ภาคประชาชนแบะท่าให้ยอมรับวัฒนธรรมหลากหลายตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ฐานสร้างความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่นสมบูรณ์
ชุมชนเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดรองจากสถาบันครอบครัว ซึ่งอดีตที่ผ่านมากว่า 100 ปี ชุมชนท้องถิ่นในสังคมไทยมีความเข้มแข็ง เนื่องจากระบอบการปกครอง สภาพแวดล้อม การดำเนินชีวิตที่เป็นไปด้วยความลำบาก ทำให้ชุมชนต้องผนึกกำลังแบ่งปัน เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยุคปัจจุบัน ชุมชนท้องถิ่นถูกแปรสภาพ ระบอบการปกครองเปลี่ยน รูปแบบการพัฒนาประเทศเป็นไปในทางที่หลากหลายทำให้สภาพชุมชนท้องถิ่นทั้งในชนบทและในเมืองไม่ต่างกัน สิ่งที่ถูกทำลายอย่างเห็นได้ชัดประการหนึ่ง อันเป็นประการสำคัญ คือ ความเข้มแข็งของชุมชน
รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ระบุว่า ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้ชุมชนเกิดการพัฒนา เพื่อนำมาสู่ความเข้มแข็ง คือ สร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นรูปธรรม ซึ่งแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างหลากหลายมาก โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้ศึกษาทั่วประเทศเป็นกรณีศึกษารวม 40 กรณีศึกษา พบว่า การบริหารจัดการระหว่าง อปท.และชุมชน ขึ้นอยู่กับสภาพสังคม ขนาดพื้นที่และลักษณะของปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงศักยภาพของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ในขณะที่ภาคประชาชนมีมุมมองด้านกฎหมายในการสนับสนุนส่งเสริมกระบวนการพัฒนาภาคประชาชน โดยเล็งเห็นว่า กฎหมายควรถูกมองเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย เพื่อให้เป็นกติกาที่สังคมยอมรับนำมารองรับการพัฒนาที่เติบโตขึ้น โดยกฎหมายนั้นต้องทำให้เกิดการพัฒนาของคนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มฐานรากของสังคม ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ควรทำให้กฎหมายเกิดเป็นประเด็นสาธารณะ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนด้วย ดังนั้น จึงต้องให้เป็นเรื่องของชุมชนในการร่วมคิดร่วมทำ เพื่อวางแผนเจตนารมณ์และออกกฎหมายเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง จนมีผลพวงไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชนตามมา
สำหรับกลไกการขับเคลื่อนกระบวนการชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง นายเอนก นาคะบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชี้ว่า วันนี้คนไทยอยู่ในทาง 2 แพร่งของอำนาจ เรากำลังเร่งการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ การเมือง นโยบายที่ผ่านมาไม่ได้กำหนดตัวเอง กำหนดแต่ผู้อื่น ดังนั้นถึงเวลาที่เราต้องมากำหนดตนเอง เพราะรัฐบาลประชานิยม 6 ปีที่ผ่านมา พบว่าทำอะไรให้ท้องถิ่นเข้มแข็งไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมาจัดทิศทางการจัดการตนเองของชุมชนให้ดีเสียก่อน โดยเริ่มต้นที่จิตวิญญาณของท้องถิ่นและชุมชน ให้สำนึกการรับรู้ ก่อตัวเรียกว่าการปฏิรูปสังคมขนานใหญ่ ต้องเปิดพื้นที่ทางใจ ชุมชนท้องถิ่น พื้นที่ทางสังคม ชุมชนต้องพึ่งตนเอง ทั้งนี้ การทำชุมชนเข้มแข็งต้องให้สังคมสุข คือ ทำสังคมให้พึ่งชุมชนท้องถิ่นได้ โดยใช้พลังรักที่เรามีต่อพระองค์ท่าน พลิกเศรษฐกิจพอเพียงของคนทั้งเมือง
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชี้ด้วยว่า กลไก 4 เรื่องที่ต้องทำ คือ 1. สร้างสภาเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่น 2. ชุมชนต้องกำหนดแผนพัฒนาตัวเอง ทั้งแผนระดับพื้นที่ แผนตำบล เทศบาล และแผนบูรณาการจังหวัด 3. ทุนทางสังคม ต้องให้โอกาสชุมชนจัดการระบบการเงิน และ 4.วัด บ้าน โรงเรียน ต้องจัดรูปแบบใหม่ ให้มีความหลากหลายเชิงพื้นที่ นอกจากนี้ควรมีกลไกระบบประสานองค์กร ชุมชน ท้องถิ่นและมิติทางวัฒนธรรม
