xs
xsm
sm
md
lg

ครม.ตั้งแท่นแก้กฎหมาย เดินหน้าสยบคลื่นใต้น้ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รัฐบาลเดินหน้าสยบคลื่นใต้น้ำขั้นเด็ดขาด เตรียมเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใหม่ในการประชุมครม.พรุ่งนี้ "ประสงค์"ชี้ตั้งแต่เกิดคลื่นใต้น้ำ กระทั่งระเบิดป่วนเมือง ตำรวจตั้งแต่หัวแถวยันหางแถวไม่ทำอะไรเลย แนะรัฐบาลต้องปฏิบัติการเชิงรุกก่อนที่ผลเสียจะตกอยู่กับรัฐบาลและคมช.เอง วอนประชาชนให้กำลังและให้เวลาด้วย ขณะที่นักวิชาการด้านกฎหมายแนะให้ปัดฝุ่นกฎหมายที่มีอยู่ นำมาบังคับใช้อย่างเข้มงวด "สุริยะใส"จี้รัฐบาลพูดให้ชัดทำไมยังไม่ปลดผบ.ตร. ขณะที่"โกวิท"เรียกประชุมตำรวจ แต่คดีบึ้มกรุงยังไม่คืบ ด้าน"แม้ว"ส่งส.ค.ส.ในรูปใบปลิวเกลื่อนเมือง

หลังจากเกิดเหตุระเบิดป่วนกรุง และยังมีข่าวลือเรื่องการปฏิวัติซ้อนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าเป็นขบวนการของกลุ่มอำนาจเก่าที่ต้องการทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชิต(คมช.) อีกทั้งพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ยังได้ออกมาเตือนประชาชนให้ระวังว่า ภายในเดือนสองเดือนนี้ อาจมีการก่อเหตุรุนแรงขึ้น ทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลและคมช.หามาตรการจัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มคลื่นใต้น้ำ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เสนอความคิดเห็นผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ แนะนำให้รัฐบาลและคมช.ออกกฎหมายพิเศษ เพื่อมาจัดการปัญหาคลื่นใต้น้ำโดยเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องการให้สัมภาษณ์ของ นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ ภายหลังการสัมมนาของสถาบันพระปกเกล้า ในวันเดียวกันนั้นว่า ให้จับตาดูสัปดาห์นี้รัฐบาลจะมีมาตรการในการแก้ปัญหาความไม่สงบต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด แหล่งข่าวจากคณะรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในการประชุมครม.วันที่ 9 ม.ค.นี้ จะมีการเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงกฎหมาย ให้มีความเด็ดขาดมากขึ้น เพื่อจัดการกับคลื่นใต้น้ำอย่างเป็นรูปธรรม และมีความเป็นไปได้ว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยเร็ว

ขณะที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวถึงเหตุการณ์ไม่สงบที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า เชื่อว่ารัฐบาลและคมช.ก็กำลังคิดหาทางแก้ไขกันอยู่ คนระดับนี้ต้องมีความมั่นใจอะไรสักอย่างที่จะควบคุมสถานการณ์ไว้ให้ได้ เพราะนับตังแต่วันที่ 19 ก.ย.49 เป็นต้นมา ก็มีเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งเรื่องเผาโรงเรียน รวมทั้งล่าสุดที่มีเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ ตำรวจตั้งแต่หัวแถวยันหางแถว ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ปัญหาต่างๆก็อาจจะเกิดตามมาอีก ซึ่งต่อจากนี้ไป ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการอะไรที่จะมาหยุดยั้งเหตุการณ์ความไม่สงบ ผลเสียก็จะตกอยู่กับรัฐบาลและคมช.เอง

"ประชาชนก็ต้องให้กำลังใจและให้เวลากับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และพล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ในฐานะประธาน คมช.ให้แก้ปัญหาเหล่านี้ให้ผ่านพ้นไปได้" น.ต.ประสงค์ กล่าว

