วรพจน์ ยศะทัตต์ เป็นชื่อที่ไม่มีคนคุ้นเท่ากับชื่อเล่นคือ “เช”-CHE, และยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีก เมื่อเอ่ยถึง CHE-CTX แห่งสนามบินสุวรรณภูมิ, เขาเป็นบุคคลแห่งข่าวมาเป็นระยะเวลานาน และจะเป็นเช่นนี้อีกนานด้วย โดยหลังสุด เขาก็เป็นข่าวที่ทำให้ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ต้องให้ปากคำ/ข้อมูลกับอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 โดยเรื่องนี้เป็น 1 ใน 12 เรื่องที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กำลังสวนทวารสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงระบอบทักษิณยึดอำนาจตั้งรัฐไทย (รักไทย) โดยที่ประเด็นของการต้องให้ พล.ต.อ.สมบัติ มาให้ข้อเท็จจริง คือการที่ "เช" ให้ข้อมูลกับ DSI เป็นกระสอบ แต่ทาง DSI เลือกคัดมาอยู่ในสำนวนการสอบสวนเพียงหยิบมือเดียว และข้อมูลความผิดการทุจริตไม่ได้
คือ DSI นั้นสอบเหมือนกับว่า ไม่ต้องการให้พบตัวผู้กระทำผิด หรือเรื่องนี้มีความผิด
ถือเป็นการสอบสวนคดีพิเศษที่ออกจะพิเศษจริงๆ คือสอบแล้วต้องไม่ผิด!
โดยเนื้อหาของการจัดซื้อเครื่อง CTX สำหรับสนามบินสุวรรณภูมินั้น เป็นสิ่งที่มีปรากฏอยู่ในข่าวสารของการรายงานต่อสาธารณชน มีความต่อเนื่องในเนื้อหาและรายละเอียดเป็นประจำอยู่แล้ว แต่มีอยู่บางประเด็นที่ยังไม่มีการเปิดเผย หรือมีคนเห็นถึงเหตุแห่งความเป็นมา โดยเฉพาะความเป็นตัวตนของ “เช” วรพจน์ ยศะทัตต์ ผู้นี้ ซึ่งหากว่า นำเอา ความ “ลึก” ที่มี 60% และ ความ “ลับ” อีก 40% มารวมกันแล้ว ก็จะเป็น “ความจริง” 100%
“เช” เป็นผู้บอกเองว่า เขาได้รับผลประโยชน์จากการขาย CTX ให้กับสนามบินสุวรรณภูมิ และเงินที่ได้มาก็นำไปซื้อรถยนต์หรู และต้นลีลาวดีหมดแล้ว
เขาเป็นคนบอกว่า กำไรหรือผลตอบแทนที่เขาได้รับมานั้น ก็เป็นของเขาส่วนหนึ่ง แต่มีคนอีกสิบคนมาแบ่งกำไรจากเขาไปด้วย ซึ่งเขาก็ให้ด้วยความเต็มใจ และยังเต็มใจที่จะบอกให้สาธารณชนได้รับรู้ด้วยว่า คนสิบคนที่มาแบ่งกำไรจากการขายเครื่อง CTX นั้นเป็นใคร และได้ไปคนละเท่าไหร่
เพราะเขาเป็นพ่อค้า ทำธุรกิจก็ต้องมีผลกำไร เขามีสิทธิในส่วนที่ได้รับมาจากบริษัทแม่ที่สหรัฐอเมริกา แต่การที่เขาจะเปิดเผยว่าใครมาแบ่งกำไรไปจากเขาบ้างนั้น ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นพ่อค้าที่ไม่น่าคบ
เขาไม่เรียกตัวเองว่าเป็นตัวแทนการขาย เป็นพ่อค้านายหน้า หรือเอเยนต์อะไรทั้งสิ้น โดยในเอกสารทุกฉบับที่เขาลงนาม จะใช้คำว่า “วิศวกรที่ปรึกษาประจำประเทศไทย” ของบริษัทหรือของสินค้านั้นๆ และในบรรทัดท้ายสุดของจดหมายหรือเอกสารต่อจากคำว่า “วิศวกรที่ปรึกษาประจำประเทศไทย” เขาจะบอกโทร. (02) 990-1122 โทรสาร (02) 990-1911 และมือถือ (01) 829-7700 ด้วยทุกครั้ง
เพราะเขาเริ่มต้นทำธุรกิจกับกองทัพต้องมีความสัมพันธ์กับทางทหาร เขาจึงสร้างภาพของตัวเองแบบเด็ดขาด ตรงไปตรงมา พูดคำไหนคำนั้น เป็นผู้ที่วางใจได้ว่าทำอะไรร่วมกันโดยสะดวกใจ แต่บางครั้งเขาก็เป็นคนพูดจริงเสียจนเกินไป คือ ละเมิดชั้นความลับระหว่างบุคคลกับบุคคล ซึ่งตามปกติแล้ว ผู้ที่ทำธุรกิจทางด้านนี้ จะลืมตัวบุคคลและลืมตัวเลขแบบของใครของมัน เมื่อเสร็จงานแล้วก็แยกย้ายกันไป ที่เรียกกันว่า “กินยาสลายความจำ” ไปแล้ว
