xs
xsm
sm
md
lg

ไวเหมือนโกหก

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนนั้น ก็เพิ่งมีปี 2549 นี่แหละที่ผมรู้สึกว่า เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว คือรวดเร็วเหมือนกับคำพูดที่เปรียบเปรยว่า “ไวเหมือนโกหก”

การที่คนเราจะรู้สึกเช่นนี้ได้โดยมากมักจะอยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งดังต่อไปนี้ หนึ่ง เป็นสถานการณ์ที่กำลังมีความสุขอย่างมากๆ และเมื่อกระบวนการของความสุขนั้นจบลง ก็จะรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน

สอง เป็นสถานการณ์ที่กำลังนั่งทบทวนหรือคิดถึงความหลังที่ผ่านไปแล้ว ความหลังนี้จะผ่านไปนานกี่เดือนกี่ปีก็ตาม แต่พอคิดถึงและทบทวนกันขึ้นมา ก็จะรู้สึกคล้ายกับว่าเรื่องความหลังนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

ในทางตรงข้าม คนเราจะรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกินนั้น ก็มักจะเป็นเวลาของการรอคอย คือไม่ว่ากำลังรอคอยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ หากเป็นเรื่องที่สำคัญแล้วก็จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า ยิ่งยามที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ด้วยแล้ว เข็มนาฬิกาที่เขยิบไปแม้เพียง 1 วินาทีก็ช่างยาวนานไม่ต่างกับ 1 ชั่วโมง

แต่กับปี 2549 ที่กำลังจะผ่านไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ผมสังเกตได้ว่า ความรวดเร็วที่ “ไวเหมือนโกหก” นั้น กลับไม่ใช่เวลาของความสุข ทั้งไม่ใช่เวลาที่กำลังนั่งคิดถึงความหลัง

หากแต่เป็นเวลาของความทุกข์ล้วนๆ จริงๆ และเนื้อๆ

เริ่มจากเดือนมกราคม พลันที่ปรากฏข่าวการขายหุ้นชินคอร์ปของ คุณทักษิณ ความทุกข์ของผมก็เกิดขึ้นทันที เป็นความทุกข์ที่เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ความไร้จริยธรรม และความรู้สึกว่าตนกำลังถูกเสียดเย้ยว่าเหมือนกับกินแกลบยังไงยังงั้น

ความทุกข์จากเรื่องที่ว่า ไม่เหมือนกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความรังเกียจชิงชัง หรือรู้สึกขยะแขยงที่ได้เห็นพฤติกรรมของคุณทักษิณ และวงศ์วานว่านเครือ ตลอดจนสาวกบริวารของเขาที่ได้กระทำอย่างต่อเนื่องนานนับปีก่อนหน้านี้ ที่ยังไงเสียก็ยังคิดเห็นได้ว่ามันเป็นความทุกข์เดิมๆ ที่ผมเคยได้รับมาก่อนเมื่อได้เห็นพฤติกรรมของนักการเมืองในบ้านเรา

ด้วยเหตุนี้ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ถึงจะทุกข์อย่างไร ผมก็ไม่ถึงกับนอนไม่หลับ และไม่เคยที่จะไปฟัง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล วิพากษ์วิจารณ์ คุณทักษิณ ผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์แม้แต่ครั้งเดียว

ยิ่งตอนที่ คุณสนธิ ถูกรังแกจนถูกถอดรายการออกจากช่อง 9 อสมท และไปจัดรายการนอกสถานที่จนมีผู้คนไปฟังมากขึ้นๆ ในใจของผมแม้จะยินดีกับ คุณสนธิ ก็ตาม ความทุกข์ในใจของผมที่เป็นมาหลายปีก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด และยังเป็นความทุกข์ที่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน ซึ่งผิดกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อ คุณทักษิณ ขายหุ้น

ทำไมผมจึงทุกข์นักทุกข์หนากับการขายหุ้นโดยไม่เสียภาษีของ คุณทักษิณ นั้น ผมคิดว่าเหตุผลของผมก็ไม่ได้ต่างกับที่มีการพูดๆ กันในช่วงนั้น แต่กับ “เวลา” แล้วผมกลับตั้งหน้าตั้งตารอว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร?

สถานการณ์ตอนนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนแม้จะเรียกว่าเปลี่ยนไปวันต่อวันก็ยังช้าไป ที่ถูกควรจะเรียกว่าเปลี่ยนไปนาทีต่อนาทีเลยก็ว่าได้

ผมจึงไม่ต่างกับคนอีกจำนวนมากที่ต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งเปิดเว็บเพื่อเช็กข่าววันละหลายครั้ง ทั้งดูรายการข่าวจากทุกช่องอีกวันละหลายหน ทั้งที่บางทีก็ไม่มีความคืบหน้าของข่าวเลยด้วยซ้ำไป นับเป็นการติดตามข่าวที่เต็มไปด้วยความทุกข์จริงๆ

ถึงตรงนี้ก็ขอสารภาพล่ะครับว่า ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนจนเข้าวัยกลางคนเข้านี้แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกว่าต้องตื่นแต่เช้าเพียงเพื่อจะเช็กข่าวจากสื่อที่ว่าเลย จะมีก็แต่ครั้งนี้นี่แหละครับ...พี่น้อง!

