รายงาน
90 กว่าวันหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร - ทรท.ถูกยึดอำนาจโดย คปค./คมช. ไฟปริศนาลุกไหม้ 26 โรงเรียนทั้งภาคเหนือ/อีสาน และกำลังขยับเข้าใกล้สถิติ 3 วันไหม้ 1 โรงเข้าไปทุกขณะ รวมทั้งกรณีพระบรมฉายาลักษณ์กลางเมืองเชียงใหม่ถูกพ่นสีสเปรย์ทับ - ธงชาติ/ธงเฉลิมพระเกียรติถูกฟันทำลายทิ้งที่อ่างทอง ท่ามกลางข้อกังขาว่า เป็น "คลื่นใต้น้ำ หรือไฟฟ้าลัดวงจร" กันแน่
เช้ามืดวันที่ 27 กันยายน 2549 หลังคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เพียง 9 วัน เกิดเหตุเพลิงไหม้ 5 โรงเรียนใน อ.พรานกระต่าย อ.ลานกระบือ อ.ไทรงาม และ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร
นับเป็นปฐมบทของเหตุการณ์ "เผาโรงเรียน" หลังการปฏิวัติ ท่ามกลางข่าวที่แพร่สะพัดในแวดวงมือทำงานด้านการข่าวทุกหน่วย ที่ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน การเผาโรงเรียนอาจจะกระจายไปยังจังหวัดอื่น ๆ จนเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านอำนาจของ คปค.ที่ปัจจุบันแปรสภาพเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
เหตุการณ์คราวนั้น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ฟันธงในเวลาต่อมาว่า เป็นการลอบวางเพลิงทั้ง 5 แห่ง
(นำมาซึ่งการจับกุมนายธง รอดเขียว อายุ 44 ปี พร้อมหลักฐานกระบอกไฟฉาย/แกลลอนน้ำมัน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 49 ตามมาด้วยการจับกุมกำนันเทียน รอดเขียว กำนัน ต.เขาคีริส อ.พรานกระต่าย ผู้เป็นพี่ชาย คนในตระกูลผู้กว้างขวางที่เป็นหัวคะแนนของพรรคใหญ่ในอดีต พร้อม ๆ กับพุ่งเป้าไปถึงอดีตกำนันผู้ทรงอิทธิพลเขตรอยต่อ อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร กับกำแพงเพชร ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของกำนันเทียนด้วยอีกคนหนึ่ง)
และหลังจากนั้นก็เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือ-อีสานถี่ยิบ
หลังจากเกิดเหตุที่กำแพงเพชร ได้แค่ 3 วัน คือ 30 กันยายน 49 ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนหนองกกตะแบงสามัคคี ต.ส้มป่อย อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ จากการตรวจสอบพบสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร ,รุ่งขึ้น 1 ตุลาคม 49 มีเพลิงไหม้โรงเรียนบ้านน้อยกุดคล้า หมู่ 7 อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ยังไม่มีข้อสรุป
จากนั้นอีก 3 วันคือ 4 ตุลาคม 49 มีเหตุเพลิงไหม้บ้านพักครูโรงเรียนบ้านสา หมู่ 17 ต.คลองขาม อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ , 10 ตุลาคม เพลิงไหม้โรงเรียนบ้านขามป้อม ต.ขามป้อม อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี , 23 ตุลาคม มีเพลิงไหม้โรงเรียนบ้านหนองงูเหลือม หมู่ 6 ต.บ้านเพชร อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ
4 พฤศจิกายน โรงเรียนบ้านโนนรัง อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา วอดเป็นเถ้าถ่าน โดยนายถม กลั่นเพชรพะเนาว์ นักการภารโรงของโรงเรียน ได้เข้ามอบตัว พร้อมกับอ้างว่า ทิ้งก้นบุหรี่จนทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ , 8 พฤศจิกายน เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนวัดศรีคำชมพู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โดยกองวิทยาการตำรวจเชียงใหม่ ฟันธงว่า เกิดจากเด็กนักเรียนจุดดอกไม้ไฟเล่น แล้วลามไปติดกระดาษในห้องสมุด
13 พฤศจิกายน ก็ยังเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนวัดเขาดิน หมู่ 4 ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเชื่อว่ามาจากการลอบวางเพลิง เพราะอาคารหลังดังกล่าวไม่มีกระแสไฟฟ้า , 20 พฤศจิกายน โรงเรียนชุมชนท่าสะอาด ต.ท่าสะอาด อ.นาด้วง จ.เลย วอดเป็นเถ้าถ่านอีกโรงหนึ่ง ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุก่อนเกิดเหตุ เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในโรงเรียน
23 พฤศจิกายน โรงเรียนบ้านโคกถ่อนวิทยา หมู่ 9 ต.วัดหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ตกเป็นเหยื่อพระเพลิงอีก 1 แห่ง , 30 พฤศจิกายน โรงเรียนวัดหนองกระบอก หมู่ 4 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ถูกกระแสไฟโหมไหม้วอดตามไปด้วย ตำรวจท้องที่คาดเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
และเริ่มต้นเดือนธันวาคมได้ไม่กี่วัน คือ 4 ธันวาคม ก็ยังคงเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนขึ้นไม่หยุด คราวนี้ถึงคราวโรงเรียนหนองแวงพิทยาคม บ.หนองแวง ต.ดอนเมือง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ,9 ธันวาคม เพลิงไหม้โรงเรียนบ้านบึงสวย หมู่ 10 ต.นครเดิม อ.ศรีนคร จ.สุโขทัย ตามด้วยโรงเรียนราษฎร์ประชาอุทิศ หมู่ที่ 3 ต.เนินเพิ่ม อ.นครไทย จ.พิษณุโลก 12 ธันวาคม เพลิงไหม้บ้านพักนักการโรงเรียนบ้านภูสวรรค์ ต.เสี่ยว อ.เมืองเลย ลักษณะคล้ายการวางเพลิง
13 ธันวาคม โรงเรียนบ้านโสกผักหวาน ต.ดู่ลาด อ.ทรายมูล จ.ยโสธร กลายเป็นเถ้าถ่านตำรวจตั้งประเด็นว่าเกิดจากการลอบวางเพลิง 16 ธันวาคม 49 เพลิงไหม้โรงเรียนสกัดนาควิทยา หมู่ 3 ต.สุขไพบูลย์ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ตำรวจสงสัยลอบวางเพลิง
ตามมาด้วยเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนบ้านหนองน้ำขาว หมู่ 9 ต.คลองวาฬ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่วอดเป็นเถ้าถ่านเมื่อเช้ามืดวันที่ 20 ธันวาคม 49 ไปอีกโรงหนึ่ง ส่งท้ายครบรอบ 3 เดือนของการยึดอำนาจ
เหตุเพลิงไหม้ทั้งหมด ในพื้นที่ภาคเหนือ - อีสาน ที่เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้สรุปสาเหตุว่า เป็นการลอบวางเพลิง 7 คดี คือ 5 โรงเรียนของกำแพงเพชร ,บุรีรัมย์ 1 โรง และนครราชสีมา 1 โรง
ขณะที่โดยนัยทางสถิติ แม้ช่วงปลายปีจะเริ่มย่างเข้าฤดูหนาว ที่อากาศแห้ง โอกาสที่จะเกิดเพลิงไหม้สูงกว่าฤดูอื่น ๆ อยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับทุกปีแล้ว จะพบความถี่เพลิงไหม้โรงเรียนในปี 49 สูงขึ้นชัดเจน
โดย 3 เดือนเต็ม หลังการยึดอำนาจ มีโรงเรียน (เฉพาะภาคเหนือ-อีสาน) ถูกเพลิงไหม้ไปทั้งสิ้น 23 โรง
ไม่เพียงเท่านั้น ..!!