“เช” เป็นผู้ที่ได้งานแรก หรือเริ่มต้นกับทางกองทัพอากาศ จะเป็นเพราะว่า เขาคาดการณ์มองอนาคตได้ถูกต้อง หรือเป็นเพราะมีจังหวะพอดี ที่เขามีความสัมพันธ์อยู่กับนายทหารอากาศที่เป็น “เตรียมทหารรุ่น 10” รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในระดับดีมาก โดยความสัมพันธ์นี้ มีมาก่อนที่ “ทักษิณ” จะเป็นใหญ่ แม้ว่าจะสร้างหรือเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจอะไรไม่ได้ แต่ก็เป็นการรอเวลา และเวลาที่รอนั้นคือการลงทุนด้วยเวลา เพื่อจะได้เป็นผลกำไร เขาซื้อหาด้วยราคาเป็นล้านให้กับหลายคน ด้วยความคิดว่า เมื่อคนที่นั่งขับรถยนต์ที่ได้จากเขานั้น เมื่อใดที่เป็นใหญ่ขึ้นมาจะต้องนึกถึงเขา...
เขาทำอย่างนั้นได้ เพราะมี “ทุน” ที่ได้มาจากกองทัพอากาศ
จากการที่ได้งานแรก คือการปรับปรุงซ่อมสร้างแบบ “คืนสภาพ” ให้กับ เครื่องบิน DC-8 ดาโกต้า ที่เป็นเครื่องบินลำเรียงเก่าแก่ เริ่มสร้างมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีประจำการอยู่ในกองทัพอากาศ ใช้งานกันมาจนกระทั่งมีเครื่องบินลำเรียง C-123 และ C-130 เข้ามาแทนที่แล้ว ดาโกต้าม้าแก่เหล่านี้จึงหยุดใช้งาน แต่โดยที่โครงสร้างลำตัวมีความแข็งแรงมาก ที่อาจจะใช้ไปได้อีกร้อยปี ทางกองทัพอากาศเห็นว่ามีหลายประเทศที่ครอบครองเครื่องบินแบบนี้อยู่ ให้ดัดแปลงซ่อมสร้างใหม่โดยอาศัยโครงสร้างลำตัวเดิม และนำมาใช้การได้ใหม่ จึงมีโครงการคืนชีวิตให้กับดาโกต้าเป็นการซ่อมใหญ่แบบคืนสภาพติดตั้งเครื่องยนต์ อุปกรณ์การสื่อสารใหม่หมด เพื่อจะนำดาโกต้าที่ไม่ได้ใช้งานด้านการลำเรียงของกองทัพแล้ว มาเป็นเครื่องบินสำหรับสนับสนุนการโปรยเคมีสำหรับโครงการทำฝนหลวง
“เช” ในฐานะวิศวกรที่ปรึกษาประจำประเทศไทย ของบริษัทที่เข้ามารับงานนี้ ก็เริ่มต้นมาจากตรงนั้น
ทำให้เขาได้เห็นลู่ทางของการทำธุรกิจเกี่ยวกับกองทัพ โดยมิได้เน้นที่อาวุธโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่อยู่บนและล่างของเส้นๆ หนึ่ง คือการมุ่งเข้าทางยุทโธปกรณ์เกี่ยวกับอากาศยาน และอะไรต่ออะไรที่มันเกี่ยวข้องกับอากาศยานที่พอจะหาหรือมีโครงการเช่นนั้นอยู่ในกองทัพ และดูเหมือนว่า เขาจะเน้นหรือปักหลักอยู่กับกองทัพอากาศมากกว่ากองทัพอื่น
เขาเคยเสนอ “สินค้า” ให้กับกองทัพบกอยู่อย่างเดียว เมื่อสมัยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก คือการเสนอให้พิจารณาเครื่องบินทางธุรการ สำหรับเป็นพาหนะเดินทางของผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ซึ่งก็ไม่มีผลตอบรับอะไรมาจากทางกองทัพบก
การเข้าถึงงานของสนามบินสุวรรณภูมิโดยการเป็นวิศวกรที่ปรึกษา CTX นั้น ก็เป็นงานที่ไปจาก “ดอนเมือง” และคนดอนเมือง อีกทั้งทำให้เขาเข้าถึง “ชินวัตร” ด้วย จากลักษณะอันเด็ดเดี่ยวที่เป็นความโดดเด่นของเขา คือเขาได้ต่อสู้ใน “สิ่งหนึ่ง” ที่เขาคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาถูกปล้นชัยชนะ, แต่เขาก็ได้รับการปลอบใจให้เปลี่ยนใจจากการต่อสู้เกมนั้น ด้วยการนำโครงการที่ใหญ่กว่าและมีผลตอบแทนมหาศาลกว่ามาให้เขาทำ...
