“เวลา” คือการแปรผันไปของทุกอย่าง ทุกอย่างก็ย่อมมีเวลาของการลาจาก และการได้พักผ่อน ผมเองได้เกษียนจากงานที่เคยทำเพราะตระหนักรู้ว่าอายุมากแล้ว และจำเจกับงานที่ทำอยู่นานพอควรแล้ว
ความจริง ผมกับคุณทักษิณอายุใกล้กันมาก ผมเกษียนแล้ว ก็เลยอยากจะชวนคุณทักษิณเกษียนด้วย
“การลาจาก” ก็คือการได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เพราะชีวิตยังมีอีกหลายมิติที่มีคุณค่าและงดงาม ไม่ใช่เรื่องของเงินๆ งานๆ และอำนาจ รวมทั้งการหลงจมอยู่กับการบริโภคความเครียดทุกวัน
แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณทักษิณจะเกษียณได้ เนื่องจากผมและคุณทักษิณมีฐานคิดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผมคิดแบบตะวันออก แต่คุณทักษิณคิดแบบตะวันตก
คนที่มีฐานคิดที่แตกต่างกัน วิถีการดำเนินชีวิตก็จะแตกต่างกัน
คนตะวันออกเวลาอายุมากแล้วก็จะปล่อยวาง หันสู่การดำเนินชีวิตบนวิถีแห่งเต๋า และพัฒนาจิตแบบพุทธะ
ที่เรียกว่า โพธิจิต (โดยมีเมตตานำ)
งานนี้ผมจะพูดถึง “วิถีแห่งเต๋า” เป็นหลัก จะพูดถึงโพธิจิตบ้างเพื่อประกอบเท่านั้น
วิถีแห่งเต๋า คือ วิถีการดำเนินชีวิตแบบง่ายๆ สงบเย็น และมีความสุขเป็นฐาน
ถ้าถามว่า “ชีวิตคืออะไร” เต๋าจะตอบว่า “ชีวิตคือการเต้นรำ” ถ้าเราเข้าใจการดำเนินชีวิตแบบเต๋า เราจะเต้นรำไปตามจังหวะอย่างสนุกสนาน
เต๋าจะแบ่งชีวิตเป็นช่วงๆ อย่างเช่น ช่วงเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ชรา ในแต่ละช่วงเราต้องรู้ว่า เราควรจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร จึงจะเหมาะสมกับชีวิตช่วงนั้นๆ
จังหวะในความหมายของเต๋าคือ “เวลา” ในความหมายปัจจุบันนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่า เต๋าจะให้ค่าเรื่อง “เวลา” มาก ไม่ต่างจากความเชื่อของผู้คนในโลกตะวันตก แต่การมองค่าเวลา ของเต๋าจะแตกต่างตรงข้ามกับโลกตะวันตก
คนตะวันตก คิดถึงค่าของเวลาในมิติเงินๆ ทองๆ และการทำงาน หรือพูดว่า “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” เวลาในความเชื่อของคนตะวันตกจึงเป็นเส้นตรงที่ถี่ยิบ มีค่าทุกวินาที ทุกวินาทีคืองาน ทำงานทุกวัน ทำจนแก่ กว่าจะรู้ตัวก็แก่เฒ่าชรามาก หรือไม่ก็ล้มป่วย หรือใกล้ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงมากมาย
ยิ่งเชื่อว่า ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาพลัง ทุกช่วงเวลาคือสงครามที่จะต้องเอาชนะ ทุกครั้งที่ชนะก็คือ รอยยิ้ม หรือความสุข แต่ถ้าแพ้ ก็ทุกข์หนักราวกับว่าทุกสิ่งกำลังจะจบสิ้น
