ลิขิต ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต
ประชาชนคนไทย อันประกอบด้วย คนหลากหลายอารยธรรม เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ได้อาศัยทำมาหากินและดำรงชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เป็นแผ่นดินรูปขวานโบราณซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าขวานทอง ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจิตสำนึกของความเป็นไทยร่วมกัน ประเทศไทยจึงเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว ไม่สามารถที่จะแยกออกเป็นส่วนๆ ได้ และคนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของประเทศร่วมกันก็คงไม่ยินยอมให้ใครมาแยกประเทศไทยออกจากราชอาณาจักรอันเป็นรูปขวานทองโบราณนี้ไปเป็นอื่น
และที่สำคัญก็ได้เป็นที่ยอมรับกันโดยคนไทยทั้งมวลว่า ประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระประมุขนั้นใช้อำนาจอธิปไตยอันเป็นของปวงชนชาวไทยดังกล่าวผ่านสถาบันหลักของระบบประชาธิปไตย 3 สถาบัน คือ อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา อำนาจบริหารผ่านทางคณะมนตรี และอำนาจตุลาการผ่านทางศาล พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นหลักชัยของสังคมไทย พระองค์ท่านทรงร่วมกับประชาชนทั้งประเทศในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยพระองค์ใช้อำนาจอธิปไตยผ่านยัง 3 สถาบันดังกล่าวมาแล้ว
ประชาชนคนไทยยังมีสิทธิที่จะเห็นประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หมายถึงการที่มีรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้ง ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสมาชิก รวมทั้งอำนาจในการทำประชาพิจารณ์และลงประชามติ นอกเหนือจากนั้นระบบประชาธิปไตยยังประกอบด้วย การเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจะกล่าวต่อไปโดยละเอียด และหลักการปกครองบริหารจะต้องใช้หลักนิติธรรมหรือใช้หลักกฎหมาย ที่บังคับใช้อย่างยุติธรรมกับทุกๆ คนเท่าเทียมกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือระบบที่คนไทยมีความเสมอภาคอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และมีความเสมอภาคทางการเมืองโดยหนึ่งคนมีสิทธิ์ลงคะแนนหนึ่งเสียง
นอกจากพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและทรงใช้อำนาจอธิปไตยอันเป็นของปวงชนชาวไทย โดยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยและเป็นมิ่งขวัญของสามเหล่าทัพอันทรงเกียรติ ซึ่งหมายความว่ากองทัพทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ คือกองกำลังจัดตั้งที่มีประวัติมาช้านานในการต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพื่อป้องกันอำนาจอธิปไตยและเอกราชของชาติ ทหารและกองทัพมีพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพเป็นมิ่งขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติและประชาชน กองกำลังทั้งสามเหล่าทัพจึงเป็นกองกำลังของชาติและพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่งนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือสิทธิเสรีภาพอันสูงค่าที่ประชาชนคนไทยทุกคนเป็นเจ้าของ และมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้มีการธำรงไว้ตราบชั่วนิรันดร์
พระมหากษัตริย์นอกจากทรงดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของชาติและทรงใช้อำนาจอธิปไตยอันมาจากปวงชนไทยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล และนอกจากจะดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ยังดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ประชาชนคนไทยที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตระหนักดีถึงความสำคัญของข้อนี้ ดังนั้น ใครก็ตามที่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทจะเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยทั่วไปที่มีความจงรักภักดีต่อองค์พระประมุขและสถาบันจะไม่ยินยอมให้เกิดขึ้น และจะแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ ต่อสู้คัดค้านมิให้ละเมิดพระองค์ท่าน ประชาชนยังพร้อมที่จะแสดงการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข พัฒนาสังคมและประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้ามาหลายทศวรรษ ดังที่ปรากฏในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 และวันที่ 5 ธันวาคม 2549 และที่สำคัญ พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ที่ผ่านมา ก็ได้แสดงถึงพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณให้ประจักษ์ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ในการต่อสู้กับอริราชศัตรู ธำรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยและเอกราชของชาติ พัฒนาสยามประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและรุ่งเรืองเยี่ยงนานาอารยประเทศ