ในฐานะที่เป็นวิศวกรที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของ บริษัท มาร์ติน-เบเกอร์ (MARTIN-BAKER) แอร์คร๊าฟฯ ของอังกฤษ เขาได้ดำเนินการและต่อสู้เรื่องเก้าอี้ดีดของนักบิน-EJECTION SEATS ของเครื่องบินขับไล่ อัลฟ่า เจ๊ต-ALPHA JET ซึ่งมีปัญหามาก เครื่องบินแบบนี้เกิดโหม่งโลกหลายเครื่องพร้อมกับชีวิตนักบิน เพราะเก้าอี้ดีดออกจากเครื่องบินนั้น ดีดไม่ออก โอกาสสุดท้ายได้กลายเป็นวาระสุดท้ายของนักบินคนแล้วคนเล่า...ทางกองทัพอากาศในขณะที่ พล.อ.อ.ปอง มณีศิลป์ เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ตั้งคณะกรรมการผู้รับผิดชอบโครงการเปลี่ยนเก้าอี้ดีดใหม่ทั้งหมด มีผู้เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายเพียง 2 รายคือแบบ SIIIS-3AJ และของ MARTIN BAKER และการพิจารณาในที่สุดคณะกรรมการก็เลือกแบบของมาร์ติน-เบเกอร์ พร้อมกับการจัดเตรียมขั้นงบประมาณดำเนินการ
แต่ในระหว่างนั้น พล.อ.อ.ปอง มณีศิลป์ เกษียณอายุจากผู้บัญชาการทหารอากาศ
พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา จากรองผู้บัญชาการทหารอากาศ มาเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้มีนโยบายใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือไม่มีการซื้อใหม่ แต่จะใช้วิธีซ่อมของเก่าที่ติดอยู่กับอัลฟ่า เจ๊ต
บริษัท มาร์ติน เบเกอร์ ถือว่าได้รับความเสียหายโดยตรง เพราะคณะกรรมการได้พิจารณาเลือกแบบที่จะซื้อของเขาแล้ว โดยที่ทางบริษัทในอังกฤษและสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ถือว่าตนได้เป็นผู้ประสานและติดต่อ หรือดำเนินการมาตั้งแต่ต้น ในการเสนอเก้าอี้ดีดแบบ MK 10 L ให้กับรัฐบาลไทย และกระทรวงกลาโหม ดังเช่นจดหมายของ นายไฮแลนด์ (HYLAND) ประธานกรรมการบริษัทที่มีถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามจดหมายลงวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2002 อันเป็นการติดต่อกับผู้นำรัฐบาลโดยตรง ซึ่งตามปกติแล้ว จะไม่มีการทำเช่นนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องสำคัญและมีความพิเศษจริงๆ
การ “พัก” นโยบายและงานที่ พล.อ.อ.ปอง มณีศิลป์ ทำไว้โดยผู้บัญชาการทหารอากาศคนใหม่คือ พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา
ทำให้ “เช” ต้องเข้าชนในหลายรูปแบบในการเรียกร้องขอความเป็นธรรม เช่น การใช้หัวกระดาษของมาร์ติน-เบเกอร์ มีจดหมายถึง พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2545 ที่ท่อนท้ายมีความหมายมาก และดูเหมือนจะเป็นการเตือนหรือสอนด้วย ที่ว่า
“ในฐานะที่กระผมเป็นผู้หนึ่งที่ทำงานรับใช้ประเทศชาติ และทำธุรกิจเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยของนักบิน มีความเป็นห่วงและตระหนักดีว่า นักบินเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า และกว่าจะฝึกเป็นนักบินรบได้คนหนึ่ง จะต้องใช้งบประมาณของประเทศเป็นจำนวนนับร้อยล้านบาท กระผมและ MARTIN-BAKER มีความพร้อมที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลความปลอดภัยของนักบิน”
เป็นการแสดงความห่วงใยต่อชีวิตของนักบินที่บอกกับผู้บัญชาการทหารอากาศในขณะนั้น