คนที่คิดอย่างตะวันตกจะกลายเป็นคนที่สู้ไม่ถอย แพ้ไม่เป็น หยุดไม่ได้ ยิ่งแก่ยิ่งบ้างาน บางคนยิ่งติดหลงอำนาจวาสนา อายุเกินเกษียนไปแล้ว ยังบ้าอยากกลับมาเป็นนายกฯ อีก หรืออยากจะเป็นรัฐมนตรีกัน
ประเทศไทยจึงมีบรรดารัฐมนตรี และนายกฯ อายุรวมกันทำสถิติระดับหนึ่งของโลก
เต๋ากลับกล่าวว่า ชีวิตคือการเรียนรู้ และเข้าใจ (ชีวิต) ทุกช่วงเวลาที่ผ่านไปล้วนมีค่า ไม่ต่างกัน แพ้หรือชนะหาได้สำคัญไม่ ช่วงเวลาที่พ่ายแพ้กลับมีค่ากว่าเวลาชนะ เพราะในยามพ่ายแพ้ เราจะมีโอกาสได้เรียนรู้บทเรียนต่างๆ และมีโอกาสหยุดพัก ความพ่ายแพ้จะทำให้เราได้พัฒนา และเรียนรู้สิ่งใหม่
ที่สำคัญ คนชนะกลับจะติดหลง หลงอยู่ในโลกของ “สงคราม” (พยายามขยายอำนาจ และสร้างโลกตามความปรารถนาของตัวเองเท่านั้น) บรรดาผู้ชนะที่ติดหลงอยู่ในโลกของสงครามเหล่านี้ก็จะกลายเป็นผู้แพ้ในที่สุด
นอกจากนี้ ในขณะที่ชาวตะวันตกให้ค่าสูงสุดต่อเวลาทำงาน ทำงานมากๆ ทำงานทุกวินาที ชาวเต๋ากลับให้ความสำคัญกับช่วงเวลาในการพักผ่อน และการออกกำลังกาย(แบบตะวันออก) มากกว่าเวลาในการทำงาน เพราะถ้าเราพักผ่อนได้ไม่ดี และร่างกายไม่แข็งแรง เราก็ทำงานได้ไม่ดี
ชาวเต๋าจึงให้ค่าเวลาที่ช่วงนอน ช่วงตื่น ช่วงดื่มชา ช่วงคุยกันกับเพื่อนๆ และช่วงออกกำลังกายอย่างมากๆ เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งความสุข
จะเล่น จะนอน จะกิน จะดื่ม จะคุย จะออกกำลังกายกันอย่างไรให้มีความสุข และที่สำคัญ จะนอน อย่างไรจึงจะหลับได้สนิท หรือถ้าฝันก็ฝันแต่เรื่องดีๆ งามๆ
How to ของคนตะวันตกกับ How to ของคนที่คิดแบบเต๋า จึงแตกต่างตรงข้ามกัน
How to ตะวันตกเน้นเรื่องจะรวย จะเป็นมหาเศรษฐี จะมีอำนาจ และจะรักษาอำนาจได้อย่างไร ส่วน How to แบบเต๋าๆ จะเน้นเรื่อง “สุขภาวะ” ทั้งกายและใจ และจะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ได้อย่างไร
คิดแบบตะวันตกมีความ “ไม่หยุด ไม่พอ มีความโลภ และโลกของสงครามเป็นฐานชีวิต มีความเครียด รวมทั้งความทุกข์เป็นอาภรณ์แห่งชีวิต”
คิดแบบเต๋ามีคำว่า “หยุด” มีคำว่า “พอ” ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกแห่งสันติ ไม่แสวงหามากจนเกินกำลัง และมีความสุขเป็นอาภรณ์แห่งชีวิต
คนคิดแบบตะวันตกจะไม่สนใจเรื่อง “ใจ” เลย ใจจึงโลภ โกรธง่าย ใจจึงหยาบ ชอบการใช้อำนาจและความรุนแรง เพราะใจหลงอยู่ในโลกของสงคราม โดยมีกิเลสตัณหา (โลภ โกรธ หลง) ครอบงำ
