xs
xsm
sm
md
lg

สวัสดี “ปีกุน-หมูเขี้ยวตัน!”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ปีจอ ปี 2549 เลิกเห่าไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นปีที่ “โฮ่ง!...โฮ่ง!” ได้ดังอย่างมาก แต่ว่าไปแล้ว “การเห่า” ถือว่าเป็นการเห่าแบบ “จิตบริสุทธิ์” เพราะเป็นการเห่าเพื่อ “เฝ้าบ้าน-เฝ้าระวัง!” เพื่อไม่ให้ใครคิดมิดีมิร้ายกับ “บ้านเรา” และแน่นอนที่สุด เลยเถิดไปจนถึง “บ้านเมืองของเรา” ทั้งนี้ “เห่าดัง” ด้วยและยอดเยี่ยมสุดๆ คือ “กัดเจ็บ!” อีกต่างหาก

ปิดกันไปยาวถึง 4 วันเต็มๆ คงได้พักผ่อน ท่องเที่ยวช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่กันพอหอมปากหอมคอ วันนี้หลายๆ คนคงเริ่ม “บิดขี้เกียจ” ที่จะต้องทำงานกันได้แล้ว “แสงแดด” ฟันธงเลยว่าคง “หนืด!” กันแน่นอน ที่จะเริ่มตื่นแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัวย่างก้าวเดินออกจากบ้านไปทำงาน “พักเครื่อง!” มา 4 วันเต็มๆ แม้กระทั่ง “แสงแดด” เองก็ “หนืด” อย่างมาก และรับสารภาพเลยว่า “ขี้เกียจ” สุดๆ!

แต่ “งานก็ต้องเป็นงาน” ที่ต้อง “รับใช้” ท่านผู้อ่าน แบบภาษาอังกฤษเรียกว่า “The Show Must Go On!” กล่าวคือ จะมีผู้ชมหรือไม่มีผู้ชม “การแสดง” ต้องเดินหน้าต่อไป

ปีนี้เป็นปีที่ 8 ที่ “แสงแดด” รับใช้ท่านผู้อ่านในคอลัมน์ “พระอาทิตย์สาดส่อง” คิดว่าจำนวนปีคงไม่คลาดเคลื่อนซักเท่าไหร่เพราะ “แสงแดด” รู้สึกว่านานพอสมควรที่รับใช้ท่านผู้อ่าน โดยต้องขอขอบพระคุณ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมทั้งกองบรรณาธิการ ที่เปิดคอลัมน์ให้ “แสงแดด” ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น นานาทัศนะ ตลอดจนวิเคราะห์ถึงสถานการณ์บ้านเมือง ต่างประเทศ ทั้งด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ

และบางครั้งที่จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา กระทบทั้งต่อตัวบุคคลที่ถูกกล่าวถึง และองค์กรเช่นเดียวกัน ซึ่งก็คงต้องขออภัยบางครั้งที่ “แรง-ตรง” ไปบ้าง ในเมื่อบทบาทของสื่อสารมวลชนต้องคำนึงถึง “คุณธรรม” และ “ความเป็นสื่อกลาง” ที่ต้อง “สะท้อน” ให้สังคมได้รู้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร ถ้า “ชอบ” ก็นำเสนอ “ถ้าไม่ชอบ” ก็ต้องตีแผ่เพราะเป็นหน้าที่!

พูดง่ายๆ อะไรที่ “ไม่ชอบมาพากล” และ “ไม่ถูกทำนองคลองธรรม” ก็ต้อง “เห่า” และ “กัด” กันเพราะเป็น “ปรัชญา” ของพวกเรา “ชาวผู้จัดการ” และแน่นอนที่สุดของ “ชาวสื่อฯ” แต่ของแท้และแน่นอนที่สุดคือ “ความเป็นประชาชน” ที่มีโอกาสพร้อมช่องทางในการ “ปกป้องผลประโยชน์ชาติ” มิให้ใครมาปู้ยี่ปู้ยำไปได้โดยเด็ดขาด!

