xs
xsm
sm
md
lg

การสื่อสารกับประชาธิปไตยในปัจจุบัน สื่อสารอย่างไรให้การเมืองสร้างสรรค์

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

การสื่อสารทางการเมืองมีข้อพิจารณาใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้ คือ 1) กลุ่มเป้าหมาย 2) จุดประสงค์หลักคืออะไร 3) ภาษาที่ใช้ 4) หลักการจิตวิทยา และ 5) วิธีการนำเสนอ

(1) กลุ่มเป้าหมาย (target groups) ในส่วนของกลุ่มเป้าหมายจะต้องคำนึงถึงระดับการศึกษา ภูมิศาสตร์ กล่าวคือ อยู่ในตัวเมืองหรือต่างจังหวัด อยู่ในที่ที่มีการทำประมงหรือการเกษตร ศาสนาที่กลุ่มนั้นนับถือเป็นส่วนใหญ่ เพศ ฯลฯ ที่ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายก็เนื่องจากว่าแต่ละกลุ่มย่อมจะมีความสามารถในการรับข่าวสารข้อมูลต่างกัน ข่าวสารบางส่วนจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนบางกลุ่ม ตัวอย่างเช่น ถ้าพยายามสื่อสารกับกลุ่มผู้สูงอายุก็คงต้องศึกษาดูถึงสิ่งที่ผู้สูงอายุพร้อมที่จะรับทราบ การเสนอข่าวสารข้อมูลที่ใช้กับคนรุ่นหนุ่มสาวย่อมจะไม่สามารถใช้กับกลุ่มผู้สูงอายุได้ ซึ่งในส่วนนี้จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาษาที่ใช้ รวมทั้งหลักการทางจิตวิทยาและวิธีการนำเสนอด้วย

(2) จุดประสงค์หลัก (main objectives) การสื่อสารทางการเมือง ก็เช่นเดียวกับการสื่อสารในทางธุรกิจหรือในเรื่องอื่นใด โดยจะมีจุดประสงค์หลักอยู่ 3 ประการด้วยกัน

ก. การสื่อสารเพื่อให้รับทราบโดยให้ผู้รับข่าวสารเข้าใจอย่างถ่องแท้ เช่น สำนักงานจะปิดทำการวันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2549 ก็ต้องให้เป็นที่รับทราบว่า วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์จะไม่มีการทำงาน นี่คือการให้รับทราบซึ่งจะต้องสื่อสารโดยกระจ่างไม่ต้องมีการตีความ หรือนำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดได้

ข. การสื่อสารเพื่อให้ผู้รับข่าวสารคล้อยตาม เช่น การสื่อสารที่พยายามชักจูงให้ผู้รับข่าวสารเห็นด้วยกับความเห็นบางประการ เป็นต้นว่า การที่คนไทยซื้อสินค้าต่างชาติจะทำให้เสียเงินตราต่างประเทศ ทำให้เสียดุลการค้า ไม่เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายใน ฯลฯ ถ้ามีการสื่อสารให้เห็นผลดีผลเสียอย่างแจ่มชัดถึงจุดๆ หนึ่ง ผู้รับข่าวสารก็จะคล้อยตามความคิดเห็นดังกล่าว ในส่วนนี้ในทางรัฐศาสตร์ถือว่าเป็นส่วนของการมีอำนาจทางการเมือง กล่าวคือ อำนาจทางการเมืองได้แก่การทำให้ผู้อื่นเห็นด้วยกับความคิดเห็นของผู้สื่อสารนั้น เมื่อทำให้ผู้เห็นคล้อยตามมากขึ้นตามลำดับอำนาจทางการเมืองก็จะมีเพิ่มขึ้นตามลำดับ

ค. การสื่อสารเพื่อให้มีการปฏิบัติตาม เช่น ในกรณีเรื่องการใช้สินค้าต่างประเทศนั้น ถ้ามีการสื่อสารหลังจากการให้เห็นถึงผลดีผลเสียแล้ว ก็มีการชักจูงด้วยการสื่อสารให้ลดการซื้อสินค้าต่างชาติ หันมาใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ถ้ามีการสื่อสารยาวนานพอจนมีการปฏิบัติตามนั่นคือการสื่อสารที่สมบูรณ์ และในส่วนของอำนาจทางการเมืองนั้นถือว่าเป็นการมีอำนาจเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงยิ่ง