**แนะปัดฝุ่นกฎหมายเดิมมาใช้
นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ส่วนตัวมองว่า เวลานี้มีกฎหมายที่จะใช้จัดการกับคนที่วางระเบิดได้อยู่แล้ว ก็คือกฎหมายก่อการร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายอาญา หรือถ้าจะคิดว่า เพื่อให้มีการยึดทรัพย์คนเหล่านี้ เพื่อให้ไม่มีการนำมาใช้ก่อการ ก็มีกฎหมายที่เกี่ยวกับการยึดทรัพย์เอาผิดคนเหล่านี้ได้อยู่แล้ว

“ปัญหาไม่ใช่เรื่องของการต้องออกกฎหมาย แต่มันอยู่ที่กระบวนการ และวิธีการจัดการของคมช.มันหน่อมแน้ม คมช.อยู่แต่ในส่วนกลาง ระดับพื้นที่คมช.ไม่มีคนลงไปดู คนของกลุ่มอำนาจเก่ามันก็วิ่งประสานกัน เพื่อจะก่อการที่จะเป็นการดิสเครดิตคมช. ประกอบกับคนในคมช.บางคน ซึ่งผมไม่ได้หมายถึงพล.อ.สนธิ(ประธานคมช.)ก็คิดแต่ว่าจะมีอำนาจต่อไปได้อย่างไร หลังมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร”นายคมสันกล่าว

ด้านนายเจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวในทำนองเดียวกันว่า กฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในขณะนี้เพียงพอทีจะสามารถเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดอยู่แล้ว โดยกฎหมายอาญาที่ระบุความผิดเกี่ยวกับการวางเพลิง วางระเบิด สามารถเอามาจัดการได้ และมีบทลงโทษสูงเป็น 10 ปี หรือกฎหมายก่อการร้ายก็ใช้ได้ หากมีการขยายผลไปได้ ถึงว่าการก่อการที่เกิดขึ้นมันเข้าลักษณะก่อการร้าย ก็สามารถนำมาใช้กับผู้กระทำผิดได้ ดังนั้นปัญหาจึงไม่อยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ที่การบังคับใช้ ซึ่งต้องมีการบังคับใช้อย่างชัดเจน และจริงจัง

**ต้องจับผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เขียนบทความในหัวข้อ "อย่าคิดปฏิวัติซ้ำ อย่าทำปฏิวัติซ้อน” ลงในเว็บไซต์ของพรรคประชาธิปัตย์ มีเนื้อหาว่า ในปีที่สังคมไทยจะต้องหวนกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย แต่กลับเริ่มต้นปีด้วยการเผชิญกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดหลายจุดในกรุงเทพฯ ตามมาด้วยข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติซ้ำ หรือปฏิวัติซ้อน สร้างความสับสนวุ่นวายในหมู่ประชาชนในวงกว้าง

"ผลกระทบที่ตามมาจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิด คือความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลและคมช.หรือต่อเศรษฐกิจ รวมไปถึงผลกระทบต่อจิตใจ และความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขเยียวยา ซึ่งไม่มีอะไรดีไปกว่าการเร่งจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษ อย่าปล่อยให้ผู้ก่อเหตุได้ใจ เหมือนกับที่ผ่านมาที่มีการเผาโรงเรียนต่างๆ ในทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ กลับถูกสรุปว่า เป็นไฟฟ้าลัดวงจร ถึงวันนี้ หากจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ก็ต้องทำ เพราะถ้ากฎหมายไม่เป็นกฎหมาย กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ ก็ป่วยการที่จะคิดถึงการมีสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง"