6 ธันวาคม 49 แผ่นป้ายเชิญชวนร่วมกันเฉลิมพระเกียรติฯ และมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ โดยองค์การบริหารส่วนตำบลแม่เหียะ นำขึ้นประดิษฐานไว้ตามถนนเขตพื้นที่บ้านตำหนัก หมู่ 1 บ้านใหม่สามัคคี 1 ป้าย, หมู่ 6 บ้านวรุณนิเวศน์ 1 ป้าย,หมู่ 8 บ้านป่าเป้า 1 ป้าย, หมู่ 10 จำนวน 1 ป้าย และบริเวณหน้า สถานีขนส่งเชียงใหม่ 1 ป้ายรวม 5 จุด ถูกผู้ไม่ประสงค์ดี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยการใช้สีสเปรย์ฉีดพ่นได้รับความเสียหาย
ทุกป้ายถูกฉีดพ่นลักษณะคล้าย ๆ กัน 3 จุด โดยเฉพาะพระบรมฉายาลักษณ์ คือ
1. บริเวณใกล้ ๆ กับพระอุระ
2. กระบี่
3. ตราครุฑ
แม้ว่าวันต่อมา (7 ธ.ค.49)เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมืองเชียงใหม่ จะจับกุม "นายโจเฟอร์ โอลิเวอร์ รูดลอฟ" นักท่องเที่ยวชาวสวิตเซอร์แลนด์ วัย 57 ปี ที่พักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 30/302 หมู่บ้านแกรนด์วิลล์ ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่สารภาพว่า ทำไปเพราะโมโห ที่หาซื้อสุราในคืนวันที่ 5 ธันวาคม 2549 ไม่ได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ขอความร่วมมือเทสโก้โลตัส สาขาหางดง (ใกล้กับจุดเกิดเหตุ) ตรวจสอบโทรทัศน์วงจรปิดพบ ชาวต่างประเทศเข้ามาซื้อสีสเปรย์สีดำ ในเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่าของวันที่ 5 ธันวาคม 49 จึงตามไปตรวจสอบจนพบผู้ต้องหาที่บ้านพักพร้อมกับกระป๋องสีสเปรย์ใช้แล้วอยู่หลังบ้านดังกล่าว ซึ่งผู้ต้องหาสารภาพว่า กระทำผิดจริงก็ตาม
ในทางการข่าวยังคงมีข้อสงสัยเกิดขึ้น กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้ เกิดขึ้นถึง 5 จุด และทุกจุดถูกฉีดสีสเปรย์ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน จึงเป็นไปได้ว่า กรณีดังกล่าวมีการวางแผน - นัดหมายกันมาก่อน
หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ก็เกิดกรณีกลุ่มวัยรุ่นใช้รถปิกอัพแบ่งกำลังเป็นชุดละประมาณ 5-6 คน ออกตระเวนทำลายธงชาติ - ธงเฉลิมพระเกียรติ ที่จังหวัดอ่างทอง หลายจุด
ขณะที่คืนวันที่ 23 ธันวาคม 49 ที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุปาระเบิดเข้าใส่โรงเรียนบ้านกกชุมแสง หมู่ 10 ต.นาโป่ง อ.เมืองเลย โดยจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณสนามกีฬาอเนกประสงค์ มีร่องรอยจุดสีดำ 3 จุด รัศมี 22 เมตรพบเศษหินขนาดเล็ก เศษกระป๋องกาแฟ เขม่าดินปืน ซึ่งชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงระบุว่า พบวัยรุ่นอายุประมาณ 18-20 ปี จำนวน 3 คนขี่จักรยานยนต์มาป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ โรงเรียนช่วงก่อนเกิดเหตุ
ต่อมาสายของวันที่ 24 ธันวาคม 49 ก็ยังเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนประสารวิทยา ต.สีคิ้ว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ห่างจาก สภ.อ.สีคิ้ว เพียง 700 เมตร หรือไม่ถึงกิโลฯ ซึ่งแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยายามชี้ว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากการเชื่อมหรือตัดเหล็กของคนงานก่อสร้าง 2 คน ที่ปรับปรุงอาคารอยู่ แล้วสะเก็ดไฟกระเด็นไปถูกพลาสติกที่กั้นห้องเรียนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา
แต่ 2 คนงานที่ตำรวจสันนิษฐานว่า เป็นต้นเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ ปฏิเสธเสียงแข็งว่า ตอนเกิดเหตุกำลังทาสีอยู่หลังอาคาร ไม่ได้ตัดหรือเชื่อมเหล็กตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งประเด็น
ทั้งนี้โรงเรียนประสารวิทยา เป็นโรงเรียนเอกชนของนายประสาน ด่านกุล อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคชาติไทย ที่เสียชีวิตไปแล้ว มีนางจินตนา ด่านกุล ภรรยาเป็นผู้ดำเนินธุรกิจแทนอยู่