คิดแบบเต๋า “ใจ” สำคัญอย่างยิ่ง เราต้องทำใจให้ “งาม” ตลอดเวลา เพราะใจงามเท่านั้น จึงจะเข้าถึงความสุขได้
คน “ใจงาม” เพราะได้ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกธรรมชาติ และสังคมที่งาม คนตะวันออกจะมีเวลาหรือให้เวลาต่อการเดินชื่นชมธรรมชาติ ดูศิลปะวัฒนธรรมเก่า และชอบฟังเสียงเพลง
คนที่คิดแบบตะวันตก แม้ในเวลา “พักผ่อน” ก็พักผ่อนได้ไม่เต็มที่ เพราะอดไม่ได้ ต้องเอาปัญหาหรือธุรกิจติดไปด้วย ต้องติดเอาคอมพ์เอามือถือไป จะเล่นกีฬาก็ต้องเป็นกีฬาที่มีการ “แข่งขัน” เอาชนะ และมีเดิมพัน
ออกกำลังกายแบบตะวันตก ก็ต้องออกกันแบบ“สุดๆ” เรียกว่า ต้องใช้แรงจนเกือบหมด ต่างจากคนตะวันออกที่จะเล่นกีฬาเพื่อความสุขหรือสนุก และจะออกกำลังกายเพื่อสร้าง “แรง” หรือ “กระตุ้น” ให้เกิดกำลัง และรักษากำลังไว้ ไม่ใช้กำลังจนหมด
คนตะวันตกจะเข้าใจ “กาย” เป็นเพียงกลไกไร้ชีวิต และจะสนใจเรื่อง “กาย” เฉพาะตอนที่ล้มป่วยเท่านั้น เวลาทำงานของคนที่คิดแบบตะวันตก เรื่องงานต้องมาก่อนเสมอ
ดังนั้น บางครั้ง ต้องทำงานติดๆ กัน โดยไม่นอน หรือทำงานจนลืมกินข้าว
กายจึงมีฐานะเป็น “ทาส” เท่านั้น
ชาวเต๋าจะเน้นเรื่องดุลยภาพของกาย และใจ ตลอดเวลา “กายคือฐานแห่งชีวิต” ดังนั้นเราต้องสร้าง “ฐานชีวิต” ที่มั่นคงและยั่งยืน นี่คือหน้าที่ที่ทุกคนต้องปฏิบัติ
นอกจากนี้ ชาวเต๋าสนใจคลื่นของเวลาอีกแบบหนึ่ง ที่มีค่าอย่างยิ่งคือ “เวลาของการตาย” หรือการจากไปสู่การมีชีวิตใหม่
ชาวเต๋าเชื่อว่า ทุกช่วง 10 ปี ต้องจากไป ลาจากสิ่งเก่าไปสู่สิ่งใหม่ ทิ้งชีวิตเก่า และสร้างชีวิตใหม่ หรือพูดแบบพุทธคือ เราต้องรู้จัก “ค่าแห่งความตาย และค่าแห่งการได้เริ่มต้นใหม่”
หมายความว่า เราต้องไม่หลงทำงานอะไรที่จำเจอยู่แบบนั้นเช่นนั้นทุกวัน ทุกปี พอเราทำงานอย่างหนึ่งจนเราเรียนรู้และเข้าใจแล้ว เราต้องกล้าเปลี่ยนงาน เปลี่ยนชีวิต กล้าเริ่มต้นใหม่ และค้นพบผู้คนที่เรายังไม่เคยรู้จัก
คนที่คิดอย่างตะวันตก มักจะทำงานจนเกษียน ไม่ไล่ ไม่เลิก
คนตะวันตก จึงถือว่า “การจากไปคือ ความทุกข์ ความโศกเศร้า” แต่คนตะวันออกจะถือว่า "การจากไปคือ ความสุข”
เต๋าจะสอนให้เรารู้ค่าแห่งความเป็นอิสระ การจากไปคือ การพบอิสระ แต่คนที่คิดแบบตะวันตก ชีวิตคือ การสะสมและการได้มา และการติดยึดอยู่กับ “อะไร” จะทำให้เราการตกเป็น “ทาส” สิ่งนั้น โดยไม่รู้ตัว