การต่อสู้เรียกหาความเป็นธรรมของเขาในช่วงนั้น เขาพยายามที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รู้ และมีจังหวะหนึ่งที่ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของ MARTIN-BAKER เดินทางจากอังกฤษมาไทย เพื่อติดตามถึงเรื่องนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง และข่าวตีพิมพ์ออกมาในวันที่ “ทักษิณ” นั่งเครื่องบินไปพม่า ได้อ่านข่าวนี้บนเครื่องบิน จึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และจากนั้น ก็มีการสอบถามไปทางกองทัพอากาศ ก็ได้ความว่า ทางพล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ได้ดำเนินการทางด้านการซ่อมแทนการซื้อใหม่ และได้มีการอนุมัติวงเงินก้อนแรกสำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับการซ่อมเก้าอี้ดีดของเครื่องบินอัลฟ่า เจ๊ต ไปแล้วด้วย การจะกลับมาซื้อของ MARTIN-BAKER นั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะการซ่อมกำลังจะเกิดขึ้น โครงการจัดซื้อนั้นเป็นอันตกไปอย่างเด็ดขาด
“เช” ได้เข้าต่อสู้แบบตัวถึงตัว และอย่างสุดกำลังด้วย
เพราะเขาเพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งเป็นวิศวกรที่ปรึกษาประจำประเทศไทย ของบริษัทสร้างเครื่องบินยิ่งใหญ่ของโลกคือ “โบอิ้ง” ถ้าหากว่าการต่อสู้เรื่องเก้าอี้ดีดอัลฟ่า เจ๊ต ของเขาไม่เป็นผล ก็อาจจะกระทบกระเทือนต่อความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจที่ “โบอิ้ง” มอบให้กับเขาด้วย
การต่อสู้แบบเลือดเข้าตาของเขานั้นไป “เข้าทาง” และ “เข้าตา” ของคนตระกูล “ชินวัตร”
ที่ว่า-เด็กคนนี้ น่าสนใจมาก เพราะเป็นนักชน เป็นนักสู้, แทนที่การต่อสู้ของเขาจะเป็นความโกรธกลับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม
“เช” มีการแต่งตั้งเป็นตัวแทนของ CTX ของสหรัฐอเมริกาอยู่ในมือ และเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดเช่นนี้ ก็เป็นที่ต้องการของสนามบินสุวรรณภูมิด้วย จึงได้มีการ “พบปะ” และเริ่มงานกันใหม่ของ CTX ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีทั้งในส่วนของการตรวจกระเป๋าผู้โดยสาร และระบบที่ใช้กับสินค้าทางอากาศหรือ “คาร์โก้” ด้วย อันเป็นจุดเริ่มต้นของ CTX สุวรรณภูมิ ที่เพราะเรื่องเก้าอี้ดีดอัลฟ่า เจ๊ต ได้ดีดให้เขาเข้ามาถึงจุดนี้ได้
จากความเป็นคนจริงที่อาจจะจริงจนเกินไปอันเป็นตัวตนของเขา
เมื่อ CTX มีปัญหามาตั้งแต่ปีที่แล้ว เขาก็อยู่กับปัญหาและเผชิญกับปัญหา เขายอมรับได้ในเรื่องของผลกำไร เพราะว่าเขาเป็นพ่อค้าที่นักธุรกิจที่ทำอะไรก็ต้องมีกำไร จะเป็นสักเท่าใด ก็เป็นกำไรของเขา และที่เขาไม่ปิดบังว่ามีคน 10 คน ทั้งนักการเมืองและผู้เกี่ยวข้องกับการเมือง ก็ได้รับส่วนแบ่งผลกำไรไปจากเขาด้วย
CTX ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม - สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องเปลี่ยนเก้าอี้, และ CTX ก็ทำให้รัฐบาลทักษิณ เกิดความสั่นคลอนแล้วพังลง และในวันนี้ เช-CTX ก็เป็นผู้กุมความลับว่า คนจำนวนสิบคน ที่มีผลประโยชน์ร่วมนั้นเป็นใครและแบ่งกำไรไปเท่าใด,วันนี้เป็นวันที่ เช-CTX กล้าที่จะชนกับความจริงและมีคนอย่างน้อยอีกสิบคนที่กลัวความกล้าของเขา