูตของทักษิณ ไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษกับการเอาผิดข้าราชการนักการเมืองขี้ฉ้อ ฯลฯ
จนประชาชนจำนวนมากเขาเริ่มสงสัยกันแล้วว่ารัฐบาลไม่มีอะไรที่จะทำแล้วหรืออย่างไร?
แต่นี่ถึงขั้นออกกฎหมายที่เสมือนนิรโทษกรรมให้กับทุนระบอบทักษิณอีกเช่นนี้ มันสุดแสนจะทนต่อไปได้จริงๆ!!!
ไม่ว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล จะออกมาให้เหตุผลกับนักลงทุนต่างชาติเท่าใดก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า การกระทำในครั้งนี้เท่ากับเป็นความพยายามในการล้างมลทินให้กับเทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ที่เข้ามาซื้อชินคอร์ป
ต้องไม่ลืมว่า ชินคอร์ป เป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ในกิจการที่มีความมั่นคงต่อชาติ ทั้งการสัมปทานคลื่นความถี่โทรศัพท์มือถือของแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) สายการบินแอร์เอเซีย ดาวเทียมไทยคม และธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวอย่างสถานีโทรทัศน์ไอทีวี
การที่เทมาเส็กแห่งสิงคโปร์เข้ามาซื้อชินคอร์ปและใช้บริษัทตัวแทนสิงคโปร์เพื่อพรางว่า ชินคอร์ปยังเป็นของคนไทยอยู่ทั้งๆ ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายและเจตนารมณ์ในการเข้าครอบครองกิจการที่เป็นสิทธิการสัมปทานทรัพยากรของแผ่นดิน ต้องถือว่าเป็นการครอบครองกิจการต้องห้ามของคนต่างชาติอย่างผิดกฎหมายที่ไตร่ตรองเอาไว้แล้ว
และที่สำคัญเป็นการผิดสัญญา และผิดเงื่อนไขในการอนุญาตและสัมปทาน ซึ่งหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เป็นคู่สัญญาต้องทำหน้าที่เพิกถอนสัญญาสัมปทานนั้นเสีย หลังจากนั้นก็ต้องมาเข้าสู่กระบวนการหาคู่สัมปทานใหม่ตามขั้นตอน
เรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์ก็ได้เคยวินิจฉัยแล้วว่าเป็นการกระทำความผิด แต่ก็ยังมีกระบวนการ “แช่อิ่ม” ดึงเรื่องกันต่อไปโดยไม่ทำอะไร?
นอกจากจะใส่เกียร์ว่างแล้ว แม้แต่กรณีของ ไอทีวี ก็ดูเหมือนจะมีน้ำเลี้ยงพิเศษเข้ามาเพื่อต่ออายุโดยการจ่ายค่าสัมปทาน 2,200 ล้านบาท และพร้อมต่อสู้คดีความในเรื่องของค่าปรับโดยไม่สนใจในเรื่องปัญหาการเป็นกิจการของปัญหาความเสี่ยงเรื่องการถูกเพิกถอนเพราะกลายเป็นกิจการของต่างชาติและนอมินีต่างชาติ
ความจริงมาปรากฏเมื่อคณะรัฐมนตรีโดยนายเกริกไกร จีระแพทย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนี่เอง
วิธีการก็คือออกกฎหมายโดยนำปัญหากรณีของบริษัทกุหลาบแก้วและบริษัทนอมินีอื่นๆ ของเทมาเส็กในการเข้าซื้อชินคอร์ปเป็นตัวตั้งแล้วจึงออกกฎหมายแก้ไขตามหลัง
การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้หลักการในบทเฉพาะกาลเอาไว้ว่า บริษัทต่างชาติที่ถือหุ้นรวมกันทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมเกินกว่า 50% ต้องลดสัดส่วนลงภายใน 1 ปี ส่วนกรณีต่างชาติที่มีสิทธิ์ออกเสียงรวมกันแล้วเกินกว่า 50% จะต้องลดสิทธิ์ดังกล่าวลงภายใน 2 ปี
นี่คือกฎหมายที่เสมือนการ “นิรโทษกรรม” ให้กับเทมาเส็กในการซื้อหุ้นชินคอร์ปให้ยักย้ายถ่ายเทหุ้นในบริษัทกุหลาบแก้วและบริษัทนอมินีอื่นๆ เพื่อแก้ไขสัดส่วนการถือหุ้นภายใน 1 ปี และแก้ไขในเรื่องสิทธิ์การออกเสียงภายใน 2 ปี