3) ภาษา (language) ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารย่อมขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย จุดประสงค์ และหลักจิตวิทยา ในกรณีที่สื่อสารกับกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้ใช้แรงงาน ภาษาที่ใช้ต้องเรียบง่าย เข้าใจง่าย มีลักษณะเป็นรูปธรรมมากกว่าเป็นนามธรรม ในกรณีที่มีการสื่อสารเป็นกลุ่มบุคคลที่มีการศึกษา ภาษาที่ใช้ย่อมต้องเปลี่ยนไป การใช้ภาษาง่ายๆ อาจจะถูกมองว่าผู้สื่อสารดูถูกผู้รับข่าวสาร เช่น พยายามอธิบายความคิดง่ายๆ กับผู้ที่มีการศึกษาสูง ก็เท่ากับเป็นการมองผู้รับข่าวสารว่าเป็นเด็กหรือเป็นผู้ซึ่งไม่มีความรู้ และภาษายังเกี่ยวพันกับจุดประสงค์ ถ้าต้องการเพียงให้รับทราบก็ใช้ภาษาที่เรียบง่ายและกระจ่าง ถ้าต้องการให้คล้อยตามจะต้องใช้เหตุใช้ผลชักจูงให้เห็นผลดีผลเสีย บางครั้งต้องใช้จิตวิทยาปลุกให้มีความรักเกียรติและศักดิ์ศรีของคนไทย หรืออาจจะพูดให้เกิดความรู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาซึ่งจะอธิบายต่อไป โดยสรุป ภาษาย่อมขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย จุดประสงค์และหลักการจิตวิทยา

4) หลักการจิตวิทยา (psychology) การสื่อสารอย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมาทำได้ในกรณีของการให้รับทราบ แต่ถ้าต้องการให้คล้อยตามหรือปฏิบัติตาม บางครั้งต้องใช้หลักจิตวิทยาและวิธีการนำเสนอที่แยบยลและแปลกออกไป ตัวอย่างเช่น การสื่อสารในโรงแรมแห่งหนึ่งในมหานครโตเกียว ชักจูงคนไม่ให้สูบบุหรี่บนเตียงนอนในขณะที่นอนเล่น เพราะอาจเกิดอันตรายเมื่อม่อยหลับไปโดยบุหรี่ยังอยู่ในมือจนเกิดอัคคีภัย นำไปสู่การเสียชีวิตและทรัพย์สิน เนื้อหาของการสื่อสารมีลักษณะดังนี้คือ

“การที่ท่านสูบบุหรี่ขณะนอนเล่นบนเตียงนอน ไม่มีอะไรประกันว่าท่านจะไม่เผลอหลับไปจนเกิดไฟไหม้เป็นอันตรายต่อชีวิตของท่านและผู้อื่น รวมทั้งทรัพย์สิน ในปีหนึ่งๆ ในนครโตเกียวอัคคีเพลิงที่เกิดจากเหตุดังกล่าวนำไปสู่การเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการสูญเสียต่อทรัพย์สินอันเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง สิทธิของท่านที่จะทำร้ายตัวเองด้วยการกระทำดังกล่าวนี้คงไม่มีใครว่าหรอก แต่สิทธิของท่านที่จะทำร้ายผู้อื่นเป็นเลขศูนย์”

นี่คือการสื่อสารโดยการใช้หลักจิตวิทยาชักจูงให้มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งของผู้อื่น