นายสมพร ใช้บางยาง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เล็งเห็นว่า ยุทธศาสตร์ส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งของ อปท. ต้องใช้กลไกการมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ในภาวะจำกัด ทั้งเงิน ความรู้
หากบูรณาการได้มาก ความสุขก็จะเกิดขึ้น ซึ่งควรเริ่มต้นจากชุมชนเล็กๆ ก่อน แล้วขยายไปยังชุมชนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การคาดหวังกับหน่วยงานของรัฐอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะมีนักการเมืองเปลี่ยนเข้ามาตลอด ดังนั้น
เมื่อท้องถิ่นเป็นรากฐานสำคัญที่ต้องทำให้เข้มแข็ง ภาคประชาชนจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะผลักดันและร่วมกันบูรณาการให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นมา
ปราชญ์ชาวบ้าน อย่างครูชบ ยอดแก้ว แสดงความเห็นว่า การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน จำเป็นต้องมีการพัฒนามาตรการและเครื่องมือให้ถูกทาง โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่คนขาดคุณธรรมจริยธรรม ในการพัฒนามาตรการและเครื่องมือจำเป็นต้องทำให้คนมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งควรยึดในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 ประการ ได้แก่ 1. การรักษาสัตย์ 2. ฝึกใจตนเองให้ทำแต่ความดี 3. อดทนอดกลั่นและอดออม และ 4. ละวางทุจริตหรือประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ครูชบ ยกตัวอย่างการยึดคุณธรรม จริยธรรม นำมาใช้เป็นเครื่องมือและมาตรการในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนให้ฟังว่า ในหมู่บ้านริเริ่มการจัดโครงการ สัจจะลดรายจ่ายวันละ 1 บาท โดยให้ชาวบ้านออมวันละ 1 บาท เมื่อครบ 6 เดือน จึงนำเงินที่ออมไว้มาจัดสวัสดิการให้กับสมาชิก ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บและตายให้กับคนในชุมชน ซึ่งการออมวันละ 1 บาท เพื่อให้ชาวบ้านเกิดความเท่าเทียมกันทั้งคนรวยและคนจน โครงการนี้เน้นสัจจะกับตนเอง ไม่โกหก
อย่างน้อยก็เริ่มจากคุณธรรมในตัวเอง และสร้างความเป็นธรรมในสังคมไปในเวลาเดียวกัน ชี้ให้เห็นว่าสัจจะเป็นการแก้จนได้อย่างยั่งยืน ในอนาคตหากเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลและ อปท.เข้ามาร่วมโครงการสัจจะลดรายจ่ายวันละ 1 บาท ซึ่งหากทำได้จริง จะทำให้ประชาชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมและเมื่อมีการขยายขอบข่ายในวงกว้างแล้ว เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศได้
ความเห็นในภาคราชการ โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรม อันเป็นเจ้ากระทรวงที่ครอบคลุมภาคปฏิบัติงานด้านความยุติธรรม โดยนายกิตติพงษ์ กิติยารักษ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ชี้ชัดว่า ชุมชนเข้มแข็ง เป็นภาคที่สะท้อนให้เห็นชัดถึงความยุติธรรมและความไม่ยุติธรรมอย่างชัดเจน เนื่องจากระบบยุติธรรม ตำรวจ อัยการ ศาล กับระบบยุติธรรมพื้นฐานชุมชน ยังไม่เกื้อกูลกันเท่าที่ควร ซึ่งหากความขัดแย้ง การเอาเปรียบพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ สามารถจัดการได้ในชุมชน คงไม่ลุกลามสู่ระบบยุติธรรม
“การแก้ไขปัญหาของชุมชนถูกจำกัด ชุมชนอ่อนแอในการจัดการความขัดแย้ง การปกป้องการเอารัดเอาเปรียบ กระบวนการยุติธรรมก็แปลกแยกจากประชาชน การจะสร้างชุมชนเข้มแข็ง เช่น การจัดการปัญหายาเสพติด จะใช้กลไกยุติธรรมอย่างเดียวแก้ไม่ได้ หากไม่พึ่งชุมชนระบบยุติธรรม จะเกิดปัญหา” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ระบุ
วิธีการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ดีที่สุด คือ การดึงชุมชนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนและปรับกระบวนทัศน์ของกระทรวงยุติธรรม ให้ภาครัฐทำงานกับชุมชนแบบหุ้นส่วน ภาครัฐควรเข้าไปเรียนรู้ชุมชน ดูความต้องการ สร้างทักษะการจัดการความขัดแย้ง ปัจจัยสำคัญนอกเหนือจากนี้คือ การบูรณาการในภาครัฐหรือการทำโรดแมบแต่ละหน่วยงาน เพื่อผลักดันกฎหมายเชิงสมานฉันท์ เช่น การไกล่เกลี่ย ระงับข้อพิพาท ซึ่งจะช่วยทำให้กลไกการทำงานของรัฐและชุมชนเป็นหุ้นส่วนกันได้
“กลไกที่ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง ควรเริ่มจากการมีส่วนร่วมของประชาชน เปิดโอกาสให้ร่วมคิดและทำงานร่วมกัน โดยต้องยอมรับว่าชุมชนแต่ละแห่งมีความแตกต่างกันไป ดังนั้น จำเป็นต้องยอมรับความแตกต่างในชุมชน และรับฟังความเห็นจากเครือข่ายต่างๆ ในชุมชนว่าต้องการอะไร”
ประโยคข้างต้นเป็นความเห็นจาก น.พ.สุธี ฮั่นตระกูล รองนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ที่แสดงความเห็นไว้อย่างชัดเจนว่า ท้องถิ่นและชุมชนควรมีส่วนร่วมกันในด้านต่างๆ ทั้งยังควรยอมรับความแตกต่างในชุมชนที่มี เพราะไม่ว่าในปัจจุบันหรืออดีตที่ผ่านมาความแตกต่างในชุมชนมีความหลากหลายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนด้วยว่า ควรมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ควรโกรธกัน เพราะจะทำให้กระทบความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันเป็นไปในทางที่แย่ ซึ่งหากต้องการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ควรนำข้อผิดพลาดไปศึกษาและร่วมกันทำขึ้นมาใหม่ แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับความหลากหลาย เพื่อให้กระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็ง มีความชัดเจนและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในสังคม
คอลัมนเวทีนโยบายสาธารณะ
แผนงานพันฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ชุมชนเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดรองจากสถาบันครอบครัว ซึ่งอดีตที่ผ่านมากว่า 100 ปี ชุมชนท้องถิ่นในสังคมไทยมีความเข้มแข็ง เนื่องจากระบอบการปกครอง สภาพแวดล้อม การดำเนินชีวิตที่เป็นไปด้วยความลำบาก ทำให้ชุมชนต้องผนึกกำลังแบ่งปัน เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยุคปัจจุบัน ชุมชนท้องถิ่นถูกแปรสภาพ ระบอบการปกครองเปลี่ยน รูปแบบการพัฒนาประเทศเป็นไปในทางที่หลากหลายทำให้สภาพชุมชนท้องถิ่นทั้งในชนบทและในเมืองไม่ต่างกัน สิ่งที่ถูกทำลายอย่างเห็นได้ชัดประการหนึ่ง อันเป็นประการสำคัญ คือ ความเข้มแข็งของชุมชน
รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ระบุว่า ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้ชุมชนเกิดการพัฒนา เพื่อนำมาสู่ความเข้มแข็ง คือ สร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นรูปธรรม ซึ่งแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างหลากหลายมาก โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้ศึกษาทั่วประเทศเป็นกรณีศึกษารวม 40 กรณีศึกษา พบว่า การบริหารจัดการระหว่าง อปท.และชุมชน ขึ้นอยู่กับสภาพสังคม ขนาดพื้นที่และลักษณะของปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงศักยภาพของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ในขณะที่ภาคประชาชนมีมุมมองด้านกฎหมายในการสนับสนุนส่งเสริมกระบวนการพัฒนาภาคประชาชน โดยเล็งเห็นว่า กฎหมายควรถูกมองเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย เพื่อให้เป็นกติกาที่สังคมยอมรับนำมารองรับการพัฒนาที่เติบโตขึ้น โดยกฎหมายนั้นต้องทำให้เกิดการพัฒนาของคนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มฐานรากของสังคม ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ควรทำให้กฎหมายเกิดเป็นประเด็นสาธารณะ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนด้วย ดังนั้น จึงต้องให้เป็นเรื่องของชุมชนในการร่วมคิดร่วมทำ เพื่อวางแผนเจตนารมณ์และออกกฎหมายเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง จนมีผลพวงไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชนตามมา
สำหรับกลไกการขับเคลื่อนกระบวนการชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง นายเอนก นาคะบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชี้ว่า วันนี้คนไทยอยู่ในทาง 2 แพร่งของอำนาจ เรากำลังเร่งการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ การเมือง นโยบายที่ผ่านมาไม่ได้กำหนดตัวเอง กำหนดแต่ผู้อื่น ดังนั้นถึงเวลาที่เราต้องมากำหนดตนเอง เพราะรัฐบาลประชานิยม 6 ปีที่ผ่านมา พบว่าทำอะไรให้ท้องถิ่นเข้มแข็งไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมาจัดทิศทางการจัดการตนเองของชุมชนให้ดีเสียก่อน โดยเริ่มต้นที่จิตวิญญาณของท้องถิ่นและชุมชน ให้สำนึกการรับรู้ ก่อตัวเรียกว่าการปฏิรูปสังคมขนานใหญ่ ต้องเปิดพื้นที่ทางใจ ชุมชนท้องถิ่น พื้นที่ทางสังคม ชุมชนต้องพึ่งตนเอง ทั้งนี้ การทำชุมชนเข้มแข็งต้องให้สังคมสุข คือ ทำสังคมให้พึ่งชุมชนท้องถิ่นได้ โดยใช้พลังรักที่เรามีต่อพระองค์ท่าน พลิกเศรษฐกิจพอเพียงของคนทั้งเมือง
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชี้ด้วยว่า กลไก 4 เรื่องที่ต้องทำ คือ 1. สร้างสภาเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่น 2. ชุมชนต้องกำหนดแผนพัฒนาตัวเอง ทั้งแผนระดับพื้นที่ แผนตำบล เทศบาล และแผนบูรณาการจังหวัด 3. ทุนทางสังคม ต้องให้โอกาสชุมชนจัดการระบบการเงิน และ 4.วัด บ้าน โรงเรียน ต้องจัดรูปแบบใหม่ ให้มีความหลากหลายเชิงพื้นที่ นอกจากนี้ควรมีกลไกระบบประสานองค์กร ชุมชน ท้องถิ่นและมิติทางวัฒนธรรม
นายสมพร ใช้บางยาง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เล็งเห็นว่า ยุทธศาสตร์ส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งของ อปท. ต้องใช้กลไกการมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ในภาวะจำกัด ทั้งเงิน ความรู้
หากบูรณาการได้มาก ความสุขก็จะเกิดขึ้น ซึ่งควรเริ่มต้นจากชุมชนเล็กๆ ก่อน แล้วขยายไปยังชุมชนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การคาดหวังกับหน่วยงานของรัฐอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะมีนักการเมืองเปลี่ยนเข้ามาตลอด ดังนั้น
เมื่อท้องถิ่นเป็นรากฐานสำคัญที่ต้องทำให้เข้มแข็ง ภาคประชาชนจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะผลักดันและร่วมกันบูรณาการให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นมา
ปราชญ์ชาวบ้าน อย่างครูชบ ยอดแก้ว แสดงความเห็นว่า การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน จำเป็นต้องมีการพัฒนามาตรการและเครื่องมือให้ถูกทาง โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่คนขาดคุณธรรมจริยธรรม ในการพัฒนามาตรการและเครื่องมือจำเป็นต้องทำให้คนมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งควรยึดในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 ประการ ได้แก่ 1. การรักษาสัตย์ 2. ฝึกใจตนเองให้ทำแต่ความดี 3. อดทนอดกลั่นและอดออม และ 4. ละวางทุจริตหรือประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ครูชบ ยกตัวอย่างการยึดคุณธรรม จริยธรรม นำมาใช้เป็นเครื่องมือและมาตรการในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนให้ฟังว่า ในหมู่บ้านริเริ่มการจัดโครงการ สัจจะลดรายจ่ายวันละ 1 บาท โดยให้ชาวบ้านออมวันละ 1 บาท เมื่อครบ 6 เดือน จึงนำเงินที่ออมไว้มาจัดสวัสดิการให้กับสมาชิก ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บและตายให้กับคนในชุมชน ซึ่งการออมวันละ 1 บาท เพื่อให้ชาวบ้านเกิดความเท่าเทียมกันทั้งคนรวยและคนจน โครงการนี้เน้นสัจจะกับตนเอง ไม่โกหก