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผู้มีอำนาจก่อนหน้านี้มีปัญหาทุจริต ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ข่มขู่ คุกคาม ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เหมือนอยู่เหนือกฎหมาย จนนำมาสู่การรัฐประหาร และเพราะปัญหานี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติอีกครั้ง โดยเรื่องปฏิวัติซ้อนนั้น เข้าใจไม่ยากอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่วันที่ 19-20 ก.ย.ที่ผ่านมา ก็มีข่าวคราวการเคลื่อนไหวช่วงชิงในการทำรัฐประหารอย่างเข้มข้น และหลังจากวันที่ 19 ก.ย.เป็นต้นมา ก็มีความเคลื่อนไหวของคลื่นใต้น้ำ ขณะที่นักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า ตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งโดยการสื่อสารทางจดหมาย หรือผ่านทนายส่วนตัว จนถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงท่าทีที่ท้าทาย และเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล และคมช.อย่างเปิดเผยมากขึ้น ซึ่งศักยภาพของอำนาจเงิน และผู้สนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่าในกลไกของรัฐยังมีอยู่ไม่น้อย

"การสร้างเงื่อนไขของการปฏิวัติซ้อน คือ การเดินไปในรูปของการก่อความวุ่นวายให้เห็นว่า รัฐบาล และ คมช.ปกครองไม่ได้ การปลุกระดมกลุ่มต่างๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลและ คมช.ให้เคลื่อนไหว จนนำไปสู่การเผชิญหน้า และการปะทะกัน ผมขอเรียกร้องต่อกลุ่มบุคคลที่คิดทำสิ่งนี้ว่า จงหยุดเถิด หากอยากได้อำนาจ และเป็นนักประชาธิปไตยจริง มาช่วยกันดูแลให้เราได้รัฐธรรมนูญที่ดีโดยเร็ว แล้วไปลงสนามเลือกตั้งแข่งขันกัน หากบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด ก็ต้องยอมรับการตรวจสอบ มาต่อสู้คดี อย่างตรงไปตรงมา หากถูกกลั่นแกล้ง สังคมจะช่วยต่อสู้ แม้แต่ตัวผม ซึ่งอยู่คนละฝ่ายทางการเมือง ก็พร้อมจะต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้อย่างเต็มที่ แต่การปฏิวัติซ้อน มีแต่จะทำให้ประเทศชาติ และประชาชนบอบช้ำมากขึ้นไปอีก แม้จะทำสำเร็จก็ไม่มีทางเป็นชัยชนะที่ยั่งยืน รอแต่วันที่จะต้องเผชิญหน้ากับวงจรของการต่อต้านและความขัดแย้งไม่รู้จบ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

**รัฐบาลต้องปฏิบัติการเชิงรุก
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุการณ์วางระเบิดหลายจุดในกทม.ถือเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล อีกทั้งเสียหายต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวม ดังนั้นรัฐบาลต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมา โดยมีมาตรการเชิงรุกให้ประชาชนเห็นว่ามีความปลอดภัย และต้องจับผู้กระทบผิดมาลงโทษให้ได้ นอกจากนี้ขอเตือนรัฐบาลและคมช.จะต้องระมัดระวังระเบิดเวลาทางอำนาจจะถูกต้องขึ้นอย่างแน่นอน เพราะจากการประเมินสถานการณ์จากการปฎิบัติการในช่วง 2-3 เดือนพบว่า การดำเนินการหลายอย่างที่จะกระทำต่อรัฐบาลและคมช.ถือว่า กระทำเป็นขบวนการ มีขั้นตอนและมีเป้าประสงค์ของการกระทำอย่างชัดเจน ปรากฎการทางอำนาจในช่วงที่ผ่านมาเห็นว่าการต่อสู้แย้งชิงอำนาจยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง และถ้าการช่วงชิงอำนาจสามารถใช้ชีวิตของประชาชนและความเสียหายต่อประชาชนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองได้ ทำให้มองเห็นได้ว่าการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดความรุนแรงกว่าในช่วงที่ผ่านมา