สิทธิเสรีภาพในส่วนนี้จึงเป็นหลักการสำคัญยิ่งสำหรับประชาชาติไทยทั้งมวล ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยและเอกราชของชาติ และบูรณภาพแห่งดินแดนเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้นั้น คนไทยต่างตระหนักถึงภัยคุกคามจากภายนอก ซึ่งบรรพบุรุษไทยได้ต่อสู้ด้วยการเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อมาตลอด เริ่มตั้งแต่การเสียกรุงเมื่อปี 2310 และการกู้ชาติโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช การสถาปนาราชวงศ์จักรีโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 1 นอกจากนั้นการพัฒนาประเทศให้แข็งแกร่งในทางการค้าและการบริหาร รวมทั้งการเตือนให้ระวังจากชาติตะวันตกโดยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นประจักษ์พยานอันดีว่าความห่วงใยในเอกราชของชาติ และการต่อสู้เพื่อการรวมชาติให้เป็นปึกแผ่นด้วยการกู้ชาติ และการต่อสู้กับอริราชศัตรูทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นวีรกรรมของบรรพบุรุษไทยมาตลอด
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักอย่างดีถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย เพื่อปรับให้เข้ากับยุคและสมัยใหม่ พระองค์จึงได้เตรียมการเพื่อจะเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมด้วยนโยบายที่สำคัญคือ การใช้ความรู้สมัยใหม่เป็นอาวุธในการต่อสู้กับภัยคุกคาม นั่นคือการเปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้รับการศึกษา และการไม่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นตามยุคสมัย
และนี่คือตัวแปรสำคัญยิ่งที่นำไปสู่การเตรียมพร้อมสำหรับพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ที่จะเข้ารับพระราชภารกิจในการบริหารราชการแผ่นดิน อันได้แก่ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ซึ่งได้แก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระองค์ทรงใช้นโยบาย 3 ประการในการรักษาเอกราชของชาติและความเป็นไทย ด้วยการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้วยการบริหารสมัยใหม่ การปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และการใช้นโยบายทางการทูต โดยอยู่บนพื้นฐานของศิลปะการเจรจา การดำเนินวิเทโศบายบนพื้นฐานของความเข้าใจการเมืองระหว่างประเทศในขณะนั้น จนทำให้ประเทศสยามเป็นประเทศเดียวที่ดำรงความเป็นเอกราชทางการเมืองไว้ได้ แต่เราก็ต้องสูญเสียดินแดนไปเป็นจำนวนไม่น้อย และด้วยเหตุนี้ราชอาณาจักรที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจึงไม่สามารถจะแบ่งแยกได้อีกต่อไปแม้แต่หนึ่งตารางนิ้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสานต่อนโยบายการปฏิรูปและการพัฒนาของพระบรมชนกนาถ ทำให้ประเทศสยามก้าวสู่ระดับสากลมากยิ่งขึ้นตามลำดับ แต่ที่คนไทยโชคดีที่สุดก็คือล้นเกล้าองค์ปัจจุบันซึ่งทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์มาเป็นเวลาถึง 60 ปี โดยทรงมีพระราชกรณียกิจตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะปกครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม อันปรากฏอยู่ในพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็พอจะสรุปได้ว่า หลักการสิทธิเสรีภาพของประชาชนอันสูงสุด ได้แก่ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว มีอำนาจและอธิปไตยอันสมบูรณ์ จะให้ใครมาแบ่งแยกมิได้ โดยประชาชนทั้งประเทศเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระประมุขเป็นหลักชัย และทรงใช้อำนาจอธิปไตยดังกล่าวผ่าน 3 อำนาจในระบบประชาธิปไตย อันได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ หรือผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล และองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นประมุขและเป็นจอมทัพไทย เป็นมิ่งขวัญของสามเหล่าทัพ เป็นหลักชัยของประชาราษฎร และดำรงตำแหน่งอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
สิทธิเสรีภาพดังกล่าวนี้เป็นหลักการอันศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยทั้งชาติมีความหวงแหน และจะธำรงไว้ด้วยชีวิต
