เวทีชำแหละมหาวิทยาลัยออกนอกระบบชี้ชัด รัฐบาลอย่าด่วนได้ใจเร็ว ต้องฟังเสียงประชาชน อธิการบดี ม.ศิลปากรโพล่งไม่ได้เป็นการริเริ่มของมหาวิทยาลัย แต่เป็นเพราะภาครัฐต้องการเร่งรัด ด้านอาจารย์จุฬาฯ เผยทุนนิยมกำลังครอบงำอุดมศึกษาเต็มรูปแบบ และก้าวไปสู่็ระบบลูกศิษย์คือลูกค้าิ ขณะที่ ครม.ผ่านฉลุยตั้ง ็กฤษณพงศิ์ นั่งเก้าอี้ เลขา กกอ.็วิจิตริ สั่งลุย ม.นอกระบบให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้
วานนี้(26 ธ.ค.)คณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติจัดสัมมนาเรื่อง ็มหาวิทยาลัยจะมีคุณภาพและรับใช้สังคมให้ดีขึ้นได้อย่างไร - การออกนอกระบบกับประโยชน์สาธารณะิ ที่รัฐสภา เชิญนักวิชาการ และผู้บริหารสถาบันการศึกษามาร่วมแสดงความคิดเห็น
นายสมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา สำหรับเด็กและผู้มีความต้องการพิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่ากระบวนการเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบที่ผ่านมา 4 รัฐบาล เริ่มจากรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งมีที่มาจากนายทุน และเห็นว่ามหาวิทยาลัยจะต้องออกจากระบบราชการ เอาความคิดเอกชนมาบริหารจัดการ รัฐบาลถัดมาคือรัฐบาลนายกฯ ชวน หลีกภัย ซึ่งมีจุดเปลี่ยนสำคัญ ด้วยการออกกฎหมายที่เปิดทางให้มหาวิทยาลัยเลือกที่จะออก หรืออยู่ในระบบก็ได้ โดยสิ่งที่สำคัญคือ มีการควบคุมจำนวนข้าราชการในมหาวิทยาลัย
ถัดมาในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีตัวแปรเพิ่มขึ้น คือระบบทุนนิยมที่เริ่มก่อตัว และขยายตัวในมหาวิทยาลัยมากขึ้น เริ่มเห็นระบบการตลาดในมหาวิทยาลัยชัดเจนมากขึ้นกลายเป็น ็ระบบลูกศิษย์คือลูกค้าิ เห็นได้ชัดจากการมีมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ที่ขยายวิทยาเขตออกไปสู่ต่างจังหวัด
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า เมื่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบันมีสิ่งที่เริ่มเห็น และวิตกกังวลคือ ให้สภาอุตสาหกรรมมาวัดคุณภาพของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมหาวิทยาลัยไม่ใช่ห้องแล็บของสภาอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า ระบบทุนนิยมก่อตัวในมหาวิทยาลัยอย่างชัดเจน มีการใช้ระบบทุนนิยมเข้ามาทดแทนระบบราชการ ทำให้ทุนทางสังคมค่อยๆ หายไป ทุนทางเศรษฐกิจค่อยๆ เพิ่มขึ้น หากมหาวิทยาลัยเป็นเช่นนี้จะเป็นอย่างไร
ด้านนายวิวัฒน์ชัย อัตถากร อธิการบดีม.ศิลปากร กล่าวว่า การออกนอกระบบหรือไม่ เป็นเรื่องปลายเหตุ ควรหาแนวคิดว่า เราจะปฏิรูปอย่างไรให้สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เพราะมหาวิทยาลัยมีพันธกิจกับสังคม ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงความแตกต่างของมหาวิทยาลัย โดยต้องมีตัวชี้คุณภาพการศึกษา ควรมีการตั้งสหภาพบุคลากรในมหาวิทยาลัย และมีตัวชี้วัดการสนับสนุนของรัฐบาลที่ชัดเจน โดยรัฐบาลต้องคำนึงถึงความพร้อมของประชาคมในมหาวิทยาลัย ที่ผ่านมาเห็นชัดว่า ภาครัฐไปเร่งรัดให้นำกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ การออกนอกระบบไม่ได้เป็นการริเริ่มของมหาวิทยาลัย แต่เป็นเพราะภาครัฐต้องการเร่งรัด
“ผมอยากให้ชะลอนโยบายออกไปก่อน เพื่อลดแรงเสียดทาน รัฐบาลมีเวลาไม่นาน ควรจัดลำดับความสำคัญ เรื่องนี้ต้องฟังเสียงประชามติของสังคมในวงกว้าง ซึ่งหากสังคมมีความเห็นอย่างไร ก็ควรดำเนินการตามนั้น เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่น และความมั่นใจกับทุกฝ่าย ขณะเดียวกันเป็นการสร้างประชามตินโยบายสาธารณะของรัฐในอนาคต ความรู้ไม่ควรนำมาแสวงหากำไร ผมเชื่อการนำเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เป็นผลมาจากการทำความตกลงเขตการค้าเสรีของอดีตรัฐบาล ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ต่างประเทศเข้ามาทำการวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย เสมือนเป็นการเอาเนื้อหนูไปแลกกับเนื้อช้าง”
วานนี้(26 ธ.ค.)ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) โดยระหว่างที่ยังไม่ได้โปรดเกล้าฯ จะแต่งตั้งให้เป็นรักษาการ เลขา กกอ.เพื่อที่จะได้เริ่มต้นทำงาน
