xs
xsm
sm
md
lg

19 กันยายน 49 อวสาน "ทักษิณ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชะตากรรมของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ณ ยามนี้ เปรียมเสมือนสัมภเวสี ผีไม่มีศาล ต้องร่อนเร่พเนจรไปประเทศนั้นที ประเทศโน้นที แม้มีเงินแต่ในใจกับเต็มไปด้วยความเงียบเหงา อ้างว้าง หาความสุขไม่ได้

ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า ทักษิณ ได้หลบไปเลียแผลใจอยู่ที่ประเทศจีน โดยไร้วี่แววของเสียงตอบรับให้กลับประเทศไทย จากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)หรือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)เนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจว่า หากอนุญาตให้ทักษิณ เดินทางกลับประเทศไทยในตอนนี้ อาจก่อให้เกิดความไม่สงบต่อบ้านเมืองขึ้นได้ เพราะหลังจากถูกยึดอำนาจ ทักษิณไม่เคยประกาศวางมือทางการเมืองอย่างชัดเจน แถมยังมีความพยายามดิ้นรนประสานผู้หลักผู้ใหญ่ในหลายช่องทาง เพื่อขอเดินทางกลับประเทศแบบมีนัยยะซ้อนเร้นหลายประการ โดยเฉพาะความเป็นห่วงธุรกิจและทรัพย์สินของครอบครัวตัวเอง ที่เวลานี้มีสภาพไม่ต่างไปจากนำคอขึ้นพาดเขียง เนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)กำลังเร่งรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการตามกฎหมายอยู่

เหนือสิ่งอื่นใดที่"ทักษิณ"หวาดกลัวที่สุดคือ"การติดคุก"ในคดีการซื้อขายที่ดินย่านรัชดา และคดียุบพรรคไทยรักไทย ที่มีแนวโน้มว่าจะเจอข้อหาทั้งทางแพ่งและอาญา นี่ยังไม่รวมถึงคดีฆ่าตัดตอนในช่วงที่ทักษิณประกาศนโยบายทำสงครามยาเสพติด

19 กันยายน 2549 กลายเป็นวันประวัติศาสตร์สำคัญทางการเมืองของประเทศไทยอีกครั้ง เมื่อ"ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกยึดอำนาจขณะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในต่างแดน

ย้อนอดีตไปเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยอยู่ในยุคเรืองอำนาจ ชื่อ"ทักษิณ ชินวัตร"มีแปะอยู่ทุกฝาบ้าน ชาวบ้านให้ความนิยมชมชื่นถือเป็น "อัศวินม้าขาว"เข้ามากอบกู้วิกฤตชาติ เป็น "เทพเจ้า"ในคราบ "ซาตาน"ร่ายมนต์ให้ผู้คนเชื่อถือ คลั่งไคล้กันทั้งประเทศ

ทักษิณ ย่างกรายไปแห่งหนตำบลใด ผู้คนต่างให้การต้อนรับขับสู้นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ไม่ว่าวงการตำรวจ ทหาร ข้าราชการพลเรือน กระทั่งประชาชนคนระดับรากหญ้า ต้องหมอบคลานเข้าหา เสมือนว่าเขาสามารถชี้เป็นชี้ตายผู้คนได้ทั้งประเทศ

สิ่งทีทำให้ ทักษิณ ประสบความสำเร็จบนเส้นทางอำนาจ มีหลากหลาย โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาสามารถพิชิตใจประชาชนระดับรากหญ้า ส่งผลให้เขานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ถึง 2 สมัย และยังมีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นว่าจะมีสมัยที่ 3 ที่ 4 ตามมา

การที่ทักษิณ มีความมั่นใจถึงขนาดนั้น เนื่องจากได้มีการวางแผนการที่จะสืบทอดอำนาจอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการยึดกุมเสียงข้างมากในสภาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้มีพลังในการตรวจสอบ ไม่สามารถยื่นญัติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ มีการปฏิรูประบบราชการอย่างขนานใหญ่ นำระบบผู้ว่าซีอีโอมาใช้ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วไม่ต่างอะไรกับการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี โดยมีงบผู้ว่าซีอีโอ และกุมอำนาจการปรับเปลี่ยนโยกย้ายเป็นไม้เด็ด

ทักษิณ เข้ายึดกุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยการโยกย้ายเครือข่ายพรรคพวก เพื่อร่วมรุน ขึ้นคุมตำแหน่งที่สำคัญ ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและองค์กรอิสระต่างๆ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) และใช้เครือข่ายตำรวจเหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการดำเนินการกับผู้ที่ไม่เห็นด้วย จนมีการเปรียบว่า ประเทศไทยในยุคทักษิณ ได้กลายเป็นรัฐตำรวจไปแล้ว

