ศูนย์ข่าวศรีราชา-ตระกูลคุณปลื้ม ลุยการเมืองท้องถิ่นเต็มตัว หลังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังมานาน "สนธยา " ส่งน้องชาย"อิทธิพล" ลงชิงเก้าอี้นายกเมืองพัทยา เพื่อดันพัทยาก้าวสู่ระดับอินเตอร์ อย่างแท้จริง หลังนายกฯนิรันดร์ ลั่นลงจากเก้าอี้แน่ และพร้อมหนุน" อิทธิพล" เต็มที่
หลังมีกระแสการปรับเปลี่ยนตัวนายกเมืองพัทยา มาเป็นเวลานานกว่า 2 เดือน เนื่องจากมีประชาชนและนักธุรกิจของเมืองพัทยา พบเห็นนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีต ส.ส.เขต 5 ชลบุรี ลูกชายคนที่ 3 ของ นายสมชาย คุณปลื้ม (กำนันเป๊าะ) ปรากฏตัวตามงานพิธีต่างๆอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดของคืนวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่โรงแรมลองบีช พัทยา-นาเกลือ จ.ชลบุรี ก็ทราบข้อเท็จจริง เมื่อมีการประกาศกลางงานเลี้ยงสังสรรค์ ระหว่างหัวคะแนน และนักการเมืองท้องถิ่น กว่า 300 คน
งานนี้ นายนิรันดร์ วัฒนศาสตร์สาธร นายกเมืองพัทยาคนปัจจุบัน เป็นผู้กล่าวยอมรับบนเวทีว่า ต้องการลงจากเวทีการเมือง และไม่มีใครมาบังคับให้ลงจากเก้าอี้ โดยตนจะหันไปทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อให้การสนับสนุนการบริหารงานต่อไป
การประกาศออกตัวอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ทำให้สยบข่าวลือต่างๆลงอย่างสิ้นเชิง
นายนิรันดร์ กล่าวว่า ตนทำงานทางด้านการเมืองมานานกว่า 20 ปี ผ่านตำแหน่งทางการเมืองมาทุกด้านตั้งแต่สมาชิกสภา รองปลัด ปลัดเมือง รองนายก และนายกเมืองพัทยา จึงเข้าใจแก่นแท้ของการบริหารงานเมืองพัทยาเป็นอย่างดี ว่ามีปัญหาและอุปสรรคด้านใดบ้าง อย่างไรก็ตาม สำหรับเมืองพัทยาคงไม่ใช่พื้นที่ในการบริหารงานแบบท้องถิ่นเหมือนทั่ว ๆไป แต่กลับมีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีรูปแบบความเป็นสากลมากขึ้น
จากสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศที่เดินทางเข้ามาพักผ่อนหรือจัดประชุมอย่างต่อเนื่อง สร้างความสนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดการบริหารงานและการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเชิงรับและเชิงรุก ซึ่งเป็นภาระหนักของผู้บริหารที่ต้องการพัฒนาให้เมืองพัทยามีความเติบโตไปในทิศทางที่ดีและสู่ความเป็นอินเตอร์ จึงปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่หลายๆคนว่าควรจะมีการคัดเลือกหาผู้บริหารคนใหม่ที่มีวุฒิภาวะ และมีมุมมองที่กว้างไกลในการพัฒนาเมืองอย่างถูกทิศทาง โดยเน้นผู้นำสู่อินเตอร์รองรับผู้นำนานาชาติ
สำหรับตนแล้ว แม้จะมีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารเมืองพัทยามานานหลายปี แต่ยอมรับว่าขาดคุณสมบัติในความเป็นนานาชาติ จึงได้เสนอแนวคิดดังกล่าวด้วยเหตุผลคือ 1.ต้องการให้เมืองพัทยาไปสู่ความเป็นสากล และ 2.ต้องการให้มีความเป็นปึกแผ่นและเป็นหนึ่ง เดียวของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น โดยจะสรรหาบุคคลที่เหมาะสมมาทำหน้าที่ประสานงานในทุกระดับ แต่ตนเอง หลังหมดวาระการบริหารงานก็จะเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดและการทำงานในฐานะที่ปรึกษา จึงเหมือนกับว่ามีนายกเมืองพัทยาถึง 2 คน