ในฐานะเป็นพรรคการเมือง ก็ไม่ต้องการเห็นการแยงชิงอำนาจด้วยวิธีการต่างๆ แต่เชื่อว่ารัฐบาลไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ว่าในขณะนี้จะต้องหาทางหยุดยั้งความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นทุกวิถีทาง การดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ต้องรอบคอบและจรังจัง ควรดำเนินการให้เกิดผลยุติความรุนแรงมากกว่าเกิดผลเพียงคำพูดเท่านั้น และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่เหลือบากกว่าแรงของรัฐบาล ถ้าสิ่งเหล่านี้ยุติลงได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ประมาณ 1 ปีที่จะมีการเลือกตั้ง จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่า ปัญหาต่างๆสามารคลี่คลายลงได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามประชาชนอย่าขวัญเสียจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะจะทำให้ผู้กระทำได้ใจ และอาจมีส่วนเร่งปฏิบัติการรุนแรงขึ้นอีก เพราะเห็นว่าการกระทำได้ผล

"ขอเสนอให้รัฐบาลประสานผ่านเครือข่ายประชาชนทั่วประเทศ จัดตั้งองค์กรประชาชนมั่นคงเข้มแข็งขึ้นมา เพื่อต่อกรกับผู้ไม่หวังดีกับบ้านเมือง และช่วยทำให้ความเลวร้ายต่างๆไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย"นายองอาจ กล่าว

**ย้ำรัฐบาลต้องเข้มงวดเด็ดขาดกว่านี้
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ ครป. กล่าวถึงกรณีที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดใน กทม.ว่า ถ้าเป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์ทางการเมืองอย่างที่นายกรัฐมนตรี ได้ระบุเอาไว้ เชื่อว่าน่าจะสามารถจับคนผิดได้โดยเร็ว เพราะกลุ่มที่เสียประโยชน์ที่มีศักยภาพในการปฏิบัติการรุนแรงแบบนี้มีเพียงไม่กี่กลุ่ม และทางการก็มีฐานข้อมูลอยู่แล้วว่า ใครทำงานให้ใคร ต่อไปควรมีมาตรการติดตามและกำกับบทบาทอย่างเข้มงวดและเด็ดขาดกว่านี้

นอกจากนี้ ทาง ครป.เห็นว่า ศักยภาพของกลุ่มอำนาจเก่าที่เสียประโยชน์หรือขบวนการจากภาคใต้ มีศักยภาพที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้พอๆ กัน เพียงแต่ถ้าดูเหตุผลและเป้าหมายของแผนปฏิบัติการแล้วไม่น่าจะเป็นขบวนการจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพราะถ้ากลุ่มขบวนการทางใต้จะปฏิบัติการในกรุงเทพฯ น่าจะปฏิบัติการตั้งแต่รัฐบาลทักษิณบริหารประเทศอยู่ เพราะเป็นช่วงที่นโยบายทางการเมืองของรัฐบาลล้มเหลว และสร้างปัญหาอย่างรุนแรง หากมาทำตอนนี้มีความเสี่ยงเกินความจำเป็น ซึ่งขบวนการทางใต้ย่อมรู้ว่า ขั้วอำนาจเก่าจ้องจะเล่นงานรัฐบาลชุดนี้อยู่ จึงไม่จำเป็นต้องเข้ามาปฏิบัติการในเมืองหลวง

ต่อกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ระบุว่า การระเบิดใน กทม.เป็นฝีมือขบวนการของกลุ่มที่ป่วนพื้นที่ภาคใต้นั้น ตนเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกล่าวขอโทษคนไทยและญาติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุวางระเบิดที่ กทม.ที่เกิดเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะปัญหา 3 จ.ชายแดนภาคใต้เกิดจากความล้มเหลวทางนโยบายของรัฐบาลทักษิณ ที่เน้นความรุนแรงและการปราบปราม