ราชบัณฑิต
ประชาชนคนไทย อันประกอบด้วย คนหลากหลายอารยธรรม เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ได้อาศัยทำมาหากินและดำรงชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เป็นแผ่นดินรูปขวานโบราณซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าขวานทอง ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจิตสำนึกของความเป็นไทยร่วมกัน ประเทศไทยจึงเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว ไม่สามารถที่จะแยกออกเป็นส่วนๆ ได้ และคนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของประเทศร่วมกันก็คงไม่ยินยอมให้ใครมาแยกประเทศไทยออกจากราชอาณาจักรอันเป็นรูปขวานทองโบราณนี้ไปเป็นอื่น
และที่สำคัญก็ได้เป็นที่ยอมรับกันโดยคนไทยทั้งมวลว่า ประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระประมุขนั้นใช้อำนาจอธิปไตยอันเป็นของปวงชนชาวไทยดังกล่าวผ่านสถาบันหลักของระบบประชาธิปไตย 3 สถาบัน คือ อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา อำนาจบริหารผ่านทางคณะมนตรี และอำนาจตุลาการผ่านทางศาล พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นหลักชัยของสังคมไทย พระองค์ท่านทรงร่วมกับประชาชนทั้งประเทศในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยพระองค์ใช้อำนาจอธิปไตยผ่านยัง 3 สถาบันดังกล่าวมาแล้ว
ประชาชนคนไทยยังมีสิทธิที่จะเห็นประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หมายถึงการที่มีรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้ง ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสมาชิก รวมทั้งอำนาจในการทำประชาพิจารณ์และลงประชามติ นอกเหนือจากนั้นระบบประชาธิปไตยยังประกอบด้วย การเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจะกล่าวต่อไปโดยละเอียด และหลักการปกครองบริหารจะต้องใช้หลักนิติธรรมหรือใช้หลักกฎหมาย ที่บังคับใช้อย่างยุติธรรมกับทุกๆ คนเท่าเทียมกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือระบบที่คนไทยมีความเสมอภาคอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และมีความเสมอภาคทางการเมืองโดยหนึ่งคนมีสิทธิ์ลงคะแนนหนึ่งเสียง
นอกจากพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและทรงใช้อำนาจอธิปไตยอันเป็นของปวงชนชาวไทย โดยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยและเป็นมิ่งขวัญของสามเหล่าทัพอันทรงเกียรติ ซึ่งหมายความว่ากองทัพทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ คือกองกำลังจัดตั้งที่มีประวัติมาช้านานในการต่อสู้อย่างกล้าหาญ เพื่อป้องกันอำนาจอธิปไตยและเอกราชของชาติ ทหารและกองทัพมีพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพเป็นมิ่งขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติและประชาชน กองกำลังทั้งสามเหล่าทัพจึงเป็นกองกำลังของชาติและพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่งนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือสิทธิเสรีภาพอันสูงค่าที่ประชาชนคนไทยทุกคนเป็นเจ้าของ และมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้มีการธำรงไว้ตราบชั่วนิรันดร์
พระมหากษัตริย์นอกจากทรงดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของชาติและทรงใช้อำนาจอธิปไตยอันมาจากปวงชนไทยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล และนอกจากจะดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ยังดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ประชาชนคนไทยที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตระหนักดีถึงความสำคัญของข้อนี้ ดังนั้น ใครก็ตามที่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทจะเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยทั่วไปที่มีความจงรักภักดีต่อองค์พระประมุขและสถาบันจะไม่ยินยอมให้เกิดขึ้น และจะแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ ต่อสู้คัดค้านมิให้ละเมิดพระองค์ท่าน ประชาชนยังพร้อมที่จะแสดงการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข พัฒนาสังคมและประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้ามาหลายทศวรรษ ดังที่ปรากฏในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 และวันที่ 5 ธันวาคม 2549 และที่สำคัญ พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ที่ผ่านมา ก็ได้แสดงถึงพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณให้ประจักษ์ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ในการต่อสู้กับอริราชศัตรู ธำรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยและเอกราชของชาติ พัฒนาสยามประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและรุ่งเรืองเยี่ยงนานาอารยประเทศ