นายนิรันดร์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีการขอลงจากตำแหน่งตรงนี้เป็นเรื่องของการบีบรัดทางการเมืองหรือไม่นั้น เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องของการเมืองอย่างแน่นอน แต่เป็นเรื่องของมุมมองที่ต้องการเห็นบ้านเมืองพัฒนาไปมากกว่าที่เป็นอยู่เท่านั้น จึงได้เสนอแนวคิดดังกล่าว
เสนอ"อิทธิพล คุณปลื้ม" เป็นนายกฯ
ด้านนายสนธยา คุณปลื้ม กล่าวว่าสำหรับจังหวัดชลบุรีเองถือว่ามีการทำงานแบบเป็นหนึ่ง เดียวมีความเป็นปึกแผ่นในการบริหาร โดยได้รับความร่วมมือประสานงานจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 99 แห่งในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้มีการวางแผนและกลยุทธ์ในการปรับปรุงและพัฒนาให้มีศักยภาพมากขึ้น ในขณะที่เมืองพัทยาเองแต่เดิมไม่เคยคิดในการปรับเปลี่ยนอย่างใดมาก่อน เพราะนายนิรันดร์เองก็ถือว่าเป็นคนทำงานที่มีความตั้งใจสูง และมีประสบการณ์มากมาย
เมื่อเป็นข้อเสนอของนายนิรันดร์ เองที่มีมุมมองกว้างไกล และต้องการเสียสละตำแหน่งเพื่อให้เกิดการพัฒนาบ้านเมืองอย่างจริงจังในอนาคต จึงได้เสนอบุคคลที่สามารถทำงานประสานแผนได้ในทุกระดับอย่างนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีต ส.ส.ชลบุรี ที่จะเข้ามาดำเนินการแทน เพราะนายอิทธิพล เคยผ่านงานในระดับชาติมาแล้ว ถือว่าเป็นคนมีประสบการณ์ มีความรู้ และจบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยจะทำการปรับรูปแบบการทำงานให้กระชับขึ้น ขณะที่นายนิรันดร์เอง ก็ยังไม่ได้ไปไหนและรับปากจะช่วยสานงานต่อไป
ในอนาคตเมืองพัทยายังเติบโตและขยายตัวอีกมาก โดยเฉพาะการรองรับสนามบินสุวรรณภูมิ จึงต้องมีการเตรียมแผนงานไว้รองรับโดยเฉพาะเมืองพัทยาก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้ดำเนินการแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ต้องชมเชยนายนิรันดร์ ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและไม่ติดยึดกับตำแหน่ง โดยมองผลประโยชน์ในภาพรวมเป็นหลัก
ด้านนายอิทธิพล คุณปลื้ม เปิดเผยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ และการเสียสละของนายกเมืองพัทยา ที่ต้องการพัฒนาเมืองพัทยาไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยคาดคิดหรือคาดหวังว่าจะมาทำงานตรงจุดนี้แต่อย่างใด หรือกดดันใครเพื่อมานั่งตรงจุดนี้ แต่เมื่อผู้ใหญ่ ได้ให้การสนับสนุนและคาดว่าจะสามารถพัฒนาเมืองพัทยา สู่ระดับสากล ตนก็จะทำงานให้ดีที่สุดตามที่ทุกคนตั้งความหวังไว้
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่เหลืออีกกว่า 1 ปีนี้ ก็คงจะต้องเข้ามาศึกษาดูงานอย่างเต็มที่ เพราะยังต้องการเรียนรู้อีกมากจึงต้องฝากความหวังไว้ที่ผู้ให้การสนับสนุนทุกด้านด้วย เพราะส่วนตัวแล้วไม่ใช่ว่าจบสูงแล้วจะทำงานได้ดีกว่าใคร เพียงแต่หากทุกคนเข้ามาช่วยกันทำงานก็จะทำให้เกิดความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ขณะที่นายทวิช ฉายสว่างวงศ์ ประธานสภาเมืองพัทยา ในฐานะนักการเมืองอาวุโสและแกนนำกลุ่มการเมืองพัทยา กล่าวว่าสำหรับความรู้สึกส่วนตัวแล้วการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ ถือว่ามีหลักการดีและเห็นชอบด้วย เพราะปัจจุบันเมืองพัทยานั้นมีความเติบโตขึ้นมาก และคงจะต้องมีการพัฒนาไปสู่ความเป็นสากล หรืออินเตอร์ ให้ได้ อย่างที่นายสนธยา ชี้ว่าต้องการทำให้เป็น World Pattaya