5. วิธีการนำเสนอ (presentation) การสื่อสารจะต้องนำเสนอโดยผ่านช่องต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โทรโข่ง ตีฆ้องร้องป่าว แจกใบปลิว แผ่นพับ อินเทอร์เน็ต การพูดด้วยวาจา การใช้สัญลักษณ์ เช่น ยก 3 นิ้วได้แก่ลูกเสือชาวบ้าน เป็นต้น บางครั้งการสื่อสารอาจจะกระทำโดยตัวอาคาร เช่น ตัวอาคารธุรกิจที่สูงตระหง่านเป็นการบอกกล่าวถึงความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ วิธีการนำเสนอต่างๆ นี้ย่อมขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์แล้วว่าวิธีใด หรือหลายๆ วิธีรวมกันจะได้ประโยชน์มากที่สุดในการให้ข่าวสารนั้นถึงผู้รับข่าวสารโดยสมบูรณ์ ซึ่งนอกเหนือจากวิธีการนำเสนอก็เกี่ยวโยงกับภาษาที่ใช้ ผนวกกับจิตวิทยา โดย 3 ส่วนหลังนี้จะต้องพิจารณาถึงกลุ่มเป้าหมายและจุดประสงค์หลัก กล่าวอีกนัยหนึ่ง กลุ่มเป้าหมายและจุดประสงค์หลักจะเป็นตัวกำหนดภาษา หลักการจิตวิทยา และวิธีการนำเสนอ

ตัวอย่างภาษาที่นำมาใช้ในการนำเสนอนั้นมีโดยสังเขปดังต่อไปนี้ คือ

(ก) สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เช่น “ปิดทำการวันอาทิตย์” “ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด”

(ข) สื่อสารโดยนัย เป็นต้นว่า ในโรงแรมของญี่ปุ่นจะมีชุดกิโมโนไว้ให้แขกใช้ แต่มักจะสูญหายบ่อยๆ จึงมีการสื่อสารโดยนัยว่า “ถ้าท่านชอบกิโมโนที่ท่านใช้อยู่นี้ ท่านสามารถหาซื้อได้บนชั้นสองของโรงแรม” โดยนัยก็คือชุดกิโมโนนี้ห้ามนำติดตัวออกไป

(ค) สื่อสารโดยการเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถาม เป็นต้นว่า ประเทศไทยซึ่งมีประวัติศาสตร์มายาวนาน 700 ปี เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน เราจะมาล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านหรือ หรือการรับอามิสสินจ้างเพื่อลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายและเสียศักดิ์ศรี ก็อาจสื่อสารโดยการถามว่า “ท่านจะยอมเสียศักดิ์ศรีของความเป็นเสรีชนหรือ ถ้าท่านทำเช่นนั้นท่านจะตอบคำถามของลูกหลานได้อย่างไร”

(ง) สื่อสารโดยให้เห็นและให้ผู้รับข่าวสารคิดเอาเอง เช่น มีตัวเลขให้เห็นว่าประเทศไทยเสียดุลการค้าเนื่องจากการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยจากต่างประเทศเป็นจำนวนเงินมหาศาล “ถ้าท่านไม่ยุติพฤติกรรมการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยจากต่างประเทศประเทศไทยอาจจะล้มละลาย”

จะเห็นได้ว่าในการสื่อสารที่กล่าวมานี้มิได้เสนอแนะอะไรทั้งสิ้น แต่ให้ผู้รับข่าวสารคิดเอาเอง อีกตัวอย่างหนึ่งคือ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีน้ำตกคนจะมาดูกันมากจนทำให้เกิดความแออัด ก็อาจจะมีการสื่อสารโดยกล่าวว่า “ถ้าทุกคนออกันอยู่ ณ จุดนี้เป็นเวลานาน คนอื่นที่คอยจะดูน้ำตกย่อมจะพลาดโอกาส” นี่คือการบอกให้คิดเองว่าไม่ควรจะยืนอยู่นาน

(จ) การปลุกเร้าให้เกิดการฮึดสู้ การสื่อสารนี้จะต้องปลุกความรู้สึกที่กระตุ้นให้ไม่ยอมแพ้ เช่น เมื่อตอนเศรษฐกิจตกต่ำนั้นมีแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งกล่าวว่า “ตื่นเถิดไทย เราต้องร่วมมือทุกฝ่าย เราไม่ยอมแพ้พ่าย” หรือตอนต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ก็มีคำกล่าวที่ว่า “เราถอยไม่ได้อีกแล้ว”

