xs
xsm
sm
md
lg

คนจนญี่ปุ่น

เผยแพร่:   โดย: ชัยสิริ สมุทวณิช

แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

และคนญี่ปุ่นจะร่ำรวยอยู่มาก

ทว่าคนจนญี่ปุ่นก็มีเยอะครับ


แล้วคนจนญี่ปุ่นอยู่กินกันอย่างไร

หลายคนมักไม่เคยคิดกันว่า ญี่ปุ่นซึ่งเศรษฐกิจใหญ่โตลำดับสองของโลกนั้น จะมีปัญหาคนยากจน

และญี่ปุ่นก็มีคนซึ่งเป็นชนชั้นกลางเป็นปึกแผ่น มีรายได้พอเก็บออมมากมาย สามารถซื้อหาเครื่องใช้ไม้สอย มีรถ 2 คัน และความเป็นอยู่ทันสมัยสุขสบายดี

แต่ไม่กี่ปีมานี้ ความแตกต่างและช่องว่าระหว่างชนชั้นเริ่มปริแยกให้เห็นในสังคมคนญี่ปุ่นแล้วละครับ

เป็นช่องว่างทั้งทางเศรษฐกิจและทางสังคมไปพร้อมๆ กัน

คือชนชั้นกลางที่เคยเป็นปึกแผ่นและมีมากนั้น

บัดนี้เริ่มถดถอยหดตัวลงมากกว่าที่ผ่านมาในอดีต

ทำให้พวกเหล่านี้ไปสมทบกับพวก “ชนชั้นล่าง” มากขึ้นทุกที


จุดเปลี่ยนแบบคาดไม่ถึงนี้ เกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจของญี่ปุ่นขยายตัวมายาวนานหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เอาเป็นว่าปริมาณโดยสัดส่วนของคนญี่ปุ่นที่ถือว่าอยู่ในกลุ่มคนจนจริงๆ นั้น เพิ่มขึ้นถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างกลางยุค 1980 ถึงปี2000

จากการสำรวจของ OECD (Economic Co-operation and Development) ซึ่งตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์ข้างต้นนั้น กล่าวว่าความยากจนนั้นวัดจากความจำเป็นขั้นพื้นฐานในการครองชีวิต

สภาญี่ปุ่นได้อภิปรายกันเข้มข้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยนั
กการเมืองฝ่ายค้านพยายามประณามอดีตนายกรัฐมนตรี จูนิชิโร โคอิซูมิ ว่าเป็นตัวการโดยเฉพาะเกี่ยวกับนโยบายผ่อนคลายกฎระเบียบ ซึ่งทำให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันทางสังคม

วิธีการหลายอย่างของอดีตนายกฯ นั้น เคยเกิดขึ้นในยุคมาร์กาเร็ต แธชเชอร์ และอดีตประธานาธิบดีเรแกน

คือพยายามสร้างแรงจูงใจในการแข่งขันและพยายามที่จะทบทวนระบบสวัสดิการสังคม


อาจารย์มหาวิทยาลัยเกียวโตท่านหนึ่งอธิบายว่า “ด้วยเหตุผลอย่างนี้แหละ แม้เศรษฐกิจจะเกิดประสิทธิภาพก็จริง แต่ว่าระบบเงินก็แย่ลง และผมคิดว่าปัจจุบันนี้ความไม่ทัดเทียมกันเกิดมาจากนโยบายของอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นคนทำ”

นักเศรษฐศาสตร์ญี่ปุ่นหลายคนเห็นด้วยกับความคิดข้างต้นว่า ปัญหาดังกล่าวระบาดไปทั่วประเทศและเป็นผลจากเศรษฐกิจในรอบ 10 ปี และบางส่วนเกิดจากประชากรญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลง

ประเทศญี่ปุ่นมีทศวรรษที่เกิดการบังคับให้บริษัทหลายแห่งต้องตัดค่าใช้จ่ายลง และจ้างพนักงานแบบพาร์ทไทม์ ซึ่งทำให้แรงงานเกินตัว พวกพนักงานที่ทำงาน “ไม่เต็มเวลา” กลายเป็นเพิ่ม 29 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานทั้งหมดในปี 2004 เพิ่มจาก 19 เปอร์เซ็นต์ จากในปี 1994

ตามข้อมูลของ OECD การเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นผลลัพธ์ให้เกิดความแตกต่างที่ไม่ทัดเทียมกันมากขึ้น โดยพวกพนักงานไม่เต็มเวลาที่มีรายได้แค่ 40 เปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมงเมื่อเทียบกับพนักงานประจำ ช่องว่างนี้ถือว่ามากไป เมื่อเทียบกับผลผลิตที่ได้รับระหว่างพนักงาน 2 พวก

อัตราหย่าร้างของคนญี่ปุ่นในช่วงอายุ 30-34 เกิดขึ้น 3 เท่าตัว ในช่วง 30 ปี ในปี 2000 หรือคิดเป็น 16 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 3.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 1970

พวกผู้หญิงที่หย่าแล้ว หางานที่รายได้สูงยาก เพราะพวกนี้มักไม่ใช่แรงงานที่มีทักษะ ดังนั้น จึงไปหาแรงงานที่ค่าแรงต่ำ ไม่ก็งานแบบพาร์ทไทม์ เพราะว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกๆ ด้วย

รายได้เฉลี่ยของแม่ตัวคนเดียวในญี่ปุ่นแค่ 2.24 ล้านเยนต่อปี ในปี 2004 เทียบกับรายได้เฉลี่ยของชาติ 5.7 ล้านเยน

OECD ให้ตัวเลขว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของแม่ตัวคนเดียว ได้รับเงินเลี้ยงดูลูก โดย 58 เปอร์เซ็นต์ของแม่เหล่านี้ในปี 2000 อยู่ในกลุ่มที่ยากจนมาก

ที่เป็นเช่นนี้เพราะ 34 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีระบบเลี้ยงลูกที่ได้รับจากบิดาเมื่อหย่าร้าง

ดังนั้น ความยากจนในบรรดาแม่ทั้งหลายจึงระบาดทั่วไป ค่าใช้จ่ายในการเรียนและในการเรียนพิเศษทำให้เกิดไม่ได้การศึกษาพอเพียง

วิธีแก้ไขก็คือ ญี่ปุ่นต้องแก้ไขเรื่องผลประโยชน์ที่ครอบครัวควรได้รับใหม่

ครับ....ปัญหามันซับซ้อนมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น