Resort เนื่องจากมีการแข่งขันทางด้านการท่องเที่ยวอย่างหนักทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนที่นายนิรันดร์ ยอมสละตำแหน่งนั้นก็ถือเป็นเรื่องน่ายกย่องที่มีมุมมองกว้างไกล และไม่ติดยึดกับตำแหน่ง แต่คนที่มาแทนนั้นก็ต้องมีความเป็นอินเตอร์ และทำงานให้ได้ตามที่พูด เพราะมิฉะนั้นสิ่งที่เสียหายนอกจากบ้านเมืองแล้ว ก็คงจะเป็นตัวนายนิรันดร์ เองที่จะถูกสังคมตำหนิได้ ส่วนที่มีการคัดเลือกให้นายอิทธิพล มาลงแทนนั้นในส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะทำงานได้ เพราะถือว่ามีประสบการณ์และมีการสนับสนุนอย่างดีจากองค์กรต่างๆและบุคคลโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม นายอิทธิพล ควรมาทดลองทำงานในส่วนของผู้บริหารสักระยะหนึ่ง คือ มาทำงานในฐานะรองนายกเมืองพัทยาไปก่อน เพื่อศึกษางาน หลังจากนั้นจึงค่อยขยับฐานะสู่ผู้บริหารระดับสูงอย่างเต็มตัวและอย่างภาคภูมิใจ เพราะเมืองพัทยาเอง ถือเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความสำคัญระดับชาติ ซึ่งเมื่อมีความคิดเห็นของผู้ใหญ่เช่นนี้ ก็คงต้องยอมรับในระดับหนึ่ง จนกว่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ปรากฏเด่นชัดเท่านั้น
นายทวิช กล่าวต่อไปว่า สำหรับการปรับเปลี่ยนตัวนายกเมืองพัทยาใหม่ ในช่วงแรกต้องยอมรับว่ามีกระแสต่อต้านพอสมควร โดยเฉพาะในกลุ่มสมาชิกสภาเมืองพัทยาและผู้นำชุมชน โดยเฉพาะคำถามเรื่องของการใช้อิทธิพลมาบีบ และการกระโดดข้ามพื้นที่จากอำเภอศรีราชา มายังเมืองพัทยา ซึ่งหลายคนมองว่าคนท้องถิ่นเองก็ยังมีคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนที่สามารถทำงานได้อยู่อีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ หากจะมองในภาพรวมแล้วเรื่องนี้คงจะไปเจาะจงใครขึ้นมาบริหารไม่ได้ ขอเพียงผู้บริหารเป็นคนที่มีความเหมาะสม มีวิสัยทัศน์ มีความเป็นสากล และเข้ากับทุกระดับชนชั้นได้ รวมทั้งประสานงานได้ในทุกระดับก็คงไม่มีปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางคอนเซ็ปต์ ในการพัฒนาของนายสนธยา เองก็ถือว่าเป็นเรื่องจริงที่ควรให้การสนับสนุน แต่หากเรื่องนี้เป็นเกมการเมืองและเป็นการเข้ามาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องกรณีนี้ก็คงจะไม่ยั่งยืน เพราะปัจจุบันคนพัทยาเองก็มีความฉลาดและมีความคิดเป็นของตัวเองคงจะให้ใครมาจูงจมูกแบบในอดีตคงไม่ได้แล้ว
ส่วนกรณีที่ว่าสังคมและประชาชนจะยอมรับตัวนายอิทธิพล หรือไม่นั้น ยอมรับว่าไม่หนักใจเพราะเวลาที่เหลืออยู่อีก 1 ปีกว่า ซึ่งทุกคนต้องทำความเข้าใจและอธิบายให้กับประชาชนถึงความจำเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และสังคมก็คงเปิดใจในการรับรู้และการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆที่ต้องเกิดขึ้นด้วย
ในขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวที่แพร่สะพัดถึงการตัดสินใจของนายนิรันดร์ วัฒนศาสตร์สาธร ในครั้งนี้ว่าสาเหตุหลักน่าจะเกิดจากความเบื่อหน่ายในการทำงาน ในส่วนของผู้บริหาร เนื่องจากเป็นคนที่มีความตั้งใจในการทำงานสูง แต่ต้องประสบกับความลำบากใจในเรื่องของการแบ่งสรรงานการบริหารให้แก่รองนายกเมือง และงบประมาณโครงการต่างๆ ซึ่งมาจากการบีบคั้นทางการเมืองของกลุ่มผู้กว้างขวางในพื้นที่เกี่ยวกับผลประโยชน์