**พูดให้ชัดทำไมยังไม่ปลดโกวิท
เลขา ครป.ยังกล่าวเสนอไปยัง ทางรัฐบาล และคมช.ว่า ควรจัดระบบในการให้ข่าวหรือรายงานความคืบหน้าของการสืบสวนสอบสวนที่มีเอกภาพมากกว่านี้ เพราะบางทีต่างคนต่างพูดก็อาจเปิดช่องให้เข้าใจผิด หรือเกิดความสับสนเกิดขึ้น เรื่องการวางระเบิดเชื่อว่า ประชาชนต้องการเห็นหลักฐานและข้อเท็จจริง มากกว่าความเห็น เพราะไม่ได้ข้อยุติที่แท้จริง ซึ่งครป.เห็นด้วยกับคำพูดนายกฯ ที่เตือนประชาชนว่า 1-2 เดือนจากนี้ไป ยังมีความเสี่ยงเรื่องระเบิดอยู่ เพราะเป็นการส่งสัญญาณตรงไปตรงมา หรือพูดความจริงกับประชาชนเพื่อให้ทุกฝ่ายเพิ่มความระมัดระวัง นอกจากนี้ คมช.และรัฐบาล จะต้องชี้แจงกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่า มีเหตุผลอะไรที่ยังไม่ปลดพล.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะที่ผ่านมา ผบ.ตร.ถูกสังคมประเมินบทบาทและผลงานในช่วงเกิดเหตุระเบิดว่า ไม่ได้แสดงบทบาทพิทักษ์สันติราษฏร์อย่างชัดแจ้ง ในทางกลับกัน ช่วงรัฐบาลทักษิณก็หละหลวมกับการจัดการความขัดแย้งจนเกิดเหตุการณ์เผชิญหน้าและความรุนแรงระหว่างประชาชนในหลายๆ พื้นที่

**แจงเหตุนายกฯเตือนอาจมีเหตุร้ายอีก
นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังเหตุร้ายในช่วง 1-2 เดือนนี้ว่า การที่นายกฯ เตือนให้ประชาชนระวังภัยจากสถานการณ์ของผู้ไม่หวังดี ถือเป็นความปรารถนาดีของนายกฯ ที่มีต่อประชาชน เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนเกิดความประมาท ที่สำคัญเป็นการนำบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซาก และไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจ ต้องการให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีสติ ดังนั้นหากนายกฯหรือรัฐบาลได้ข่าวอะไรมา โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน นายกรัฐมนตรีก็จะแจ้งให้ทราบ

"การที่นายกฯเตือนไม่ได้หมายความว่าจะเกิดเหตุร้ายใน 1-2 เดือนนี้ เพียงแต่ต้องการให้ระมัดระวัง เพราะเรากำลังสู้รบอยู่กับโจรในมุมมืด หากรัฐบาลพูดไปว่าทุกอย่างเรียบร้อยรับประกันว่าไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นเท่ากับรัฐบาลพูดไม่จริง" โฆษก ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนกรณีที่โพลระบุว่า ผลสำรวจความนิยมรัฐบาลลดลงนั้น รัฐบาลก็น้อมรับความคิดเห็น แต่การสำรวจดังกล่าวเป็นการสำรวจหลังเกิดเหตุระเบิด ย่อมเป็นธรรมดาที่ความนิยมรัฐบาลจะลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดหมายกันไว้อยู่แล้ว ทั้งนี้ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลก็ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ แต่เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องที่ป้องกันได้ยาก ซึ่งทั้งรัฐบาลและประชาชนก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดเหตุนี้ขึ้น ถ้าเป็นคนที่หวังดีคงไม่คิดทำร้ายประชาชนคนไทยด้วยกัน คงไม่เอาประชาชนขึ้นมาเป็นเหยื่อ การที่ผู้ก่อเหตุทำเช่นนี้ก็ต้องการให้ประชาสชนเกิดความตื่นตระหนกตกใจ และลดความเชื่อถือและความมั่นใจรัฐบาลลง ขอให้ประชาชนมีจิตใจที่เชื่อมั่น และร่วมมือกับภาครัฐในการแก้ปัญหาต่างๆต่อไป ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่