แต่ก็เพราะเป็นเช่นนั้นเอง ความทุกข์ที่ผ่านไปในแต่ละวันจึงเหมือนกับถูกติดปีก และเมื่อขยับบินขึ้นไป มันก็ร่อนฉิวไปอย่างรวดเร็ว

ผมมานั่งนึกทบทวนถึงเวลาที่ผ่านไปไวเหมือนโกหกนี้อีกครั้งหนึ่งแล้ว ถึงกับต้องร้องอุทานว่า “โอ้โห...อะไรจะขนาดนี้วะ...” เมื่อพบว่า ปี 2549 เพียงปีเดียว เวลาที่ติดปีกบินไปไวเหมือนโกหกนี้ได้สร้างเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาอย่างมากมาย

คือมากอย่างชนิดที่เรียกได้ว่า ชาตินี้ผมไม่รู้ว่าจะได้เจออะไรแบบนี้อีกหรือไม่

ลองคิดดูง่ายๆ ก็แล้วกันว่า ปีนี้เพียงปีเดียว
เราได้ผ่านการยุบสภาอย่างไร้เหตุผลและขี้ขลาดตาขาวของ คุณทักษิณ, ผ่านการเลือกตั้งที่ไร้เงาพรรคฝ่ายค้านและที่ฉ้อฉลมากที่สุดนับแต่การเลือกตั้งสกปรกในปี 2500 เป็นต้นมา, ผ่านการเว้นวรรคและกลับมาเป็นผู้นำของ คุณทักษิณ, ผ่านการทรงออกมาแก้วิกฤตของในหลวง, ผ่านการชุมนุมประท้วงต่อต้านและสนับสนุนรัฐบาลที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดของการเมืองไทย, ผ่านการใช้อันธพาลทางการเมืองเข้ากระทืบและทำร้ายผู้ต่อต้านรัฐบาล, ผ่านการดัดจริตบีบน้ำตาของนักการเมืองหัว “หมอ” ฝ่ายรัฐบาลเมื่อเห็นการใช้ความรุนแรง (ทั้งๆ ที่เป็นความรุนแรงที่รัฐบาลเป็นผู้ริเริ่ม), ผ่านการตัดสินคดีทางการเมืองที่สุดแสนจะอื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์, ตลอดจนผ่านการรัฐประหาร 19 กันยายน ฯลฯ

และทั้งหมดนี้ต่างล้วนเกิดขึ้นเพราะการขาดซึ่งหิริโอตตัปปะของ คุณทักษิณ เพียงคนเดียวแท้ๆ

จนทุกวันนี้ผมเชื่อว่า คุณวิบัติดังกล่าวของ คุณทักษิณ ก็ยังไม่ได้หายไป ดังนั้น เวลาที่มนุษย์เพศชายคนนี้จะพูดจะทำอะไร ผมจึงไม่เชื่อถือ เช่น ไม่เชื่อว่าที่เขาให้เมียและพี่เมียไปพบ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่บ้านพักจะมีเพียงแค่สวัสดี, ไม่เชื่อว่าที่ตนจะยุติบทบาททางการเมืองนั้นจะเป็นเรื่องจริง, ไม่เชื่อว่าที่พักรอนแรมอยู่ที่เมืองจีนนั้นเป็นเพราะไม่ชอบอากาศหนาวที่อังกฤษ หรือล่าสุดไม่เชื่อว่าการทาบทาม พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มาเป็นผู้นำพรรคนั้นจะเป็นเรื่องที่ทำไปด้วยความจริงใจ ฯลฯ

ประทานโทษเถิด เรื่องหลังนี้ผมยังคิดเล่นๆ ด้วยซ้ำว่า คุณทักษิณ หรือพรรคไทยรักไทยหากไม่เล่นมุขอำก็คงจะโหนกระแส “ขิงแก่” แน่ๆ จึงได้ไปเชิญเอาคนแก่สติปัญญาเลอะเลือนมาเป็นแกนนำ และที่ขำไม่ออกก็คือ คนแก่คนนี้ดันผ่ารับมุขนี้มาเล่นเสียด้วย ซ้ำร้ายยังเล่นไม่เข้าท่าอีกต่างหาก

ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเหมือนที่ผมเห็น แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกเหมือนหรือไม่ว่า เวลามันผ่านไปเร็วอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต ทั้งๆ ที่ความเร็วที่ว่านี้เป็นความเร็วของความทุกข์ ไม่ใช่ความเร็วของความสุข

จะว่าไปแล้ว ความทุกข์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วนี้น่าจะดีนะครับ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะถึงแม้มันจะเร็ว แต่มันก็ยังคงอยู่ ยังไม่ได้หมดไป และเผลอแป๊บเดียวก็จะสิ้นปี 2549 เสียแล้ว และที่ยังไม่หมดไปก็เพราะอย่างน้อย คุณทักษิณ ยังคงอยู่ ถึงจะอยู่ต่างแดนก็เถอะ

พูดอย่างนี้, พวกคลื่นใต้น้ำและพวกซ้ายสามานย์ที่รักใคร่ คุณทักษิณ คงจะหัวเราะสะใจผมแหงๆ ที่ได้รู้ว่าความทุกข์ของผมยังคงอยู่

คนอาไร้...ช่างหลอกหลอนได้ดียังกะผี ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ในที่ที่ห่างไกลแท้ๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น