xs
xsm
sm
md
lg

60 ปีครองราชย์ ที่สุดแห่งแผ่นดินไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากจัดอันดับ 10 เหตุการณ์สำคัญในปี 2549 ที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนไทยทั้งประเทศ แน่นอนว่า อันดับแรกทุกดวงใจของคนไทยคงจะต้องมอบให้กับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นั่นก็คือ งานเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หลอมดวงใจถวายพระพรองค์ภูมินทร์

ในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระราชวงศ์จักรีของไทย ทรงสร้างบันทึกประวัติศาสตร์ใหม่ขึ้นด้วยการเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์นานที่สุดในโลก คือยาวนานครบ 60 ปี

ทั้งยังเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ประวัติศาสตร์ไทยจะต้องจารึกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศที่หลอมดวงใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง

นับตั้งแต่เย็นของวันที่ 8 มิถุนายนเป็นต้นมา ประชาชนชาวไทยพร้อมใจกันใส่เสื้อเหลืองทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัดต่างทยอยกันมาจับจองพื้นที่ว่างบริเวณหน้าลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อรอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกคนรู้แต่ว่าจะต้องมาให้ถึงลานพระบรมรูปทรงม้าให้จงได้

จนเมื่อเวลาสายของวันที่ 9 มิถุนายน ภาพจากจอโทรทัศน์ซึ่งถ่ายทอดสดพระราชพิธีก็สร้างความตราตรึงให้แก่คนทั้งประเทศ ภาพที่ปรากฏคือคลื่นมหาชนที่สวมเสื้อเหลืองนับล้านคนมารวมตัวกันล้นลานพระบรมรูปทรงม้าเลยไปจนถึงถนนราชดำเนินทั้งราชดำเนินใน ราชดำเนินกลาง ราชดำเนินนอก จนถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ต่อเนื่องยาวไปถึงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ทุกดวงใจต่างเฝ้ารอชื่นชมพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่จะเสด็จมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงโบกพระหัตถ์พร้อมพระพักตร์ที่มีรอยพระสรวลเล็กน้อย ประทับอยู่ในดวงจิตของคนไทยทุกคนจนต้องเปล่งเสียง “ ทรงพระเจริญ...ทรงพระเจริญ..” กึกก้องดังไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในผืนแผ่นดินไทย

ทุกคนที่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้นต่างปลาบปลื้มจนน้ำตาอาบแก้มและ ถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย

25 พระราชวงศ์ทั่วโลกพร้อมใจถวายพระพร

ในปีมหามงคลนี้ พระราชวงศ์ต่าง ๆ ทั่วโลก เสด็จฯ ร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อย่างยิ่งใหญ่ 25 ประเทศด้วยกัน ทั้งที่องค์พระประมุขเสด็จพระราชดำเนินโดยพระองค์เอง และผู้เสด็จฯ แทนพระองค์ ทั้ง พระสวามี หรือพระราชินี หรือพระราชวงศ์ระดับสูง ตลอดจนมกุฏราชกุมารทั้งหลาย ต่างเสด็จฯ มายังประเทศไทย เพื่อร่วมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างวันที่ 9-12 มิถุนายนที่ผ่านมา

และในวันที่ 12 มิ.ย. เป็นอีกวันที่ทั้งโลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นการชุมนุมของพระประมุข จากประเทศต่างๆ มากที่สุดในโลก ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้สมเด็จพระราชาธิบดี สมเด็จพระราชินี และพระราชวงศ์ผู้แทนพระองค์ ทั้ง 25 ประเทศ ได้แก่ บรูไน สวีเดน สวาซิแลนด์ ญี่ปุ่น กาตาร์ เลโซโท จอร์แดน ลักเซมเบอร์ก มาเลเซีย กัมพูชา โมนาโก คูเวต ลิกเตนสไตน์ สเปน โมร็อกโก บาห์เรน ตองกา ภูฏาน เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ เบลเยี่ยม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ โอมาน
ในการนี้พระราชอาคันตุกะทุกพระองค์ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคลตามลำดับขึ้นครองราชย์ และในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับพระราชอาคันตุกะทุกพระองค์ที่เสด็จมาร่วมงาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ของโลกที่มีตัวแทนพระราชวงศ์เกือบทุกพระองค์ของโลกเสด็จมารวมกัน และพระบรมฉายาลักษณ์นี้เป็นหนึ่งในภาพที่คนไทยนิยมนำไปเก็บไว้บูชาด้วย