**กอ.รมน.เตรียมสรุปเรื่องระเบิด
พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้ออกมากล่าวประณามกลุ่มผู้ที่วางระเบิดในกทม.ว่า ท่านพูดดีมาก ซึ่งหากวิเคราะห์กันแล้วก็เป็นไปตามที่รัฐบาลและคมช.ได้วิเคราะห์ว่าผู้ที่วางระเบิด อยู่ในขบวนการที่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาลและคมช.ซึ่งพล.อ.เปรม ท่านก็เชื่อตามนั้น เพราะข่าวที่ปรากฏออกมาตลอดรู้กันดีว่าพล.อ.เปรม ท่านอยู่ข้างเดียวกับรัฐบาลและคมช.จึงต้องออกมาประณามผู้ที่ออกมาวางระเบิด โดยพูดว่า ถ้าไม่ชอบรัฐบาลไม่ชอบคมช.ไม่ชอบป๋า ถ้าไปทำรัฐบาลหรือคมช.ก็มาทำป๋า ดีกว่าอย่าไปทำคนอื่น

เมื่อถามว่า ในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)สามารถสรุปเรื่องระเบิดได้อย่างไร พล.อ.บุญรอด กล่าวว่า ยังไม่มีการสรุป เพราะขณะนี้ทางรัฐบาลมอบให้เป็นหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.)ทุกอย่างอยู่ที่กอ.รมน.เพราะกอ.รมน.ก็เป็นส่วนหนึ่ของสมช.และรัฐบาล ซึ่งหมายถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งการสืบสวนสอบต่างๆทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมารายงานมาที่ กอ.รมน.รวมถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช.ก็เป็น ผอ.รมน.ด้วยอีกตำแหน่ง
เมื่อถามว่ามีข่าวการปรับครม.ที่จะตั้งรองนายกฯดูแลด้านความมั่นคง พล.อ.บุญรอด กล่าวว่า ไม่ทราบเป็นเพียงข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีมีความคิดการปรับ ครม.หรือยัง พล.อ.บุญรอด กล่าวว่า ตอนนี้คงยังไม่มีความคิด ส่วนจะปรับเมื่อไหร่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับท่านนายกรัฐมนตรี เพราะต้องดูว่างานทางด้านความมั่นคงเพียงพอหรือไม่ จำเป็นต้องมีรัฐมนตรี หรือรองนายกฯหรือไม่ ก็เห็นท่านนายกฯบอกว่า ทางประธาน คมช.ก็เปรียบเสมือนรองนายกฯดูแลความมั่นคงอยู่แล้ว

**"โกวิท"ประชุมตร.คดีบึ้มยังไม่คืบ
เมื่อเวลา 13.30 น.วานนี้ (7 ม.ค.)พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร.ได้เรียกประชุมนายตำรวจระดับสูงเพื่อเร่งรัดคดีคนร้ายลอบวางระเบิด กทม. เมื่อช่วงค่ำวันที่ 31 ธ.ค.49 โดยมีนายตำรวจ เข้าร่วมประชุม อาทิ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองผบ.ตร.(ปป.),พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุทธยา ผช.ผบ.ตร.(ปป.2) ในฐานะหน้าฝ่ายสืบสวนคดีดังกล่าว,พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น.,พล.ต.กมล แก้วสุวรรณ,พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น.และนายตำรวจระดับผู้บังคับการทุกหน่วย
พล.ต.อ.โกวิท ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มประชุม ว่า จะเป็นการประชุมสรุปความคืบหน้าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีระเบิดที่เกิดขึ้น เนื่องจากตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงวันนี้ครบ 7 วันพอดี
"จากการลงพื้นที่ตรวจตราตามสถานที่ต่างๆ หลายจุดเมื่อคืนที่ผ่านมา ยอมรับว่า ประชาชนเที่ยวน้อยลง อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่มั่นใจในเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น หรือไม่มั่นใจมาตรการรักษาความภัยของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม การทำงานของตำรวจก็มีความพร้อม ตอนนี้มีทั้งอาสาสมัคร และตำรวจบ้านเข้ามาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ประจำสถานีตำรวจต่างๆ ส่วนความร่วมมือจากประชาชนก็ได้รับเพิ่มมากขึ้น" ผบ.ตร.กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า อาจมีเหตุการณ์ไม่สงบในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกภายใน 1-2 เดือนนี้ พล.ต.อ.โกวิท กล่าวว่า ท่านนายกฯ ก็เตือนมาแต่ไม่เป็นไร ตำรวจก็ต้องดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ทุกฝ่ายก็ต้องช่วยกันดูแลบ้านเมือง เพราะเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายอยู่แล้ว ขออย่าให้ประชาชนวิตกกังวลมากเกินไป จนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้