ยิ่งมีเงินทองทรัพย์สินมาก เราก็ต้องเป็น“ทาส” ทรัพย์สินมากมายที่เราครอบครองอยู่ ยิ่งมีสามี หรือมีเมียมาก มีลูกมากก็ยิ่งเป็น “ทาส” สามี ทาสเมีย ทาสลูก ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งเป็น “ทาส” อำนาจ ยิ่งมีชื่อเสียงมากก็ตกเป็น “ทาส” ชื่อเสียง
คนที่มีทั้งเงินทอง อำนาจ และชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน อย่างเช่นท่านอดีตนายกฯ ก็ต้องกลายเป็น “ทาส” ที่ปลดปล่อยไม่ไป กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่หลงแบกโลกที่หนักอึ้งไว้ทั้งใบ เพราะโลกนี้มีแต่สิ่งที่เราต้องต่อสู้ ต้องรักษาไว้ทั้งนั้น
ใครสูญเสียอำนาจก็ต้องดิ้นรนเอาอำนาจคืน บางคนออกบวชแล้ว ก็บวชได้ไม่นาน เพราะใจวางไม่ได้ กลับมาทำงานหนักรับใช้ชาติ ติด “หลง” แบกชาติทั้งชาติไว้บนบ่า จนตัวตาย
พูดคำว่า “พอเพียง” แต่ไม่รู้จัก “หยุด” จัก “พอ” ปล่อยไม่ได้ วางไม่เป็น มีชีวิตถูกล่ามโซ่ไว้ทั้งตัว และต้องนอนกอดอำนาจจนตัวตาย
ผู้ยิ่งใหญ่ (แก่ๆ) เหล่านี้ น่าสงสารมากๆ ล้วนไม่เข้าใจ และไม่เข้าถึง “ค่าความเป็นอิสระ” หรือภาษาพุทธเรียกว่า “การตรัสรู้” (รู้เส้นทางสู่อิสรภาพ)
การตรัสรู้ ก็คือ การรู้ถึงวิถีที่จะสลัดโซ่ตรวนที่รัดร้อยชีวิตเรา ช่วยให้เราสลัดหลุดจากตัวตน จากมงกุฎจอมปลอมที่สวมหัวอยู่ สลัดหลุดจากเงินทอง และอำนาจที่ติดหลง (ยังมีต่อ)
ความจริง ผมกับคุณทักษิณอายุใกล้กันมาก ผมเกษียนแล้ว ก็เลยอยากจะชวนคุณทักษิณเกษียนด้วย
“การลาจาก” ก็คือการได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เพราะชีวิตยังมีอีกหลายมิติที่มีคุณค่าและงดงาม ไม่ใช่เรื่องของเงินๆ งานๆ และอำนาจ รวมทั้งการหลงจมอยู่กับการบริโภคความเครียดทุกวัน
แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณทักษิณจะเกษียณได้ เนื่องจากผมและคุณทักษิณมีฐานคิดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผมคิดแบบตะวันออก แต่คุณทักษิณคิดแบบตะวันตก
คนที่มีฐานคิดที่แตกต่างกัน วิถีการดำเนินชีวิตก็จะแตกต่างกัน
คนตะวันออกเวลาอายุมากแล้วก็จะปล่อยวาง หันสู่การดำเนินชีวิตบนวิถีแห่งเต๋า และพัฒนาจิตแบบพุทธะ
ที่เรียกว่า โพธิจิต (โดยมีเมตตานำ)
งานนี้ผมจะพูดถึง “วิถีแห่งเต๋า” เป็นหลัก จะพูดถึงโพธิจิตบ้างเพื่อประกอบเท่านั้น
วิถีแห่งเต๋า คือ วิถีการดำเนินชีวิตแบบง่ายๆ สงบเย็น และมีความสุขเป็นฐาน
ถ้าถามว่า “ชีวิตคืออะไร” เต๋าจะตอบว่า “ชีวิตคือการเต้นรำ” ถ้าเราเข้าใจการดำเนินชีวิตแบบเต๋า เราจะเต้นรำไปตามจังหวะอย่างสนุกสนาน