สิทธิเสรีภาพในส่วนนี้จึงเป็นหลักการสำคัญยิ่งสำหรับประชาชาติไทยทั้งมวล ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยและเอกราชของชาติ และบูรณภาพแห่งดินแดนเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้นั้น คนไทยต่างตระหนักถึงภัยคุกคามจากภายนอก ซึ่งบรรพบุรุษไทยได้ต่อสู้ด้วยการเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อมาตลอด เริ่มตั้งแต่การเสียกรุงเมื่อปี 2310 และการกู้ชาติโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช การสถาปนาราชวงศ์จักรีโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 1 นอกจากนั้นการพัฒนาประเทศให้แข็งแกร่งในทางการค้าและการบริหาร รวมทั้งการเตือนให้ระวังจากชาติตะวันตกโดยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นประจักษ์พยานอันดีว่าความห่วงใยในเอกราชของชาติ และการต่อสู้เพื่อการรวมชาติให้เป็นปึกแผ่นด้วยการกู้ชาติ และการต่อสู้กับอริราชศัตรูทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นวีรกรรมของบรรพบุรุษไทยมาตลอด
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักอย่างดีถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย เพื่อปรับให้เข้ากับยุคและสมัยใหม่ พระองค์จึงได้เตรียมการเพื่อจะเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมด้วยนโยบายที่สำคัญคือ การใช้ความรู้สมัยใหม่เป็นอาวุธในการต่อสู้กับภัยคุกคาม นั่นคือการเปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้รับการศึกษา และการไม่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นตามยุคสมัย
และนี่คือตัวแปรสำคัญยิ่งที่นำไปสู่การเตรียมพร้อมสำหรับพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ที่จะเข้ารับพระราชภารกิจในการบริหารราชการแผ่นดิน อันได้แก่ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ซึ่งได้แก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระองค์ทรงใช้นโยบาย 3 ประการในการรักษาเอกราชของชาติและความเป็นไทย ด้วยการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้วยการบริหารสมัยใหม่ การปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และการใช้นโยบายทางการทูต โดยอยู่บนพื้นฐานของศิลปะการเจรจา การดำเนินวิเทโศบายบนพื้นฐานของความเข้าใจการเมืองระหว่างประเทศในขณะนั้น จนทำให้ประเทศสยามเป็นประเทศเดียวที่ดำรงความเป็นเอกราชทางการเมืองไว้ได้ แต่เราก็ต้องสูญเสียดินแดนไปเป็นจำนวนไม่น้อย และด้วยเหตุนี้ราชอาณาจักรที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจึงไม่สามารถจะแบ่งแยกได้อีกต่อไปแม้แต่หนึ่งตารางนิ้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสานต่อนโยบายการปฏิรูปและการพัฒนาของพระบรมชนกนาถ ทำให้ประเทศสยามก้าวสู่ระดับสากลมากยิ่งขึ้นตามลำดับ แต่ที่คนไทยโชคดีที่สุดก็คือล้นเกล้าองค์ปัจจุบันซึ่งทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์มาเป็นเวลาถึง 60 ปี โดยทรงมีพระราชกรณียกิจตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะปกครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม อันปรากฏอยู่ในพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็พอจะสรุปได้ว่า หลักการสิทธิเสรีภาพของประชาชนอันสูงสุด ได้แก่ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว มีอำนาจและอธิปไตยอันสมบูรณ์ จะให้ใครมาแบ่งแยกมิได้ โดยประชาชนทั้งประเทศเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระประมุขเป็นหลักชัย และทรงใช้อำนาจอธิปไตยดังกล่าวผ่าน 3 อำนาจในระบบประชาธิปไตย อันได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ หรือผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล และองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นประมุขและเป็นจอมทัพไทย เป็นมิ่งขวัญของสามเหล่าทัพ เป็นหลักชัยของประชาราษฎร และดำรงตำแหน่งอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
สิทธิเสรีภาพดังกล่าวนี้เป็นหลักการอันศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยทั้งชาติมีความหวงแหน และจะธำรงไว้ด้วยชีวิต