ภายหลังใช้เวลาประชุมประมาณกว่า 1 ชม.พล.ต.อ.โกวิท ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ว่าชุดคลี่คลายคดีตำรวจนครบาล ได้รายงานความคืบหน้าการปฏิบัติงานในรอบ 7 วัน หลังเหตุระเบิดว่าได้ทำอะไรไปบ้าง ติดตามสืบสวนสอบสวนคดีอย่างไร รวมทั้งมาตรการรักษาความปลอดภัย และรับทราบปัญหาการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้อาจจะต้องเพิ่มกำลังตำรวจเข้ามาดูแลในเขตพื้นที่ บก.น.1 เพราะว่า ยังมีหลายจุดที่ยังเป็นห่วงอยู่ ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยในวันเด็ก ซึ่งตรงกับเสาร์ที่ 13 ม.ค.นี้ ได้กำชับให้ทุกพื้นที่เพิ่มมาตรการรักษาความ โดยจะนำกำลังตำรวจตชด.เข้ามาเสริมในบางจุดด้วย เพื่อเป็นการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังกับตำรวจนครบาลที่อาจไม่เพียงพอ

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการติดตามจับกุมคนร้ายในคดีระเบิดกทม. พล.ต.อ.โกวิท กล่าวแต่เพียงว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนกำลังทำงานกันอยู่ ทุกฝ่ายช่วยกันเร่งรัดคดีอย่างเต็มที่

หลังจากนั้น พล.ต.อ.โกวิท ได้เดินทางไปตรวจดูความเรียบร้อย และตรวจเยี่ยมกองกำลังรักษาความปลอดภัยภายในตลาดนัดจตุจักร ซึ่งได้มีการตั้งศูนย์เฝ้าระวังที่กองอำนวยการตลาดนัดจตุจักร โดยได้เข้าตรวจความพร้อมของกล้องวงจรปิด หรือ CCTV ของกองอำนวยการตลาดนัด และได้เดินทางไปตรวจบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินตลาดนัดจตุจักร และร้านภูฟ้า ซึ่งขายสินค้าโครงการพระราชดำริ ภายในตลาดนัดจตุจักร

ด้าน พ.ต.อ.พินิจ มณีรัตน์ โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ให้สัมภาษณ์ สรุปสถิติการรับแจ้งเหตุระเบิด ว่า วันนี้ 191 รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัย 5 ครั้ง และมีผู้โทร.มาข่มขู่วางระเบิดอีก 4 ครั้ง ขณะที่เมื่อวันที่ 6 ม.ค.) รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัย 23 ครั้ง และมีผู้โทร.มาข่มขู่ จำนวน 8 ครั้ง แต่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ไม่พบมีวัตถุระเบิดแต่อย่างใด ทั้งนี้จะเห็นว่า แนวโน้มการโทร.มาป่วนหรือข่มขู่ลดลง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้มีการจับกุมพวกที่โทร.มาข่มขู่ไปบ้างแล้ว ทำให้เกิดการกลัวและโทร.มาป่วนน้อยลง

อย่างไรก็ตาม พวกที่โทร.มาป่วนหากตรวจสอบพบจะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที ส่วนเด็กที่โทร.มาข่มขู่ ก็ใช้มาตรการเรียกผู้ปกครองมาตักเตือนให้ดูแลบุตรหลาน หากผู้ปกครองมีส่วนรู้เห็นด้วยอาจจะลงโทษผู้ปกครอง สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร และตำรวจบ้าน เข้ามาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกัน ก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันสอดส่องดูแลบ้านเมืองด้วย