ทั้งนี้ ดร.กฤษณพงศ์ เคยดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี และอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่บริหารมหาวิทยาลัยออกนอกระบบประสบความสำเร็จ จึงถือว่าเลือกคนตรงและเหมาะสมมานั่ง เลขา กกอ.เพราะมีผลงานและประสบการณ์ตรง ขณะที่คนอื่นไม่มี เพื่อที่จะตอบคำถามในประเด็นที่นิสิต นักศึกษา ประชาชน ข้องใจ
วานนี้(26 ธ.ค.)คณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติจัดสัมมนาเรื่อง ็มหาวิทยาลัยจะมีคุณภาพและรับใช้สังคมให้ดีขึ้นได้อย่างไร - การออกนอกระบบกับประโยชน์สาธารณะิ ที่รัฐสภา เชิญนักวิชาการ และผู้บริหารสถาบันการศึกษามาร่วมแสดงความคิดเห็น
นายสมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา สำหรับเด็กและผู้มีความต้องการพิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่ากระบวนการเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบที่ผ่านมา 4 รัฐบาล เริ่มจากรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งมีที่มาจากนายทุน และเห็นว่ามหาวิทยาลัยจะต้องออกจากระบบราชการ เอาความคิดเอกชนมาบริหารจัดการ รัฐบาลถัดมาคือรัฐบาลนายกฯ ชวน หลีกภัย ซึ่งมีจุดเปลี่ยนสำคัญ ด้วยการออกกฎหมายที่เปิดทางให้มหาวิทยาลัยเลือกที่จะออก หรืออยู่ในระบบก็ได้ โดยสิ่งที่สำคัญคือ มีการควบคุมจำนวนข้าราชการในมหาวิทยาลัย
ถัดมาในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีตัวแปรเพิ่มขึ้น คือระบบทุนนิยมที่เริ่มก่อตัว และขยายตัวในมหาวิทยาลัยมากขึ้น เริ่มเห็นระบบการตลาดในมหาวิทยาลัยชัดเจนมากขึ้นกลายเป็น ็ระบบลูกศิษย์คือลูกค้าิ เห็นได้ชัดจากการมีมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ที่ขยายวิทยาเขตออกไปสู่ต่างจังหวัด
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า เมื่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบันมีสิ่งที่เริ่มเห็น และวิตกกังวลคือ ให้สภาอุตสาหกรรมมาวัดคุณภาพของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมหาวิทยาลัยไม่ใช่ห้องแล็บของสภาอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า ระบบทุนนิยมก่อตัวในมหาวิทยาลัยอย่างชัดเจน มีการใช้ระบบทุนนิยมเข้ามาทดแทนระบบราชการ ทำให้ทุนทางสังคมค่อยๆ หายไป ทุนทางเศรษฐกิจค่อยๆ เพิ่มขึ้น หากมหาวิทยาลัยเป็นเช่นนี้จะเป็นอย่างไร
ด้านนายวิวัฒน์ชัย อัตถากร อธิการบดีม.ศิลปากร กล่าวว่า การออกนอกระบบหรือไม่ เป็นเรื่องปลายเหตุ ควรหาแนวคิดว่า เราจะปฏิรูปอย่างไรให้สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เพราะมหาวิทยาลัยมีพันธกิจกับสังคม ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงความแตกต่างของมหาวิทยาลัย โดยต้องมีตัวชี้คุณภาพการศึกษา ควรมีการตั้งสหภาพบุคลากรในมหาวิทยาลัย และมีตัวชี้วัดการสนับสนุนของรัฐบาลที่ชัดเจน โดยรัฐบาลต้องคำนึงถึงความพร้อมของประชาคมในมหาวิทยาลัย ที่ผ่านมาเห็นชัดว่า ภาครัฐไปเร่งรัดให้นำกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ การออกนอกระบบไม่ได้เป็นการริเริ่มของมหาวิทยาลัย แต่เป็นเพราะภาครัฐต้องการเร่งรัด
“ผมอยากให้ชะลอนโยบายออกไปก่อน เพื่อลดแรงเสียดทาน รัฐบาลมีเวลาไม่นาน ควรจัดลำดับความสำคัญ เรื่องนี้ต้องฟังเสียงประชามติของสังคมในวงกว้าง ซึ่งหากสังคมมีความเห็นอย่างไร ก็ควรดำเนินการตามนั้น เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่น และความมั่นใจกับทุกฝ่าย ขณะเดียวกันเป็นการสร้างประชามตินโยบายสาธารณะของรัฐในอนาคต ความรู้ไม่ควรนำมาแสวงหากำไร ผมเชื่อการนำเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เป็นผลมาจากการทำความตกลงเขตการค้าเสรีของอดีตรัฐบาล ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ต่างประเทศเข้ามาทำการวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย เสมือนเป็นการเอาเนื้อหนูไปแลกกับเนื้อช้าง”
วานนี้(26 ธ.ค.)ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) โดยระหว่างที่ยังไม่ได้โปรดเกล้าฯ จะแต่งตั้งให้เป็นรักษาการ เลขา กกอ.เพื่อที่จะได้เริ่มต้นทำงาน
ทั้งนี้ ดร.กฤษณพงศ์ เคยดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี และอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่บริหารมหาวิทยาลัยออกนอกระบบประสบความสำเร็จ จึงถือว่าเลือกคนตรงและเหมาะสมมานั่ง เลขา กกอ.เพราะมีผลงานและประสบการณ์ตรง ขณะที่คนอื่นไม่มี เพื่อที่จะตอบคำถามในประเด็นที่นิสิต นักศึกษา ประชาชน ข้องใจ