มิหนำซ้ำเย็นวันเดียวกัน (24 ธันวาคม 49) ยังเกิดเหตุขู่วางระเบิดรถทัวร์สายอุบลราชธานี - กรุงเทพฯ จนทำให้ผู้โดยสารต้องเผ่นหนีกันกระเจิงระหว่างเดินทางถึง อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ
รุ่งขึ้น (25 ธันวาคม 49) ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารเรียนบริเวณชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องพักครูหมวดวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนปรางค์กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ เบื้องต้นสันนิษฐานว่า เป็นเพราะหนูกัดสายไฟ ทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร
ขณะที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ./ประธาน คมช. ได้กล่าวระหว่างที่เดินทางมาเป็นประธานงาน "รวมพลังไทยร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว" เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยระดมมวลชน-ผู้นำชุมชน - นาย อบจ. - นาย อบต. 17 จังหวัดภาคเหนือ มาร่วมงาน ณ สนามกีฬา 700 ปี เมื่อ 23 ธันวาคม 49 ว่า ในพื้นที่ภาคเหนือสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมดแล้วก็ตาม
ขณะเดียวกันก็รับปากกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือว่า กองทัพจะผลักดันให้อยู่ในตำแหน่งนานขึ้น อันเป็นการจุดประกายความหวังเอาใจผู้นำมวลชนทุกตำบล - หมู่บ้าน ที่พยายามผลักดันกันมานานอีกครั้ง
แน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นการเอาใจแกนนำมวลชนในขอบข่ายทั่วประเทศ ที่มีผลในการสยบคลื่นใต้น้ำด้วยทางหนึ่ง
ตอกย้ำให้เห็นว่า โดยข้อเท็จจริงแล้ว สถานการณ์คลื่นใต้น้ำในพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ - อีสานนั้น เนื้อแท้แล้ว ยังไม่สงบราบเรียบ
เฉพาะ 17 จังหวัดภาคเหนือ สะท้อนให้เห็นได้จากกรณีเมื่อ 4 ธันวาคม 49 กองยุทธการกองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวร จ.พิษณุโลก ได้ทำหนังสือและแจ้งวิทยุถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรสังกัดตำรวจภาค 5 และภาค 6 ที่ควบคุมดูแลพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทั้งหมด ให้รายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่เข้าข่ายลักษณะเชิญชวนชุมนุมต่างๆ ในเวลา 15.00 น.ของทุกวัน โดยให้เริ่มรายงานอย่างเป็นทางการหลังวันที่ 5 ธันวาคม 49 เป็นต้นไป
และ 14 ธันวาคม 49 กองทัพภาคที่ 3 ได้มีคำสั่งวิทยุในราชการทหาร ด่วนที่สุด ที่ กห 0483/ศปก.1827 ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา17 จังหวัดภาคเหนือ ให้เข้มงวด ตรวจสอบและกวดขันการรักษาความปลอดภัย สถานศึกษา โรงเรียนในพื้นที่รับผิดชอบ วางมาตรการป้องกันให้เข้มงวดรัดกุม ตรวจสอบสภาพสายไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า โดยเฉพาะการใช้วัสดุผิดประเภทแทนฟิวส์ เพื่อป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า สถิติไฟปริศนา - เหตุการณ์ที่หมิ่นเหม่ต่อความเข้าใจว่าจะเป็น "คลื่นใต้น้ำ" ต่อต้าน คมช.-รัฐบาลใหม่หรือไม่ ยังคงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องข้ามปีแน่นอน
โดยในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย ก็มีคำเตือนแจ้งไปถึงผู้บริหารโรงเรียนทุกแห่งในเขต อ.เวียงป่าเป้า - อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ว่า ให้ดูแลปัญหาฟืนไฟเข้มงวดมากขึ้น หลังจากพบความเคลื่อนไหวว่า อาจจะมีการลอบวางเพลิงเผาโรงเรียนใน 2 ท้องที่นี้ขึ้นมาได้
ยกเว้น คมช.-รัฐบาล จะสามารถจับกุมผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้มาจัดการตามกฎหมายให้ได้อย่างเด็ดขาด
เพื่อทำให้สังคมเชื่อมั่นตามที่ คมช.เชื่อว่า เหตุไฟปริศนาไหม้โรงเรียนทั้งหมด รวมถึงเหตุการณ์อย่างอื่นที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นเบื้องสูง - กระทบความมั่นคงนั้น เป็นฝีมือของ "คลื่นใต้น้ำ" จริง