เต๋าจะแบ่งชีวิตเป็นช่วงๆ อย่างเช่น ช่วงเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ชรา ในแต่ละช่วงเราต้องรู้ว่า เราควรจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร จึงจะเหมาะสมกับชีวิตช่วงนั้นๆ
จังหวะในความหมายของเต๋าคือ “เวลา” ในความหมายปัจจุบันนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่า เต๋าจะให้ค่าเรื่อง “เวลา” มาก ไม่ต่างจากความเชื่อของผู้คนในโลกตะวันตก แต่การมองค่าเวลา ของเต๋าจะแตกต่างตรงข้ามกับโลกตะวันตก
คนตะวันตก คิดถึงค่าของเวลาในมิติเงินๆ ทองๆ และการทำงาน หรือพูดว่า “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” เวลาในความเชื่อของคนตะวันตกจึงเป็นเส้นตรงที่ถี่ยิบ มีค่าทุกวินาที ทุกวินาทีคืองาน ทำงานทุกวัน ทำจนแก่ กว่าจะรู้ตัวก็แก่เฒ่าชรามาก หรือไม่ก็ล้มป่วย หรือใกล้ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงมากมาย
ยิ่งเชื่อว่า ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาพลัง ทุกช่วงเวลาคือสงครามที่จะต้องเอาชนะ ทุกครั้งที่ชนะก็คือ รอยยิ้ม หรือความสุข แต่ถ้าแพ้ ก็ทุกข์หนักราวกับว่าทุกสิ่งกำลังจะจบสิ้น
คนที่คิดอย่างตะวันตกจะกลายเป็นคนที่สู้ไม่ถอย แพ้ไม่เป็น หยุดไม่ได้ ยิ่งแก่ยิ่งบ้างาน บางคนยิ่งติดหลงอำนาจวาสนา อายุเกินเกษียนไปแล้ว ยังบ้าอยากกลับมาเป็นนายกฯ อีก หรืออยากจะเป็นรัฐมนตรีกัน
ประเทศไทยจึงมีบรรดารัฐมนตรี และนายกฯ อายุรวมกันทำสถิติระดับหนึ่งของโลก
เต๋ากลับกล่าวว่า ชีวิตคือการเรียนรู้ และเข้าใจ (ชีวิต) ทุกช่วงเวลาที่ผ่านไปล้วนมีค่า ไม่ต่างกัน แพ้หรือชนะหาได้สำคัญไม่ ช่วงเวลาที่พ่ายแพ้กลับมีค่ากว่าเวลาชนะ เพราะในยามพ่ายแพ้ เราจะมีโอกาสได้เรียนรู้บทเรียนต่างๆ และมีโอกาสหยุดพัก ความพ่ายแพ้จะทำให้เราได้พัฒนา และเรียนรู้สิ่งใหม่
ที่สำคัญ คนชนะกลับจะติดหลง หลงอยู่ในโลกของ “สงคราม” (พยายามขยายอำนาจ และสร้างโลกตามความปรารถนาของตัวเองเท่านั้น) บรรดาผู้ชนะที่ติดหลงอยู่ในโลกของสงครามเหล่านี้ก็จะกลายเป็นผู้แพ้ในที่สุด
นอกจากนี้ ในขณะที่ชาวตะวันตกให้ค่าสูงสุดต่อเวลาทำงาน ทำงานมากๆ ทำงานทุกวินาที ชาวเต๋ากลับให้ความสำคัญกับช่วงเวลาในการพักผ่อน และการออกกำลังกาย(แบบตะวันออก) มากกว่าเวลาในการทำงาน เพราะถ้าเราพักผ่อนได้ไม่ดี และร่างกายไม่แข็งแรง เราก็ทำงานได้ไม่ดี
