xs
xsm
sm
md
lg

เปิดความจริง "ทีพีไอ"ปล่อยกู้3บริษัทในเครือไม่ใช่บริษัทส่วนตัว "ครอบครัวเลี่ยวไพรัตน์"(ตอนที่2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พลันที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ได้ตีพิมพ์รายงานข่าวเชิงวิเคราะห์ในหัวข้อ ***"เปิดความจริง "ทีพีไอ"ปล่อยกู้3บริษัทในเครือ..ไม่ใช่บริษัทส่วนตัว "ครอบครัวเลี่ยวไพรัตน์"*** เผยแพร่ออกไปสู่สังคม ปรากฏว่า มีผู้อ่านที่ติดตามขบวนการฟื้นฟูกิจการทีพีไอชนิดไม่กะพริบตา ได้ติดต่อสอบถามเข้ามาจำนวนมาก ถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับ ***"เบื้องหน้าเบื้องหลังและข้อมูลในเชิงลึก"*** ถึงกระบวนการ ***"ทำลายล้าง"*** กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมและกลุ่มของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ชนิดถอนรากถอนโคน!
โดยเฉพาะในกรณีการออกมาให้ข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริงผ่านสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องเกี่ยวกับ ***"ทีพีไอปล่อยเงินให้กับ 3 บริษัทในเครือ ในวงเงิน 8,000 ล้านบาท"*** โดยระบุว่า เป็นการปล่อยกู้ให้กับ ***"บริษัทส่วนตัวของครอบครัวเลี่ยวไพรัตน์"*** นับว่าเป็นเรื่อง ***"สวนทาง"*** เท็จจริงอย่างโจ่งแจ้ง เพราะในเรื่องนี้พบว่า มี "ไอ้โม่ง"ที่นั่งกุมอำนาจในทีพีไอ เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ทั้งการสร้าง ***"ข่าวลวง"*** ให้กับสังคมเข้าใจผิดในกรณีดังกล่าว ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดจะต้อง ***"ฉายภาพ"***ให้ชัดยิ่งขึ้นว่า การกระทำดังกล่าวของสมุนทรราชของระบอบทักษิณ มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายแรงอย่างไรบ้าง!

***เจ้าสัว "ชาตรี โสภณพนิช"..
หนึ่งในผู้ถือหุ้น "ทีพีไอโฮลดิ้ง"***
มีข้อสงสัยกันมากว่า บริษัทในเครือ 3 บริษัทที่ทีพีไอปล่อยกู้ไปในวงเงิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย ***"บริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด ทีพีไอ อีโออีจี จำกัด และบริษัท ทีพีไอ โฮลดิ้ง จำกัด"*** นั้น เป็นการปล่อยกู้ให้กับ ***"บริษัทส่วนตัวของครอบครับเลี่ยวไพรัตน์"*** หรือเข้าทำนองมีการยักย้ายถ่ายเทเงินของทีพีไอ(ไซฟ่อนเงิน)เข้าไปสู่กระเป๋าส่วนตัวของครอบครัวเลี่ยวไพรัตน์หรือไม่ ซึ่งคำถามนี้มีคำเฉลยอยู่แล้ว โดยอ้างอิงจากหลักฐานการจดทะเบียนบริษัทอย่างถูกต้องและเปิดเผย ตามกฎหมายของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งระบุชัดเจนใน ***"บัญชีผู้ถือหุ้น"*** ของ 3 บริษัทในเครือทีพีไอดังกล่าว
ไล่เรียงให้ดูกันชัด ๆ ว่า ทั้ง 3 บริษัทในเครือทีพีไอ ไม่ใช่เป็นส่วนตัวของครอบครัวเลี่ยวไพรัตน์เหมือนที่ถูกสมุนทรราชของระบอบทักษิณ ***"ใส่ร้าย กลั่นแกล้งและบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายแรง"*** ด้วยการ ***"ยืมมือ"*** สื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับในการเผยแพร่ด้วยการซื้อหน้าโฆษณาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า ***"ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์"*** โดยเฉพาะนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บุกเบิกและก่อตั้งอาณาจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านของทีพีไอ ที่ตกเป็น ***"เป้าใหญ่"*** จนกระทั่งถูกระบอบทักษิณงัดสารพัดวิชามารเข้า ***"เล่นงาน"*** ในทุกรูปแบบนั้น พบว่า ข้อมูลจดทะเบียนบริษัทเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2549 ของ ***บริษัท ทีพีไอ อีโออีจี จำกัด*** มีการจดทะเบียนจำนวนหุ้น 100,000 หุ้น ซึ่งนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ถือหุ้นเพียง 1 หุ้น ส่วนพี่-น้องเลี่ยวไพรัตน์ ทั้งนายประทีป -นายประมวล-นายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ ถือหุ้นรายละ 1 หุ้น และนางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ ถือหุ้นจำนวน 2 หุ้น ***ส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และบริษัท ทีพีไอ โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 25,000 หุ้น และจำนวน 74,993 หุ้นตามลำดับ***
ในขณะที่***บริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด*** พบว่า ข้อมูลจดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2549 มีการจดทะเบียนจำนวนหุ้น 1,800,000 หุ้น นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ถือหุ้นเพียงจำนวน 30,000 หุ้นเท่านั้น ส่วนพี่-น้องตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ประกอบด้วย นายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ ถือหุ้นจำนวน 114,000 หุ้น นายประทีป เลี่ยวไพรัตน์ ถือหุ้นจำนวน 1,500 หุ้น นางสาวมาลินี เลี่ยวไพรัตน์ ถือหุ้น จำนวน 1,500 หุ้น นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ ถือหุ้นจำนวน 1,500 หุ้น ***สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และบมจ.ทีพีไอ โพลีน จำนวน 542,000 หุ้นและจำนวน 300,000 หุ้นตามลำดับ***
ส่วน***บริษัท ทีพีไอ โฮลดิ้ง จำกัด*** (โปรดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 20 รายแรกดูตารางประกอบ) พบว่า ข้อมูลจดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 เม.ย.2548 มีการจดทะเบียนจำนวนหุ้น 500,000 หุ้น มีผู้ถือหุ้นจำนวนมากถึง 290 ราย ซึ่งมีทั้งนักลงทุนรายย่อยและรายบริษัททั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายสำคัญที่มีชื่อเสียงในบริษัทดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสังคมอย่าง ***"ชาตรี โสภณพนิช"*** หรือ ***"เจ้าสัวแบงก์กรุงเทพฯ"*** ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของทีพีไอรายหนึ่ง ก็ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นจำนวน 3,667 หุ้น และยังมีผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ อีกจำนวนมาก
ดังนั้น จากข้อมูลที่มีเอกสารการจดทะเบียนบริษัท และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของ 3 บริษัทในเครือ ที่ทีพีไอปล่อยกู้ในวงเงิน 8,000 ล้านบาท จึงถือว่าเป็นการ ***"ล้างมลทิน"*** ข้อกล่าวหาว่า เป็นการปล่อยกู้ให้กับ ***"บริษัทส่วนตัวของครอบครับเลี่ยวไพรัตน์"*** ได้อย่างชัดเจน และย่อมแน่นอนว่า ผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังในการปล่อยข่าวลวงในประเด็นดังกล่าวต่อสังคม สมความอย่างยิ่งที่จะต้องถูกประณามอย่างร้ายแรง!