จากนั้นในช่วงเย็นเดียวกันพะราชอาคันตุกะทุกพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรขบวนเรือพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่อย่างสมพระเกียรติ ณ ราชนาวิกสภา ซึ่งกองทัพเรือใช้เรือพระราชพิธีทั้งหมด รวม 52 ลำ

นอกจากนี้ในช่วงเย็นของวันที่ 13 มิ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ แด่พระราชอาคันตุกะ ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
สำหรับรายการพระกระยาหารค่ำครั้งประวัติศาสตร์ ในครั้งนี้ เป็นฝีมือปรุงของเชฟนอร์เบิร์ท คอสเนอร์ โดยทำถวายเป็นอาหารฝรั่งทั้งหมด 5 คอร์ส จำนวนทั้งสิ้น 400 ที่นั่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำศิลปวัตถุอันงดงามจากศิลปาชีพมาจัดแสดง อาทิ พระที่นั่งกูบช้าง หรือ “สัปคับ” มีทั้งองค์ที่เป็นทองคำ ไม้ คร่ำ และถมทอง บานจำหลักทิพวัน หรือบานพระแกล จำหลักด้วยมือ เป็นไม้สักแกะสลักบานใหญ่ประดับฝาผนัง และยังตระการตาด้วยของตก แต่งบนโต๊ะเสวย ซึ่งเป็นงานศิลปหัตถกรรมจากศิลปาชีพ เช่น นกยูงทองคำ และเรือพระที่นั่งจำลองชนิดต่างๆ

กระแสคลื่นมหาชน คนเสื้อเหลือง
นับเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์แห่งปี ที่หลอมรวมความเป็นหนึ่งเดียวให้คนไทยทั้งชาติสะท้อนออกมาเป็น คลื่นมหาชนคนเสื้อเหลือง ที่ร่วมใจกันถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวาระอันเป็นมหามงคลยิ่ง

กระแสแฟชั่นแห่งความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยครั้งนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภายหลังทรงพระราชทานตราสัญลักษณ์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ออกมาอย่างเป็นทางการ ก็ทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งผลิตเสื้อสีเหลือง(สีประจำวันพระราชสมภพ) พร้อมติดตราสัญลักษณ์ฯ ออกมาวางจำหน่ายในหลากหลายรูปแบบ ทั้งเสื้อทีเชิ้ต เสื้อโปโล เสื้อแจ็กเกต ฯลฯ

ไม่วายเว้น แม้แต่คนไทยรักในหลวง(รุ่นเล็ก) ที่พ่อแม่ก็สรรหาเสื้อเหลืองติดตราสัญลักษณ์ฯ ขนาดพอเหมาะมาให้สวมใส่ เปิดโอกาสให้เด็กๆ ร่วมเป็นหนึ่งของความเหลืองอร่ามทั่วไทย เป็นประจำทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ เรื่อยมาจนถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธ.ค. 2549 ทรงเจริญพระชนมายุ 79 พรรษาในปีอันเป็นมหามงคล ซึ่งบางหน่วยงานก็ฟีเวอร์สวมใส่กันเป็นประจำทุกวันศุกร์ด้วย ขณะที่ตลอดทั้งปีแห่งการเฉลิมฉลองนี้ ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยก็แทบไม่ต้องเลือกเสื้อผ้ากันให้ยุ่งยาก หยิบเสื้อเหลืองมาสวมใส่ให้อร่ามเรืองรองกันทุกวัน เพื่อยืนยันถึงความเทิดทูนต่อพระองค์ท่านจนกว่าจะถึงวาระทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา...ในปีหน้า

ต่างชาติแซ่ซ้องสดุดีพระอัจฉริยภาพองค์ราชันย์
ไม่เพียงแต่เป็นวาระที่คนไทยทั้งชาติจะร่วมกันเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ปรากฏต่อปวงชนชาวไทยนั้น ยังเป็นที่ประจักษ์ต่อนานาอารยะประเทศด้วยเช่นกัน ดังปรากฏเป็นคำกล่าวยกย่องพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯจากชาวโลกว่า “ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนา” พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรที่ยากไร้และด้อยโอกาสทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงทรงพระราชทานแนวทางการดำรงชีพ เพื่อให้ประชาชนของพระองค์สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ตามปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” โดยเน้นหลักการความพอประมาณท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากกระแสโลกาภิวัตน์

จากปรัชญาดังกล่าว ยังผลให้ในวันที่ 26 พ.ค. 2549 นายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ พร้อมทั้งกล่าวคำกล่าวสดุดีในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในฐานะ ทรงเป็น กษัตริย์นักพัฒนา ผู้พลิกฟื้นชีวิตความเป็นอยู่พสกนิกรของพระองค์เป็นเวลานานถึง 6 ทศวรรษ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ขณะที่ทางยูเอ็นก็ถือว่า รางวัลเชิดชูเกียรติในครั้งนี้มีความสำคัญยิ่งเช่นกัน เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้จัดทำรางวัลเกียรติยศ เพื่อมอบแด่บุคคลดีเด่น ผู้อุทิศตนตลอดช่วงชีวิตสร้างคุณูปการอันเป็นที่ประจักษ์เพื่อผลักดันความก้าวหน้าในการพัฒนาคน พันธกิจลำดับแรกที่ยูเอ็นให้ความสำคัญมาโดยตลอด

จากนั้นไม่นาน ความปลื้มปิติก็บังเกิดขึ้นกับปวงชนชาวไทยอีกวาระหนึ่ง เมื่อนิตยสาร ระดับโลก “ไทม์เอเชีย” ยกย่องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเป็นหนึ่งในวีรบุรุษแห่งเอเชีย ในสาขาผู้เป็นแรงบันดาลใจ ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปีของนิตยสาร โดยพิจารณาเลือกจากฮีโร่ชาย-หญิงทั่วเอเชียในรอบ 60 ปี จำนวน 60 คน ซึ่งเนื้อหาของบทความที่ปรากฏในนิตยสารไทม์ ยังระบุอีกด้วยว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ผู้ทรงช่วยเหลือให้ประชาชนที่ยากจนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยพิสูจน์จากโครงการพระราชดำริน้อยใหญ่กว่า 3,000 โครงการ

อีกทั้งตลอดระยะเวลา 60 ปีแห่งการเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ ทรงครองสิริราชสมบัตินั้น พระองค์ทรงใช้หลักทศพิธราชธรรมนำพาประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์ของไทยยังคงดำรงอยู่ได้มาถึงวันนี้ แตกต่างจากราชวงศ์อื่นๆในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์

ฉลอง 80 พรรษา มหาราชา ยิ่งใหญ่!!!

นอกจากงานพระราชพิธีเฉลิมฉลองที่ปวงชนชาวไทยร่วมใจกันถวายแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดปี 2549 แล้ว ต่อเนื่องถึงปี 2550 ยังมีงานมหามงคลของปวงชนชาวไทยทีจะแสดงออกถึงความจงรักภักดีอีกครั้ง โดยคณะรัฐบาล ประกาศจัดงาน “งานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

งานเฉลิมพระเกียรตินั้น ได้รับพระราชทานชื่องานว่า “พระราชพิธีเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550” และภาษาอังกฤษนั้นใช้ชื่อเดียวที่หมายรวมถึงชื่อพระราชพิธี และชื่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติว่า “The Celebrations on the Auspicious Occasion of His Majesty the King’s 80th Birthday Anniversary 5th December 2007” กำหนดเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2550

ขณะนี้ทางคณะกรรมการฝ่ายพิธีจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ได้มีข้อสรุปว่า ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ เพื่อช่วยเหลือในการดำเนินงานให้สมพระเกียรติ และถูกต้องตามราชประเพณี ได้แก่ ฝ่ายจัดงานประราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ฝ่ายจัดพิธีเสกและอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ฝ่ายจัดงานศาสนาพิธี ฝ่ายจัดงานสโมสรสันนิบาต และงานถวายพระกระยาหารค่ำเฉลิมพระเกียรติ ฝ่ายจัดงานถวายพระพร และงานมหรสพสมโภช ฝ่ายจัดแสดงพลุและดอกไม้ไฟ และฝ่ายพิจารณากลั่นกรองการขอใช้งบประมาณ เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมมือในการเตรียมการและดำเนินงานโดยเร่งด่วน

นอกจากนั้นยังมีโครงการและกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ โดยยึดหลักความเหมาะสม ความจำเป็นและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน อาทิ โครงการบูรณะหอรัชมงคล สวนหลวง ร.9 โครงการอนุรักษ์ฟิล์มภาพยนตร์และภาพนิ่งส่วนพระองค์ โครงการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จัดพิมพ์หนังสือกสิกรฉบับพิเศษ การจัดกิจกรรมเปิดเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบการเริ่มต้นเข้าสู่ปีมหามงคล และเชิญชวนประชาชนสวมเสื้อสีเหลืองมีตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ทุกวันตลอดปี 2550

และที่สำคัญขอเชิญทุกคนร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม โดยร่วมใส่เสื้อสีเหลือง เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยพร้อมเพรียงกัน

คลิก เข้าสู่หน้าพิเศษ "เฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี"


กำลังโหลดความคิดเห็น