ปี 2549 เป็นปีที่ “ผันผวน-ปั่นป่วน” มากที่สุด เริ่มตั้งแต่ต้นปี ที่บ้านเมืองอึมครึมจนเลยเถิดมาถึง “ความแตกแยก” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย เหตุผลสำคัญเกิดจาก “การเล่นแร่แปรธาตุ” จนมาถึง “การซุก” และ “การฮุบ” จนเป็นที่มาของการ “ขับไล่” และ “ยุบสภา” ในที่สุด และแล้ว “การปฏิวัติรัฐประหาร” หรือ “Coup d’ Etat” ซึ่งไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้อีก หลังจากหายไปยาวนานถึง 15 ปี ทั้งนี้ก็ต้องบอกตามตรงว่า “ถ้าไม่วิกฤตจริงๆ ทหารคงไม่ออกมา!”

ความจริงที่เราต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดที่ “ตกเก้าอี้” ไปนั้น ดำเนินงานทางการเมืองเป็น “ธุรกิจ” มากจนเกินไป จึงเป็นที่มาของคำว่า “ธนกิจการเมือง” โดยบรรดารัฐมนตรีหลายคนนั้นเป็น “นักธุรกิจ” พร้อมองคาพยพรอบด้านล้วนเป็นนักธุรกิจแทบทั้งสิ้น จนเป็นที่มาของข้อครหา “ทุจริตเชิงนโยบาย” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน!” จนเสวยสุข “พุงกาง-ยิ้มตาหยี!” ยาวนานถึง 5 ปีกว่าๆ

ปรากฏการณ์สำคัญที่เป็น “กรณีแปลกประหลาด!” ที่ในที่สุด “กองทัพ” ได้ดำเนินการจัดตั้ง “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)” เกิดขึ้นทำการ “ยึดอำนาจ” จาก “รัฐบาลทักษิณ-ระบอบทักษิณ” โดยประชาชนส่วนใหญ่ “เฮ!” พร้อม “มอบดอกไม้” แก่บรรดาทหารเพื่อ “ขอบคุณ” ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองกลับคืนสู่สภาวะปกติ และคงไม่สำคัญเท่ากับ “ขับไล่เหล่าขี้โกง!” ให้ยุติพฤติการณ์พฤติกรรมดังกล่าว

จริงๆ แล้วต้องขอขอบคุณ “กลุ่มพันธมิตรฯ” ที่ออกมา “เปิดโปง” และ “เคลื่อนไหว” จนทำให้คนไทย “รู้ทัน” การกระทำต่างๆ ตลอด 5 ปีกว่าของรัฐบาลทักษิณว่า “อหังการ” มากน้อยอย่างไร อย่างไรก็ตาม “ความจริงก็คือความจริง!” และคงไม่สำคัญว่า “ความลับไม่มีในโลก” ดังนั้น เราคงต้องขอบคุณ “กลุ่มพันธมิตรฯ-ขาประจำ-กองทัพ” ที่ไม่ต้องการให้ชาติบ้านเมือง “บอบช้ำ!” ไปมากกว่านี้ ตลอดจน “สถาบันชาติ-กษัตริย์” อาจถูก “ลอบแทะ-ลอบแซะ” จน “ผุพัง!” ไปในที่สุด

นั่นก็คือ “ปรากฏการณ์ทางการเมือง” ที่เกิดขึ้น และก็ขอฟันธงเลยว่า ปี 2550 “การเมืองร้อนระอุ!” มากกว่าปีที่แล้วเสียอีก เอาเป็นว่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นไป เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นคนไทยก็ต้องขอสะกิดเตือนทั้ง “คมช.-รัฐบาล” ว่า “ภารกิจสำคัญ” ในการ “สร้างความมั่นคง” และ “เสถียรภาพชาติ” จะเป็นเป้าหมายหลัก แต่ที่สำคัญสูงสุดมากกว่านั้นคือ “การเดินหน้า-การพัฒนา” ชาติบ้านเมืองที่ “หยุดไม่ได้” กับ “มรสุม” ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ขอตอกย้ำอีกครั้ง “ต้องเดินหน้าด้วยความมั่นคงและ โปรดอย่าหวั่นไหว” กับบรรดาขบวนการ “กลุ่มผู้ไม่หวังดี!” ที่เป็นคนไทยต้องการกระทำกับ “ผืนแผ่นดิน” ของ “พวกเรา” โดยไม่คำนึงถึง “ความเสียหาย” ใดๆ ทั้งสิ้น