ชาวเต๋าจึงให้ค่าเวลาที่ช่วงนอน ช่วงตื่น ช่วงดื่มชา ช่วงคุยกันกับเพื่อนๆ และช่วงออกกำลังกายอย่างมากๆ เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งความสุข
จะเล่น จะนอน จะกิน จะดื่ม จะคุย จะออกกำลังกายกันอย่างไรให้มีความสุข และที่สำคัญ จะนอน อย่างไรจึงจะหลับได้สนิท หรือถ้าฝันก็ฝันแต่เรื่องดีๆ งามๆ
How to ของคนตะวันตกกับ How to ของคนที่คิดแบบเต๋า จึงแตกต่างตรงข้ามกัน
How to ตะวันตกเน้นเรื่องจะรวย จะเป็นมหาเศรษฐี จะมีอำนาจ และจะรักษาอำนาจได้อย่างไร ส่วน How to แบบเต๋าๆ จะเน้นเรื่อง “สุขภาวะ” ทั้งกายและใจ และจะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ได้อย่างไร
คิดแบบตะวันตกมีความ “ไม่หยุด ไม่พอ มีความโลภ และโลกของสงครามเป็นฐานชีวิต มีความเครียด รวมทั้งความทุกข์เป็นอาภรณ์แห่งชีวิต”
คิดแบบเต๋ามีคำว่า “หยุด” มีคำว่า “พอ” ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกแห่งสันติ ไม่แสวงหามากจนเกินกำลัง และมีความสุขเป็นอาภรณ์แห่งชีวิต
คนคิดแบบตะวันตกจะไม่สนใจเรื่อง “ใจ” เลย ใจจึงโลภ โกรธง่าย ใจจึงหยาบ ชอบการใช้อำนาจและความรุนแรง เพราะใจหลงอยู่ในโลกของสงคราม โดยมีกิเลสตัณหา (โลภ โกรธ หลง) ครอบงำ
คิดแบบเต๋า “ใจ” สำคัญอย่างยิ่ง เราต้องทำใจให้ “งาม” ตลอดเวลา เพราะใจงามเท่านั้น จึงจะเข้าถึงความสุขได้
คน “ใจงาม” เพราะได้ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกธรรมชาติ และสังคมที่งาม คนตะวันออกจะมีเวลาหรือให้เวลาต่อการเดินชื่นชมธรรมชาติ ดูศิลปะวัฒนธรรมเก่า และชอบฟังเสียงเพลง
คนที่คิดแบบตะวันตก แม้ในเวลา “พักผ่อน” ก็พักผ่อนได้ไม่เต็มที่ เพราะอดไม่ได้ ต้องเอาปัญหาหรือธุรกิจติดไปด้วย ต้องติดเอาคอมพ์เอามือถือไป จะเล่นกีฬาก็ต้องเป็นกีฬาที่มีการ “แข่งขัน” เอาชนะ และมีเดิมพัน
ออกกำลังกายแบบตะวันตก ก็ต้องออกกันแบบ“สุดๆ” เรียกว่า ต้องใช้แรงจนเกือบหมด ต่างจากคนตะวันออกที่จะเล่นกีฬาเพื่อความสุขหรือสนุก และจะออกกำลังกายเพื่อสร้าง “แรง” หรือ “กระตุ้น” ให้เกิดกำลัง และรักษากำลังไว้ ไม่ใช้กำลังจนหมด
คนตะวันตกจะเข้าใจ “กาย” เป็นเพียงกลไกไร้ชีวิต และจะสนใจเรื่อง “กาย” เฉพาะตอนที่ล้มป่วยเท่านั้น เวลาทำงานของคนที่คิดแบบตะวันตก เรื่องงานต้องมาก่อนเสมอ
ดังนั้น บางครั้ง ต้องทำงานติดๆ กัน โดยไม่นอน หรือทำงานจนลืมกินข้าว
กายจึงมีฐานะเป็น “ทาส” เท่านั้น
ชาวเต๋าจะเน้นเรื่องดุลยภาพของกาย และใจ ตลอดเวลา “กายคือฐานแห่งชีวิต” ดังนั้นเราต้องสร้าง “ฐานชีวิต” ที่มั่นคงและยั่งยืน นี่คือหน้าที่ที่ทุกคนต้องปฏิบัติ