ส่วนคนยากคนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ทักษิณ ก็นำนโยบายประชานิยมมาหว่าน ไม่ว่าจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโคน กองทุนหมู่บ้าน นโยบายเอสเอ็มแอล แปลงทรัพย์สินเป็นทุน บ้านเอื้ออาทร วัวล้านตัว ฯลฯ เพื่อยึดกุมคนกลุ่มนี้ไว้เป็นตัวประกัน

ขณะเดียวกันจุดอ่อนที่ทำให้ ทักษิณ ต้องแพ้ภัยตัวเอง เกิดจากพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ยึดอัตตาตัวเองเป็นที่ตั้ง มองข้ามวัฒนธรรมความรู้สึกของคนไทย ทำอะไรหลายอย่างที่เสี่ยงต่อการละเมิดพระราชอำนาจ และสิ่งสำคัญสุดคือการที่ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา ได้เข้ามามีบทบาทแทรกแซง และใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ต่อครอบครัวตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกินกว่าที่ประชาชนจะหลับหูหลับตาทนพฤติกรรมนี้ได้อีกต่อไป

กระทั่งเกิดปรากฏการณ์รวมตัวของกลุ่มพันธมิตรฯ"กู้ชาติ" นำโดย สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งร่วมกับนักเคลื่อนไหวกลุ่มต่างๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ "โค่นล้มระบอบทักษิณ"แบบขุดรากถอนโคน

การชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ เริ่มขยายตัวและมีความเข้มแข็งขึ้นทุกที ขณะที่"ทักษิณ"ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ทั้งตัวเขาเอง คณะรัฐมนตรี และบริวารใกล้ชิด ต่างดูถูกเหยียดหยามกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติว่า ไร้น้ำยา แม้แต่ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเครือผู้จัดการ ซึ่ง สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ก่อตั้ง ยังถูกเยาะเย้ยเหน็บแนมให้เตรียมซื้อกล้วยบดให้ลูกกินบ้าง ถูกถามเงินเดือนพนักงานออกตรงเวลาไหม เหตุเพราะเขามั่นใจในอำนาจแบบเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ในมือ และเชื่อว่าพันธมิตรกู้ชาติ ไม่สามารถที่จะโค่นล้มอำนาจของเขาลงได้

แต่หารู้ไม่ว่า การรวมตัวของกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติที่ขยายวงกว้างขึ้นทุกขณะ เป็นชนวนเหตุให้สังคมคนไทยได้เกิดปัญญา หูตาสว่างขึ้น เนื่องจากมีการตีแผ่พฤติกรรมการทุจริต คอร์รัปชั่นของทักษิณและพรรคพวก เครือญาติ การบิดเบือนรัฐธรรมนูญ แทรกแซงองค์กรอิสระ อหังการ์ ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยเฉพาะประชาชนคนชั้นกลางที่ลึกๆแล้ว ไม่เคยชื่นชอบการบริหารบ้านเมืองในระบอบทักษิณเลยแม้แต่น้อย มีเพียงประชาชนระดับรากหญ้าเท่านั้นที่ “ทักษิณ”ใช้นโยบายประชานิยมปรนเปรอลงไป และถูกนำมาเป็นข้ออ้างว่า ตัวเขามาจากการเลือกตั้ง ที่มีประชาชน 19 ล้านเสียงให้การสนับสนุน

การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ในขณะนั้น ทำให้คนที่เคยชื่นชอบทักษิณ เริ่มคลางแคลงใจ สงสัยในพฤติกรรมบางอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายให้เกิดความชัดเจนต่อสังคมได้ คำถามว่าจริง หรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ เริ่มขยายวงกว้าง แม้กระทั่งในชนบท ความเห็นที่แตกต่างเริ่มพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งของคนในสังคม

ทักษิณ เริ่มปฏิบัติการตอบโต้กลุ่มเคลื่อนไหวที่กล่าวหาเขา ว่าเป็นคนทุจริต โกงชาติ เขาพยายามใช้สื่อของรัฐที่มีในมือ ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิพม์บางสำนัก ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง กระทั่งมีการดักฟังความเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่ให้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ "เนวิน ชิดชอบ"จัด ตั้งสื่อออนไลน์ และหนังสือพิมพ์ราย 15 วัน ภายใต้ชื่อ รีพอร์ตเตอร์ เพื่อคอยแก้ต่าง และสาดโคลนใส่ฝั่งตรงข้าม

สถานการณ์ในช่วงนี้ สังคมเริ่มถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย แบ่งแยกระหว่างคนไทยด้วยกันเอง สังคมขาดความสมานฉันท์ แม้กระทั่งจุดเล็กๆอย่างสถาบันครอบครัว ก็เริ่มมีความขัดแย้ง แตกแยก สงครามมวลชนรอวันปะทุ ประชาชนส่วนหนึ่งจึงตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองในการนำมาอ้างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

ในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายแห่งอำนาจของ ทักษิณ ก็ขาดสะบั้นลง เมื่อเขาตัดสินใจขายบริษัทในเครือ ชินคอร์ป ซึ่งมีทั้งธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ดาวเทียม และสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี ให้กับกองทุนเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ เป็นเงินจำนวนมหาศาลถึง 73,000 ล้านบาท โดยที่ไม่เสียภาษีแม้แต่สตางค์แดงเดียว ในขณะที่สุจริตชน คนหาเช้ากินค่ำ กระทั่งพ่อค้าก๋วยเตี๋ยว ยังต้องนับชามเสียภาษี

อย่างไรก็แล้วแต่ ทักษิณพยามยามเอาสีข้างเข้าถู อ้างถึงมูลเหตุที่ไม่ต้องจ่ายภาษีไปต่างๆนานา เขาพยามยามยกกฎหมายชี้แจงเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบข้างๆ คูๆ โดยไม่สนใจกระแสสังคมที่ตั้งคำถามสาดใส่ จนในที่สุดทนกระแสกดดันของสังคมไม่ได้ จึงส่งนักกฎหมายมือฉมัง "สุวรรณ วลัยเสถียร" ในฐานะทนายประจำตระกูล มาแก้ต่างผ่านสื่อ แต่สิ่งที่พยายามชี้แจงกลับไม่สามารถทำให้ความคลางแคลงใจของสังคมลดน้อยลงแต่อย่างใด

จุดนี้เองเป็นเหตุให้พลังเงียบเริ่มตื่นตัว เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของผู้นำ ที่ออกลายมาให้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปนั้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องทั้งสิ้น ทำให้พวกพลังเงียบโดดมาสมทบกับกลุ่มพันธมิตรกูชาติที่มีอยู่เดิม เพิ่มจำนวนมากมายมหาศาลนับแสน นับล้าน เต็มถนนราชดำเนินนอก พร้อมเปล่งเสียงตะโกน"ทักษิณ...ออกไป" ดังสนั่นทั่วกรุง

ขณะที่ลิ่วล้อ “ทักษิณ”ทั้ง เนวิน ชิดชอบ ยงยุทธ ติยะไพรัช ต่างพากันเกณฑ์รากหญ้าที่ตกเป็นตัวประกัน จากภาคอีสาน-ภาคเหนือ นำโดย"คำตา แคนบุญจันทร์"มาปักหลักชุมนุม ตั้งเวทีต่อกรกับกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ ที่สวนจตุจักร เพื่อเป็นพลังของตัวเอง แต่นักเคลื่อนไหวรับจ้างเหล่านี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องสลายตัวกลับไปทำนาทำไร่ตามฤดูกาล เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ได้มาด้วยใจ แต่มาด้วยเงิน

ความแบ่งแยกของสังคมไทยออกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน การต่อต้านทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ไม่ว่า ทักษิณ จะย่างกรายไปที่ใดต้องมีขบวนรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากมีทั้งกลุ่มต่อต้าน และกลุ่มสนับสนุนไปดักรอ จนหลายครั้งที่เกิดการปะทะกันระหว่างพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง ถึงขั้นเลือดตก ยางออก ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เหมือนหลับตาข้างหนึ่ง คือมองเห็นกลุ่มต่อต้าน แต่มองไม่เห็นกลุ่มสนับสนุน ทั้งที่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทย ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน

กระทั่งความอดกลั้นของคนในสังคมเริ่มเริ่มถึงจุดสุดกลั้น กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศนัดชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ ในวันที่ 20 กันยายน 2549 เพื่อขับไล่ทักษิณ ในขณะที่ ทักษิณยังปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ฝ่ายของ ทักษิณโดย 2 คู่หู เนวิน-ยงยุทธ ได้จัดเตรียมกลุ่มเจ้าหน้าที่และลูกจ้างกรมอุทยานฯ ที่มีการติดอาวุธ และฝึกซ้อมมาอย่างดี รวมทั้งเกณฑ์พลังรากหญ้าจากอีสาน-เหนืออีกครั้ง เพื่อบุกกรุง โดยมีเจตนาให้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มหนุนทักษิณ กับกลุ่มต่อต้าน เพื่อถือโอกาสนี้ ประกาศภาวะฉุกเฉิน และจับกุมแกนนำพันธมิตรกู้ชาติและเครือข่าย ทันที