***แฉเส้นทางฉาว"ทักษิณ"
จาก "ชินคอร์ปสู่ทีพีไอ"***
จะต้องฉายภาพให้เห็นกันอีกครั้งว่า ขบวนการ ***"ปล้นทีพีไอ"*** นั้น ได้เปิดฉากหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้เดินทางไปดูอาณาจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านของทีพีไอที่จังหวัดระยอง และเมื่อเห็นความยิ่งใหญ่ ความทันสมัยและครบวงจรที่สุดของโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้สารพัดชนิด (โปรดดูตารางแสดงผังขบวนการผลิตของโรงกลั่นทีพีไอ ประกอบ) ถึงแม้ว่าในวันนี้อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พลัดถิ่นรายนี้ ได้ ***"ลั่นปาก"*** ต่อหน้าผู้บริหารและพนักงานทีพีไอร่วม 1,000 คนว่า ***"จะไม่ถือหุ้นทีพีไอแม้แต่หุ้นเดียว"*** แต่ในที่สุดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เผย ***"ธาตุแท้"*** ออกมาให้เห็น โดยการส่งลิ่วล้อเข้า ***"ฮุบกิจการทีพีไอ"*** ดังเช่นในปัจจุบัน
มีกระแสข่าวยืนยันได้ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในช่วงนั้น ได้ ***"ตัดใจ"*** ขายทิ้งหุ้นของกลุ่มชินคอร์ปให้กับกองทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ในวงเงินเกือบ 100,000 ล้านบาท ก็เพราะไม่มีกำลังเงินทุนเพียงพอที่จะใช้ต่อยอดธุรกิจโทรคมนาคมในการลงทุนของยุค 3 จีหรือในการก้าวสู่ยุคโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถสื่อสารได้ทั้งข้อมูล ภาพและเสียงในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมากกว่า 100,000 ล้านบาท
อดีตนายกรัฐมนตรีพลัดถิ่นคนนี้ ยังคงมีภาพติดตราตรึงใจกับความ ***"มหัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ และที่สำคัญธุรกิจทางด้านพลังงานกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงกว่าธุรกิจโทรมคมนาคม"*** ดังนั้น อาณาจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านทีพีไอ ที่ ***"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์"***ได้เป็นผู้จุดประกายความคิด และเป็นผู้บุกเบิกโรงกลั่นน้ำมันทีพีไอที่ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในประเทศไทยและเอเซียอาคเนย์เป็นผลสำเร็จ ทั้ง ๆ ก่อนหน้านี้ได้เคยถูกนักลงทุนฝรั่งตาน้ำข้าวและนักลงทุนไทยบางคน ได้ตราหน้าไว้แล้วว่า คนไทยไม่มีทางสร้างโรงกลั่นน้ำมันที่ทันสมัยและครบวงจรได้สำเร็จ ซึ่งหลังจากเดินทางกลับจากโรงกลั่นน้ำมันทีพีไอของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ทีพีไอได้กลายเป็น ***"ของเล่น"*** ราคาแพงชิ้นใหม่ของ ***"นายใหญ่"***ที่อยากได้มาเป็นของตัวเองจน ***"ตัวสั่น"*** ในทันที
แม้ว่าหากนักลงทุนรายไหนต้องการสร้างโรงกลั่นขนาดเท่ากับอาณาจักรทีพีไอ ซึ่งมีศักยภาพในการกลั่นน้ำมันได้ถึง 215,000 บาร์เรลต่อวันอย่างโรงกลั่นทีพีไอและใช้เทคโนโลยี่ก่อสร้างที่ทันสมัย สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เพื่อสนองต่อความต้องการของตลาดได้ชนิด ***"ปิดประตูขาดทุน"*** มากกว่าสิบชนิดแล้ว จะต้องทุ่มเม็ดเงินก่อสร้างมากกว่า 200,000-300,000 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงปัญหาจุกอกต่าง ๆ ที่จะตามมา อาทิเช่น การหาพื้นที่ขนาดใหญ่ 2,0000-5,000 ไร่ที่จะนำไปสร้างโรงกลั่น ซึ่งปัจจุบันหาได้ยากและมีราคาแพงยิ่งกว่าทองคำ ตลอดจะมีปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม การออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านของมวลชน และองค์กรเอ็นจีโอต่าง ๆ อีกจำนวนมาก
ดังนั้น การเรียนลัดทางธุรกิจด้วยวิธีการง่าย ๆ ที่จะสามารถเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ที่ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในประเทศไทย และเอเซียอาคเนย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและบรรดาลิ่วล้อนายทุนใหญ่ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เห็นจะหนีไม่พ้น จะต้อง ***"ยกทัพ"*** เข้ายึดกิจการทีพีไอ ด้วยการสวมวิญญาณโหดด้วยการ ***"เข้าปล้นทีพีไอ"*** ไปจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในราคาเพียง 60,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่ใช่ว่าปมปัญหาทีพีไอจะจบลงง่าย ๆ ตราบใดที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมยังไม่ได้คืนความชอบธรรม!
...........................
กำลังโหลดความคิดเห็น