เท่านั้นยังไม่พอ “สังคมยุคโลกาภิวัตน์” ที่มีแต่การชิงไหวชิงพริบ จนถึงขั้น “เอารัดเอาเปรียบ!” ใน “ยุคแข่งขันเสรี!” ที่นับวันจะดุเดือดเลือดพล่านมากยิ่งขึ้น “ความมีเสถียรภาพทางการเมือง” และ “ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ” จึงจะต้องเป็นประเด็นสำคัญสำหรับยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กลไกสำคัญ” ต่างๆ พร้อม “องคาพยพ” ที่เกี่ยวข้องต้อง “หันหน้า-พุ่งเป้า!” ไปที่โลกยุคใหม่ได้แล้ว

สภาวะเศรษฐกิจรอบโลกจะเจอมรสุมความผันผวน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ราคาน้ำมัน” ที่ทะยานราคาขึ้นอีกครั้งในปี 2550 นี้ จนราคาน้ำมันดิบมีสิทธิ์แตะที่ระดับ 80-90 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ต่อหนึ่งบาร์เรล เรียกว่า “ปรับตัว” กันแทบไม่ทัน จนขณะนี้มา “นิ่ง” อยู่ที่ระดับ 70 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ต่อหนึ่งบาร์เรล

ในขณะเดียวกันวงการ “ตลาดหุ้น-ตลาดทุน-ตลาดเงิน” และแม้แต่ “ราคาน้ำมัน” ก็จะถูก “เก็งกำไร” จาก “กลุ่มกองทุนต่างชาติ” หรือเรียกว่า “กลุ่ม Hedge Fund” ที่เรียกขานกันว่า “กองทุนปีศาจ” ที่ไล่ “ทำลาย-ทำร้าย” และ “ทุบ” กับบรรดาตลาดเหล่านั้นที่กล่าวไว้ข้างต้น จะเริ่ม “หลอก-อาละวาด” มากยิ่งขึ้นหรือ “หวนกลับอีกครั้ง!”

อย่างไรก็ตาม “สภาวะโลกาภิวัตน์” ไว้วางใจไม่ได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะบรรดา “กลุ่มประเทศมหาอำนาจ” ที่ “แสงแดด” ขอเรียกขานว่า กลุ่มประเทศพวกนี้ “หน้าซื่อใจคด!” ทั้งนั้น เพราะดูจากภายนอกอาจ “ซื่อบริสุทธิ์” แต่ลับหลัง “เล่นแร่แปรธาตุ” อย่างมาก โดยข้อสมมติฐานของ “แสงแดด” ก็คือว่า บรรดา “กลุ่มกองทุนต่างชาติ” ที่เรียกว่า “กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund)” โดยเฉพาะจากกรุงนิวยอร์กนั้นมี “วาระซ่อนเร้น-แอบแฝง” พร้อม “เล่นตลก” กับบรรดา “ตลาดหุ้น-ตลาดทุน-ตลาดเงิน” มาโดยตลอด จนกระทั่งปัจจุบัน “น้ำมัน-ทองคำ” ก็ถูกกลุ่มกองทุนเหล่านี้ “ปั่น” ซะจน “ป่วน!” โดยตลอด

ที่กล่าวมานั้นคือ “ปัจจัยภายนอก-ปัจจัยต่างประเทศ” ที่ความจริงต้องยอมรับว่า “ควบคุมไม่ได้!” เนื่องด้วยเราเป็นประเทศเล็กนิดเดียว ปราศจาก “ศักยภาพ-สมรรถนะ” ที่จะไป “ต่อกร-ต่อรอง” ใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือ ต้องเป็น “เด็กดี!” ทำเป็นโง่ อย่ารู้ทันมากมายนัก ทั้งนี้ การเจรจาต่อรองอาศัย “พันธมิตร” เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด “อย่าสร้างศัตรู” หรือ “อย่าผลักมิตรให้เป็นศัตรู” และ “อย่าเพิ่มศัตรูเด็ดขาด” เพราะโลกปัจจุบัน “เพื่อน-พันธมิตร” สำคัญที่สุด