ด้วยเหตุนี้ทำให้ทหารในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงของประเทศ นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก จึงต้องเคลื่อนพลออกมา ก่อนถึงเวลานัดชุมนุมใหญ่เพียง 1 วัน ด้วยการประกาศยึดอำนาจทักษิณ ภายใต้การดำเนินการของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) โดยระบุถึงความจำเป็น ในการเข้ามาปฏิรูปการปกครอง 4 ประการ ประกอบด้วย 1. รัฐบาลทักษิณก่อให้เกิดความขัดแย้งแบ่งฝักฝ่ายในสังคมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน 2.การบริหารราชการส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวาง 3. องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญถูกแทรกแซงอย่างทั่วถึง และ 4. อดีตนายกรัฐมนตรี มีการกระทำที่ หมิ่นเหม่ต่อสถาบันเบื้องสูง

19 กันยายน 2549 กลายเป็นวัน "อวสานทักษิณ" ไม่มีการชุมนุมของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่เกิดการปะทะนองเลือดกลางเมืองให้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์

วันรุ่งขึ้นสำนักข่าวต่างประเทศพาดหัวข่าว"ปฏิวัติคลาสสิก"และ วันต่อๆมาภาพข่าวที่ปรากฏทางสื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ คือ ภาพของประชาชนที่เข้ามอบดอกไม้ให้กำลังใจกลุ่มทหารที่เข้ามาแก้ไขวิกฤติความแตกแยกภายในชาติ มีการถ่ายภาพคู่กับทหาร และรถถังที่ออกมาปฏิบัติการกันอย่างคึกคัด

ถึงวันนี้ แม้ทักษิณ จะยังพยายามดิ้นรนหาทางกลับเข้ามาในประเทศ โดยอ้างถึงการเข้ามาเป็นพยานปากแรกในคดียุบพรรคไทยรักไทย ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังไม่มีไฟเขียวจากคมช. โดยระบุว่าหากจะให้การเป็นพนานก็สามารถให้ปากคำผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ก็ได้

ดังนั้นโอกาสที่ทักษิณ จะหวนกลับมายิ่งใหญ่ ครองอำนาจทางการเมืองยิ่งริบหรี่ จนอาจเรียกได้ว่าหมดโอกาสไปแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาการบริหารงานของทักษิณ ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยนั้น เป็นการบริหารแบบยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่เคยไว้ใจใคร ไม่รับฟังความคิดเห็นของ ส.ส.ในพรรค ทำให้บรรดาส.ส.ไม่ได้ศรัทธาตัวของหัวหน้าพรรคสักเท่าใดนัก แต่ที่อยู่ด้วยเพราะอำนาจเงินที่ หว่านให้ไม่ขาดสาย

ที่สำคัญปฏิเสธไม่ได้ว่า การได้มาซึ่งส.ส.จำนวนมากจนทำให้กลายเป็นพรรคหน้าใหม่ ที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรนั้น เกิดขึ้นจากการที่ทักษิณ ใช้กลยุทธ ควบรวมกิจการจากพรรคเล็ก พรรคน้อย เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการเมืองให้เป็นค่าตอบแทน ทั้งเรื่องตำแหน่งและตัวเงิน ถือเป็นการบริหารการเมืองแบบนักธุรกิจที่เข้าเทคโอเวอร์บริษัทต่างๆ โดยเล็งถึงผลกำไรที่จะตามมา

ถึงวันนี้ท่อน้ำเลี้ยงขาดหาย การเผชิญปัญหาขาลงอย่างที่สุด รวมทั้งปัญหาการติดบ่วง"ยุบพรรค"เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ส.ส.ในพรรคไม่ลังเลใจแยกย้ายกันไป เพราะนักเลือกตั้งย่อมต้องดิ้นรนหาที่อยู่ใหม่พร้อมกระเป๋าสตางค์ให้ตัวเองอยู่แล้ว ในที่สุด พรรคไทยรักไทย ก็จะกลายเป็นเพียงตำนานที่เคยมีส.ส.ในสภาท่วมท้น

"ทักษิณ"จะกลับประเทศเพื่อมาใช้ชีวิตอย่างสงบ เพื่อใช้แผ่นดินเกิดเป็นแผ่นดินตายได้หรือไม่นั้น คำตอบอยู่ที่ตัวทักษิณเองที่จะให้คำมั่นสัญญาได้หรือไม่ว่า จะวางมือทางการเมืองอย่างแท้จริง

กระนั้นก็ตาม ในความทรงจำของคนไทยในช่วงที่ผ่านมานั้น คำมั่นสัญญาของทักษิณ ถูกมองว่าเป็นเพียงลมปากของ"เด็กเลี้ยงแกะ"เท่านั้น โดยเฉพาะคำว่า "เด็กเลี้ยงแกะ"เพิ่งหลุดออกจากปาก ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อเร็วๆนี้ ที่พูดถึงทักษิณ

ฤา...ทักษิณจะต้องเป็นคนพลัดถิ่นไปอีกนานแสนนาน


คลิกอ่าน ประมวลข่าว...จาก"19 กันยาฯ" ถึง "แม้วเร่ร่อน"...


กำลังโหลดความคิดเห็น