(ฉ) การสื่อสารโดยให้ความหวัง เช่น “ความพยายามย่อมนำไปสู่ความสำเร็จ ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถมนุษย์ เราผ่านวิกฤตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน” ภาษาเช่นนี้คือการสื่อสารให้ฮึดสู้ ที่เห็นชัดคือพระมหาชนกเป็นการสื่อสารให้อดทนไม่ยอมแพ้

(ช) การสื่อสารโดยวิงวอน เช่น “ประเทศไทยประกอบด้วยคนไทยหลายเผ่าพันธุ์ เหนือ ใต้ อีสาน กลาง เราคือคนไทยด้วยกัน” ซึ่งเป็นการวิงวอนให้เกิดความสมานฉันท์ เกิดความสามัคคี โดยความวิงวอนดังกล่าวนี้ใช้วิธีให้เกิดความคิดเองว่า อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน เป็นคนไทยด้วยกัน ไม่ควรเข่นฆ่ากันเอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือวิธีการสื่อสารโดยสังเขป ในการสื่อสารทางการเมืองให้สร้างสรรค์นั้น อาจจะใช้วิธีปลุกระดมให้เกิดความรู้สึกรับผิดชอบร่วมกันของกลุ่มต่างๆ โดยมีเป้าหมายหลักคือการปฏิรูปการเมือง การพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืน บนฐานของความสมานฉันท์ ลดความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ทั้งนี้เพื่อให้สรรพกำลังทั้งหลายของชาติรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ระบอบการปกครองที่มีความเสมอภาค ยุติธรรม และเป็นประชาธิปไตย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในภูมิภาคและในโลก และที่สำคัญเพื่อให้สามารถยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาวิกฤตต่างๆ ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการต่อสู้แข่งขันกันอย่างรุนแรง ประเทศไทยต้องมีเสถียรภาพทางการเมืองจึงไม่สามารถที่จะมีการเมืองที่อ่อนแอไร้เสถียรภาพ ดังนั้น จึงต้องร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่ายเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ซึ่งต้องถือว่าเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของคนไทยทุกภาคส่วน

เมื่อจุดประสงค์หลักเป็นตามที่กล่าวมาแล้วก็ใช้หลักการสื่อสาร 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น โดยแยกแยะเป็นกลุ่มเป้าหมาย จุดประสงค์ ภาษาที่จะนำมาใช้ หลักการวิจิตวิทยา วิธีการนำเสนอ และวาทศิลป์ที่มีการขยายให้เห็นแล้วเบื้องต้น

การสื่อสารทางการเมืองคือการชักจูงให้คนทราบ เข้าใจ คล้อยตามและปฏิบัติตาม ถ้าการสื่อสารไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์หลักดังกล่าวข้างต้นก็คือความล้มเหลว ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย การเข้าใจวิธีการ การรู้จักหลักจิตวิทยา และความหลากหลายของการนำเสนอ รวมทั้งวาทศิลป์ในการใช้ภาษา จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง นี่คือหลักการทั่วๆ ไป ในการปฏิบัติจริงจะต้องแยกออกเป็นเรื่องๆ และออกแบบการสื่อสารในแต่ละประเด็นเฉพาะ ณ จุดภูมิศาสตร์เฉพาะที่ และ ณ เวลาเฉพาะช่วง ซึ่งย่อมแตกต่างกันไป ทั้งนี้เนื่องจากการสื่อสารไม่สามารถจะใช้มาตรฐานและมาตรการเดียวในลักษณะสถานการณ์ที่แน่นิ่งได้ สถานการณ์ทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ เป็นสถานการณ์ที่พลวัต การสื่อสารต้องคล้อยตาม ทำนองเดียวกับเพลงไทยเดิม เพลงคลาสสิกของฝรั่ง เพลงสมัยเอลวิส และเพลงยุคปัจจุบัน ย่อมจะแปรเปลี่ยนไปตามสภาพของสังคมและค่านิยม รวมตลอดทั้งวัฒนธรรมหลักและวัฒนธรรมย่อยของคนแต่ละกลุ่มในสังคมนั้นๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น