อย่างน้อยก็เริ่มจากคุณธรรมในตัวเอง และสร้างความเป็นธรรมในสังคมไปในเวลาเดียวกัน ชี้ให้เห็นว่าสัจจะเป็นการแก้จนได้อย่างยั่งยืน ในอนาคตหากเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลและ อปท.เข้ามาร่วมโครงการสัจจะลดรายจ่ายวันละ 1 บาท ซึ่งหากทำได้จริง จะทำให้ประชาชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมและเมื่อมีการขยายขอบข่ายในวงกว้างแล้ว เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศได้
ความเห็นในภาคราชการ โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรม อันเป็นเจ้ากระทรวงที่ครอบคลุมภาคปฏิบัติงานด้านความยุติธรรม โดยนายกิตติพงษ์ กิติยารักษ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ชี้ชัดว่า ชุมชนเข้มแข็ง เป็นภาคที่สะท้อนให้เห็นชัดถึงความยุติธรรมและความไม่ยุติธรรมอย่างชัดเจน เนื่องจากระบบยุติธรรม ตำรวจ อัยการ ศาล กับระบบยุติธรรมพื้นฐานชุมชน ยังไม่เกื้อกูลกันเท่าที่ควร ซึ่งหากความขัดแย้ง การเอาเปรียบพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ สามารถจัดการได้ในชุมชน คงไม่ลุกลามสู่ระบบยุติธรรม
“การแก้ไขปัญหาของชุมชนถูกจำกัด ชุมชนอ่อนแอในการจัดการความขัดแย้ง การปกป้องการเอารัดเอาเปรียบ กระบวนการยุติธรรมก็แปลกแยกจากประชาชน การจะสร้างชุมชนเข้มแข็ง เช่น การจัดการปัญหายาเสพติด จะใช้กลไกยุติธรรมอย่างเดียวแก้ไม่ได้ หากไม่พึ่งชุมชนระบบยุติธรรม จะเกิดปัญหา” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ระบุ
วิธีการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ดีที่สุด คือ การดึงชุมชนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนและปรับกระบวนทัศน์ของกระทรวงยุติธรรม ให้ภาครัฐทำงานกับชุมชนแบบหุ้นส่วน ภาครัฐควรเข้าไปเรียนรู้ชุมชน ดูความต้องการ สร้างทักษะการจัดการความขัดแย้ง ปัจจัยสำคัญนอกเหนือจากนี้คือ การบูรณาการในภาครัฐหรือการทำโรดแมบแต่ละหน่วยงาน เพื่อผลักดันกฎหมายเชิงสมานฉันท์ เช่น การไกล่เกลี่ย ระงับข้อพิพาท ซึ่งจะช่วยทำให้กลไกการทำงานของรัฐและชุมชนเป็นหุ้นส่วนกันได้
“กลไกที่ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง ควรเริ่มจากการมีส่วนร่วมของประชาชน เปิดโอกาสให้ร่วมคิดและทำงานร่วมกัน โดยต้องยอมรับว่าชุมชนแต่ละแห่งมีความแตกต่างกันไป ดังนั้น จำเป็นต้องยอมรับความแตกต่างในชุมชน และรับฟังความเห็นจากเครือข่ายต่างๆ ในชุมชนว่าต้องการอะไร”
ประโยคข้างต้นเป็นความเห็นจาก น.พ.สุธี ฮั่นตระกูล รองนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ที่แสดงความเห็นไว้อย่างชัดเจนว่า ท้องถิ่นและชุมชนควรมีส่วนร่วมกันในด้านต่างๆ ทั้งยังควรยอมรับความแตกต่างในชุมชนที่มี เพราะไม่ว่าในปัจจุบันหรืออดีตที่ผ่านมาความแตกต่างในชุมชนมีความหลากหลายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนด้วยว่า ควรมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ควรโกรธกัน เพราะจะทำให้กระทบความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันเป็นไปในทางที่แย่ ซึ่งหากต้องการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ควรนำข้อผิดพลาดไปศึกษาและร่วมกันทำขึ้นมาใหม่ แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับความหลากหลาย เพื่อให้กระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็ง มีความชัดเจนและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในสังคม
คอลัมนเวทีนโยบายสาธารณะ
แผนงานพันฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)