นอกจากนี้ ชาวเต๋าสนใจคลื่นของเวลาอีกแบบหนึ่ง ที่มีค่าอย่างยิ่งคือ “เวลาของการตาย” หรือการจากไปสู่การมีชีวิตใหม่
ชาวเต๋าเชื่อว่า ทุกช่วง 10 ปี ต้องจากไป ลาจากสิ่งเก่าไปสู่สิ่งใหม่ ทิ้งชีวิตเก่า และสร้างชีวิตใหม่ หรือพูดแบบพุทธคือ เราต้องรู้จัก “ค่าแห่งความตาย และค่าแห่งการได้เริ่มต้นใหม่”
หมายความว่า เราต้องไม่หลงทำงานอะไรที่จำเจอยู่แบบนั้นเช่นนั้นทุกวัน ทุกปี พอเราทำงานอย่างหนึ่งจนเราเรียนรู้และเข้าใจแล้ว เราต้องกล้าเปลี่ยนงาน เปลี่ยนชีวิต กล้าเริ่มต้นใหม่ และค้นพบผู้คนที่เรายังไม่เคยรู้จัก
คนที่คิดอย่างตะวันตก มักจะทำงานจนเกษียน ไม่ไล่ ไม่เลิก
คนตะวันตก จึงถือว่า “การจากไปคือ ความทุกข์ ความโศกเศร้า” แต่คนตะวันออกจะถือว่า "การจากไปคือ ความสุข”
เต๋าจะสอนให้เรารู้ค่าแห่งความเป็นอิสระ การจากไปคือ การพบอิสระ แต่คนที่คิดแบบตะวันตก ชีวิตคือ การสะสมและการได้มา และการติดยึดอยู่กับ “อะไร” จะทำให้เราการตกเป็น “ทาส” สิ่งนั้น โดยไม่รู้ตัว
ยิ่งมีเงินทองทรัพย์สินมาก เราก็ต้องเป็น“ทาส” ทรัพย์สินมากมายที่เราครอบครองอยู่ ยิ่งมีสามี หรือมีเมียมาก มีลูกมากก็ยิ่งเป็น “ทาส” สามี ทาสเมีย ทาสลูก ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งเป็น “ทาส” อำนาจ ยิ่งมีชื่อเสียงมากก็ตกเป็น “ทาส” ชื่อเสียง
คนที่มีทั้งเงินทอง อำนาจ และชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน อย่างเช่นท่านอดีตนายกฯ ก็ต้องกลายเป็น “ทาส” ที่ปลดปล่อยไม่ไป กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่หลงแบกโลกที่หนักอึ้งไว้ทั้งใบ เพราะโลกนี้มีแต่สิ่งที่เราต้องต่อสู้ ต้องรักษาไว้ทั้งนั้น
ใครสูญเสียอำนาจก็ต้องดิ้นรนเอาอำนาจคืน บางคนออกบวชแล้ว ก็บวชได้ไม่นาน เพราะใจวางไม่ได้ กลับมาทำงานหนักรับใช้ชาติ ติด “หลง” แบกชาติทั้งชาติไว้บนบ่า จนตัวตาย
พูดคำว่า “พอเพียง” แต่ไม่รู้จัก “หยุด” จัก “พอ” ปล่อยไม่ได้ วางไม่เป็น มีชีวิตถูกล่ามโซ่ไว้ทั้งตัว และต้องนอนกอดอำนาจจนตัวตาย
ผู้ยิ่งใหญ่ (แก่ๆ) เหล่านี้ น่าสงสารมากๆ ล้วนไม่เข้าใจ และไม่เข้าถึง “ค่าความเป็นอิสระ” หรือภาษาพุทธเรียกว่า “การตรัสรู้” (รู้เส้นทางสู่อิสรภาพ)
การตรัสรู้ ก็คือ การรู้ถึงวิถีที่จะสลัดโซ่ตรวนที่รัดร้อยชีวิตเรา ช่วยให้เราสลัดหลุดจากตัวตน จากมงกุฎจอมปลอมที่สวมหัวอยู่ สลัดหลุดจากเงินทอง และอำนาจที่ติดหลง (ยังมีต่อ)