นี่คือกระบวนการทำให้เชื่อและยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของกฎหมายที่ออกกฎหมายไม่ชัดเจน ทั้งๆ ที่กระทรวงพาณิชย์เคยสรุปเอาไว้แล้วว่าเป็นความผิดโดยไม่ต้องไปออกกฎหมายเพิ่มเติม
นี่คือความพยายามทำให้ทรัพย์สินของชินคอร์ปที่ซื้อมาโดยเทมาเส็ก ไม่ถูกลงโทษ ไม่ถูกเพิกถอน เพื่อที่จะทำให้กิจการทั้งหลายเหล่านี้ยังคงเป็นของสิงคโปร์ต่อไปในรูปแบบใหม่ที่แนบเนียนมากขึ้นกว่าเดิม
กฎหมายที่ให้คุณต่อผู้กระทำความผิดย่อมให้ผลย้อนหลัง อันเป็นผลทำให้ร่างแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จะไปล้างมลทินของเทมาเส็ก และประกอบกิจการในความมั่นคงของชาติได้ต่อไป
AIS, ไอทีวี, ดาวเทียม, และแอร์เอเซีย จะยังคงตกอยู่ในกำมือผู้ถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ปอย่างเทมาเส็กต่อไป!!!
ผลประโยชน์นับแสนล้านบาทกำลังส่งกลับคืนให้ต่างชาติในรูปแบบใหม่ที่ไม่รู้ว่ามีใครในรัฐบาลได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่?
-108 จุด ที่ดัชนีตลาดหุ้นร่วงวันเดียวเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 นั้น ก็อ้างว่าประเทศไทยไม่ต้องการเงินทุนระยะสั้นที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท
แต่คราวนี้การออกมาตรการนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินทุนระยะยาวทั้งสิ้น
เป็นการแก้ปัญหาของชินคอร์ป กุหลาบแก้ว และเทมาเส็กที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อนักลงทุนต่างชาติ!!!
การกล่าวอ้างว่าการออกกฎหมายฉบับนี้ได้จะทำให้การแก้ปัญหาเรื่อง “นอมินี” ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้หมดไปนั้น....
เป็นเรื่องที่แหกตาประชาชนทั้งประเทศ!!!
ธุรกิจหลายแห่งที่เขาลงเงินมาในประเทศเพราะประเทศไทยไม่มีการลงทุน บางธุรกิจคนไทยไม่มีเงินพอที่จะลงทุน และบางธุรกิจเป็นธุรกิจเฉพาะที่คนไทยขาดความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ
ดังนั้นการไปบังคับในเรื่องจำนวนหุ้นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือการบังคับในเรื่องของสิทธิ์การออกเสียงนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแค่ภาพมายาเท่านั้น เพราะสุดท้ายธุรกิจเหล่านี้ก็จะสามารถหาวิธีหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี
เพราะคนไทยไม่ได้มีเงินมากมายเพียงพอที่จะไปซื้อหุ้นในทุกกิจการ ใครจะไปพิสูจน์ได้ว่าสุดท้ายคนที่มาซื้อหุ้นเหล่านั้นใช้เงินต่างชาติเพื่อมาเป็น “นอมินี” ชนิดใหม่ที่มีสัญญาข้อตกลงกันอย่างลับๆและไม่เปิดเผย
เพราะบางธุรกิจต้องอาศัยการบริหารและการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญของคนต่างด้าว ใครที่จะไปพิสูจน์ได้ว่าคนที่มาใช้สิทธิ์ออกเสียงล้วนแล้วแต่เป็น “ลูกจ้างคนไทย” ของต่างชาติที่ทำตามมติและเซ็นเอกสารตามที่เจ้านายต่างชาติต้องการทุกประการ
ไม่เว้นแม้แต่ชินคอร์ปของเทมาเส็กที่สามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมในรูปแบบ “นอมินี” ในวันต่อๆ ไปได้เช่นกัน!!