**ย้ำรปภ.สนามบินต้องได้มาตรฐาน
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.และผู้ช่วยเลขาคมช.กล่าวถึงกรณีที่สั่งการให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานนานาชาติทั่วประเทศ ว่าเป็นการให้เขามีความเอาใจใส ไม่ใช่มุ่งแต่เรื่องใช้จ่ายเงินทอง แต่ให้เขาไปดูเรื่องความมั่นคง เพราะเป็นสนามบินระดับอินเตอร์ต้องมีมาตรฐานด้านความมั่นคงและมีความปลอดภัยด้วย บางคนมองว่าตนปลุกผีเพื่อเอางบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด สังคมไทยไม่ให้ความสนใจเรื่องความมั่นคง นี่เป็นโอกาสที่พูดแล้วเขาฟัง เพื่อให้เปลี่ยนจากไฟไหม้ฟางมาเป็นการจัดระบบ ตรวจสอบเครื่องมือว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ เมื่อมาประชุมกับผู้รับผิดชอบแล้ว หากเกิดเหตุขึ้น เขาต้องรับผิดชอบ

เมื่อถามว่าจะมีการรื้อสัญญาเรื่องใดบ้าง พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า "ขณะนี้กำลังตรวจสอบอยู่ หากพบว่าผิดก็ต้องแก้ไขและยกเลิก ขึ้นอยู่กับความเสียหายที่เจอ หากเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมแล้วรัฐเสียหาย เราต้องทำ ผมประชุมกับเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานให้เขาเข้าใจ เขาต้องกล้าหาญ กล้ารับผิดชอบ ผมสร้างจิตสำนึกให้เขาว่า ผมเอาจริง เขาต้องเอาจริง"พล.อ.สพรั่ง กล่าว

**แม้วส่งส.ค.ส.เป็นใบปลิว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ ขณะที่ผู้สื่อข่าวกำลังรอรถประจำทางอยู่บริเวณป้ายรถโดยสารประจำทางที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้รับแจกใบปลิวซึ่งระบุว่า เป็นส.ค.ส.2550 จากใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยลงวันที่ 25 ธ.ค.49 นอกจากนี้ยังได้รับแจ้งจากผู้สื่อข่าวอีกคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเขตดุสิต กรุงเทพฯว่า มีคนนำใบปลิวส.ค.ส.ดังกล่าวมาเสียบไว้ที่ตู้จดหมายหน้าบ้านด้วยเช่นกัน สำหรับเนื้อหาในใบปลิว ส.ค.ส.นั้น นอกจากการสวัสดีปีใหม่แล้วเนื้อหาส่วนใหญ่ พูดถึงการปฏิวัติ รัฐประหารจนทำให้ตนเองต้องสูญเสียอำนาจ นอกจากนี้ก็โจมตี คมช.และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ยึดอำนาจแล้วเอาพรรคพวกมาทำงานกินเงินเดือนเป็นแสนๆ โดยใช้เงินที่รัฐบาลสมัยของตนเองได้หาเอาไว้

อย่างไรก็ตาม เรื่องส.ค.ส.ดังกล่าวนี้ น.ต.ศิธา ทิวารี รักษาการโฆษกพรรคไทยรักไทย ได้ออกมาปฏิเสธว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ส่งส.ค.ส.ให้ประชาชน และหากพ.ต.ท.ทักษิณต้องการสื่อสารกับใครจะเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเอง และให้นายนพดล ปัทมะ ทนายส่วนตัวเป็นผู้แถลง ดังนั้นส.ค.ส.ที่ปรากฏนั้น เชื่อว่าเป็นฝีมือของผู้ที่ต้องการให้ประชาชนเข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ปล่อยวาง ยังต้องการกลับมามีอำนาจ
กำลังโหลดความคิดเห็น