ปี 2550 สภาวะเศรษฐกิจบ้านเราต้องขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจภายนอก แต่ “สภาวการณ์การเมืองภายใน” จะเป็น “ปัจจัยเสี่ยง” สำคัญที่เราทุกคนต้องเฝ้าจับตามองเลยว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร กับการตรวจสอบ “ทุจริตคอร์รัปชัน” ขององค์กรและคณะกรรมการตรวจสอบต่างๆ ตลอดจน “กรอบร่างรัฐธรรมนูญ” จะมีหน้าตาอย่างไร อาจจะ “ถูกใจ” ประชาชน แต่อาจจะ “ผิดใจ” บรรดานักการเมือง จนก่อ “คลื่นใต้น้ำ” ให้กระเพื่อมได้ตลอดเวลา

ประเทศไทยจะไปได้ดีขนาดไหนเพียงไร ขึ้นอยู่กับ “สถานะของรัฐบาล” ที่จะทำให้ “การบ้าน-การเมือง” นิ่งขนาดไหน “สภาวการณ์เศรษฐกิจ” จะได้รับผลกระทบแน่นอน จากทั้งศรัทธาและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ แต่ “แสงแดด” ขอทำนายเลยว่า “การเมือง” จะ “ไม่มีทางสงบ!” อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้า คมช.และรัฐบาล ไม่ปรับ “กระบวนทัศน์” ทางความคิด การบริหารจัดการ การตัดสินใจ และ “ถ่วงดุล” ให้ดีที่สุดกับสารพัดปัจจัย สารพัดกลุ่ม แต่ต้องคำนึงมากที่สุดคือ “ประเทศชาติ-ประชาชน” ที่ต้องอยู่ให้ได้

นี่ก็ปีใหม่แล้ว ขอยุติเรื่องบ้านเรื่องเมืองในช่วงปลายๆ คอลัมน์นี้ “แสงแดด” ขอทบทวน พร้อมรำลึกแก่ตนเองและท่านผู้อ่านถึงที่มาที่ไปของ “วันปีใหม่” ที่ต้องสารภาพว่ามีประวัติศาสตร์เหมือนกัน

ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน

การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก

การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มาและในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า “วันตรุษสงกรานต์”

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป

ส่วนเหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน มาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็เพราะว่า หนึ่ง ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ สอง เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา สาม ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก สี่ เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

ส่วนประวัติความเป็นมาของ “ปีใหม่โลก” นั้นถอยหลังไปยาวนานถึงยุคสมัยชาว “บาบิโลเนีย” ที่เริ่มคิดค้นปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่างๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ แสดงว่า “ดวงจันทร์” มีบทบาทสำคัญมากในการกำหนดปฏิทิน เพราะเมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี

ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติด ได้นำปฏิทินของบาบิโลมาดัดแปลงแก้ไขอีกหลายครั้ง หลายครา จนในที่สุดถึงยุคสมัยของกษัตริย์ จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ “โยซิเยนิส” มาปรับปรุง ในปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุกๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า “อธิกสุรทิน”

สวัสดีปีใหม่ปี 2550 “ปีกุน” ซึ่งเป็น “ปีหมู” แต่รับรองเลยว่า ปีใหม่ปีหมูนี้คง “ไม่หมู...หมู!” อย่างแน่นอน เนื่องด้วยทุกปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศจะ “หมูเขี้ยวตัน!” ไม่ว่ารัฐบาลไทยปัจจุบัน การฝ่าฟันสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ กอปรกับ ปัญหาเกาหลีเหนือ และ “อิรัก” กับ “อิหร่าน” ก็ฟันธงได้เลยว่า “ปีกุน...ปีหมู” ปีนี้ เราเจอทั้ง “หมูป่า!” และ “หมูเขี้ยวตัน!” ที่รับรองเลยว่า “ดุแน่นอน!”

ทั้งนี้ขอสวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่าน จงมีแต่ความสุข สมหวัง ตลอดปี 2550!
กำลังโหลดความคิดเห็น