เรื่องการกล่าวอ้างว่าต้องแก้ไขทั้งระบบโดยอ้างการออกกฎหมายเพื่อให้แก้ไขภายใน 1 ถึง 2 ปีนั้น จึงเป็นเรื่องแหกตาทั้งสิ้น และน่าจะมีเป้าหมายในการล้างมลทินช่วยเหลือให้กับกิจการโทรคมนาคมของต่างชาติเป็นสำคัญ
ในทางตรงกันข้ามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ฉบับนี้ต่างหากที่จะสร้างความยุ่งยากให้กับนักลงทุนมากขึ้น จนท้ายที่สุดก็คงจะมีนักธุรกิจบางกลุ่มตัดสินใจไม่ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทย และอาจจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นที่สะดวกในการลงทุนมากกว่า
วิธีการจึงไม่เกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่เป็นเรื่องที่ว่า รัฐบาลสามารถจับโจร “นอมินี” ที่ขัดต่อเจตนารมณ์ต่อกฎหมายได้หรือไม่?
เมื่อจับได้ก็ต้องมีบทลงโทษ ยิ่งเป็นธุรกิจต้องห้ามเพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเป็นสัมปทานในทรัพยากรของชาติด้วยแล้ว ยิ่งต้องลงโทษให้ได้หนักหน่วงและรวดเร็วที่สุด
ไม่ใช่ออกกฎหมายนิรโทษกรรม!!
หยุดอ้างได้แล้วว่า ทำเพื่อประชาชน รักชาติ ทำเพื่อนักลงทุน ทำเพื่อความโปร่งใส เพราะงานนี้เป็นการแหกตาปกป้องทุนจากระบอบทักษิณชัดๆ
ไม่แปลกใจหรอกว่าร่างกฎหมายฉบับนี้แอบทำกันอย่าง “งุบงิบ” ไม่เปิดเผยจนคณะทูต 28 ประเทศ และนักลงทุนทั้งโลกทนไม่ได้ต้องออกมาประท้วงว่าทำไมรัฐบาลไทยออกมาตรการบ้าบอโดยไม่ทำประชาพิจารณ์ถามความเห็นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศแม้แต่น้อย แล้วมันจะไปโปร่งใสได้อย่างไร?
เป็นการแอบทำกันอย่าง “งุบงิบ” เพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรีได้รู้ทันความเคลื่อนไหวของนักธุรกิจว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร และลักไก่นำเรื่องของความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีสำเร็จในที่สุด
ประชาชนที่เขาต่อสู้กันมาต่างทวงถามความคืบหน้าในการดำเนินการกับเหตุผลการทำรัฐประหาร 4 ข้อ เขาต้องอดทนต่อการทำงานของรัฐบาลและคมช. ไม่พออีกหรือ?
ประชาชนที่ต้องเจ็บใจที่การโยกย้ายสนับสนุนตำรวจที่สมคบกุ๊ยกระทืบประชาชนที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ จนมาถึงกรณีการปล่อยให้มีการวางเพลิงโรงเรียนหลายสิบแห่ง และการวางระเบิดในกรุงเทพมหานครโดยยังไม่ปลด พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ให้ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มันยังไม่ทำให้ประชาชนเจ็บช้ำน้ำใจเพียงพออีกหรือ?
ประชาชนต้องทนกับรัฐบาลที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่พยายามออกกฎหมายหวยล้างมลทินให้รัฐบาลชุดที่แล้ว ออกมาตรการที่ไร้ความเป็นมืออาชีพทางการเงิน ไปอีกนานเท่าไร?
และประชาชนจำเป็นต้องทนไปอีกนานเท่าไรกับคนในรัฐบาลและข้าราชการที่ใส่ “เกียร์ว่าง” และ “เกียร์ถอยหลัง” ทำเรื่องไม่เข้าท่าเต็มไปหมด ทั้งการเอาการศึกษาออกนอกระบบ, ไม่ยึดหนังสือเดินทางการทูตของทักษิณ ไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษกับการเอาผิดข้าราชการนักการเมืองขี้ฉ้อ ฯลฯ
จนประชาชนจำนวนมากเขาเริ่มสงสัยกันแล้วว่ารัฐบาลไม่มีอะไรที่จะทำแล้วหรืออย่างไร?
แต่นี่ถึงขั้นออกกฎหมายที่เสมือนนิรโทษกรรมให้กับทุนระบอบทักษิณอีกเช่นนี้ มันสุดแสนจะทนต่อไปได้จริงๆ!!!