รวมถึงสมาชิกสภาเมืองพัทยาในยุคปัจจุบัน ที่ขาดความเคารพยำเกรง เพราะความคุ้นเคยและทำงานร่วมกันมานาน อีกทั้งนายนิรันดร์ เป็นคนหัวแข็งทำงานแบบตรงไปตรงมา จนอาจมองข้ามความสำคัญของกลุ่มการเมืองไปบ้าง โดยเฉพาะกรณีของกระแสที่โจมตีนายนิรันดร์ บ่อยครั้งว่าขาดความดุดันและเด็ดขาด ฟังคำชักจูงของข้าราชการระดับสูงภายในองค์กร ที่มักมีความขัดแย้งกับกลุ่มสมาชิกจนเกิดความคลางแคลงใจระหว่างกันมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีปัญหาในกลุ่มการเมืองกันอย่างชัดเจน หลังมีการแบ่งเขตเลือกตั้ง รวมไปถึงการลืมบทบาทหน้าที่ของความเป็นสมาชิกบางคน ที่มักจะก้าวก่ายการทำงานของฝ่ายบริหารอยู่เป็นประจำ สร้างความไม่พอใจจากฝ่ายบริหารและกลุ่มข้าราชการ ในขณะที่กลุ่มผู้บริหารในตำแหน่งรองนายกเมืองพัทยา ก็ยังขัดแย้งต่อนโยบาย และบางครั้งมีการสาวไส้กับความผิดพลาดกันเอง
ขณะที่การทำงานด้านบริหารของนายนิรันดร์ เองก็ถือว่าเป็นช่วงตั้งไข่หรือมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองใหม่ และกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาในหลายด้านจึงทำให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้ทำให้ผู้เสียผล ประโยชน์ และคู่ปรับทางด้านการเมือง ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนในกลุ่มใช้เป็นเครื่องมือหรือกลยุทธ์ในการโจมตีนายนิรันดร์มาโดยตลอด
จากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น มองดูว่าหากไม่ดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาด หากปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้สะสมต่อไปก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง และกลุ่มการเมืองของชลบุรีในอนาคตอันใกล้ได้ จึงได้นำเรื่องเข้าหารือกับนายสนธยา คุณปลื้ม เพื่อหาทางออก โดยใช้กลยุทธ์ในทิศทางของความนุ่มนวลด้วยการสละตำแหน่งและให้ผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทน เพื่อต้องการผลักดันให้เมืองพัทยาก้าวสู่ความเป็นอินเตอร์ หรือสากล เพื่อลดกระแสการคัดค้านและการชิงบัลลังก์กันเองในกลุ่มการเมืองของพัทยา คู่แข่งอิสระที่มีทีท่าของการรวมไพร่พล เพื่อลงแข่งกับนายนิรันดร์ หลังหมดวาระ
การกระทำเช่นนี้ เพื่อลดความรุนแรงในช่องว่างของกลุ่มสมาชิก ผู้ให้การสนับสนุน และปัญหาภายในองค์กร อีกทั้งยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ ในการปรับเปลี่ยนผังการทำงานการเมืองของกลุ่มชลบุรี ที่ต้องการสร้างฐานที่มั่นคงไว้ในการรองรับกระแสปรับเปลี่ยนของประชาชนและผู้นำชุมชน หลังจากการหายไปของ"กำนันเป๊าะ" อีกด้วย
นอกจากนั้น การบริหารงบประมาณของเมืองพัทยา ที่ได้รับงบประมาณในการพัฒนาในพื้นที่ปีละไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามากมายมหาศาล ที่หลายฝ่ายต้องการที่เข้ามาบริหารเมืองพัทยา เพราะอดีตที่ผ่านมา ตำแหน่งนายกเมืองพัทยา ไม่มีอำนาจในการบริหารงานมากนัก โดยอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่ปลัดเมืองพัทยา เพื่อเป็นการคานอำนาจกัน แต่ในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนการบริหารใหม่ โดยอำนาจการบริหารบ้านเมืองทั้งหมดอยู่ที่นายกเมืองเพียงคนเดียว จึงมองได้ว่าเมืองพัทยาเป็นชิ้นปลามัน ที่ได้ทั้งชื่อเสียงหน้าตา และงบประมาณที่มีส่วนจะได้รับผลประโยชน์ได้ด้วย