xs
xsm
sm
md
lg

"อุ๋ย"ห่วงบำนาญ"ศิโรตม์"เล็งแค่ปลดออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หม่อมอุ๋ยยังรอหนังสือ ป.ป.ช. ก่อนประชุม อกพ.ชี้ชะตา 5 ขรก.คลัง งานนี้ส่อแววลงโทษสถานเบา แค่ปลดออกเพื่อให้บำเหน็จบำนาญ เป็นห่วงเพราะอายุยังน้อย "ศิโรตม์" อีเมล์จดหมายสั่งลาให้คนสรรพากรรักษาความดีเหมือนที่เคยทำมา "สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์" เข้าให้ข้อมูล คตส. ระบุเอาผิดมติ ครม.อัปยศได้ทั้งหมด "แก้วสรร" มั่นใจประชุม คตส.วันนี้รู้ผลแน่ “วิษณุ” เผยข้อมูลหวยบนดินเผาเอกสารไปหมดแล้ว ขณะที่ ครม.เห็นชอบแก้ไข พ.ร.บ.คดีอาญานักการเมือง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ยังไม่ได้รับหนังสือกล่าวโทษเจ้าหน้าที่สรรพากรทั้ง 5 คน จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่คงได้ภายในสัปดาห์นี้ และจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการ (อกพ.) กระทรวงการคลังทันที เพื่อพิจารณาบทลงโทษเจ้าหน้าที่ทั้งหมด โดยในระหว่างนี้ได้มอบหมายในนายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ในฐานะกำกับดูแลกรมสรรพากร และนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องทั้งหมด รวมถึงการสรรหาอธิบดีกรมสรรพากรคนใหม่

“หากมีการพิจารณาบทลงโทษแล้ว ก็สามารถแต่งตั้งอธิบดีกรมสรรพากรคนใหม่ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งรักษาการ”

นายสมหมายยอมรับว่ามีคนที่เหมาะสมจะเป็นอธิบดีกรมสรรพากรคนใหม่แล้ว ซึ่งเป็นคนภายในกระทรวงการคลัง โดยผู้ที่จะมารับตำแหน่งจะต้องเป็นผู้บริหารที่มีความรู้เรื่องภาษีเป็นอย่างดี เข้าใจโครงสร้างการจัดเก็บภาษี เพื่อที่จะทำให้กระบวนการจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีความเป็นธรรมและประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องเป็นคนที่สามารถทำงานหนักได้ เพราะต้องเก็บภาษีให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ที่120,000 ล้านบาท รวมทั้งสามารถสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการกรมสรรพากรได้

“ตอนนี้มีตัวเลือกอยู่แล้วหลายคน เหลือแค่เพียงดูว่าเหมาะสมหรือไม่ ส่วนจะเป็นคนที่ผ่านกรมภาษีหรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้ แต่ยืนยันว่าไม่มีสุญญากาศในกรมอย่างแน่นอน เพราะมีผู้ปฏิบัติราชการแทน” นายสมหมายกล่าวและว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร จะเป็นประธานประชุม อกพ.กระทรวงด้วยตัวเอง เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งโทษที่พิจารณามีเพียงปลดออกกับไล่ออก หากปลดออกจะได้รับเงินบำเหน็จบำนาญ ส่วนการไล่ออกนั้นจะไม่ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญ ซึ่งในเรื่องบทลงโทษ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้สอบถามและแสดงความเป็นห่วงว่าหากลงโทษไล่ออก ก็เกรงว่าในอนาคตจะไม่มีงานทำ เพราะบางคนอายุยังน้อย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2549 ป.ป.ช. ได้กล่าวโทษเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร 5 คน ได้แก่ 1.นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ รองอธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้น 2.นายวิชัย จึงรักเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร 3.น.ส.สุจินดา แสงชมภู นิติกร 9 4. น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ นิติกร 8 และ 5. น.ส.กุลฤดี แสงสายัณห์ นิติกร 7 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นการไม่เก็บภาษี และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา154 มาตรา 157 และมีความผิดวินัยร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรค 3 มาตรา 85 วรรค 2 และ มาตรา 98 วรรค 2

**ศิโรตม์อีเมล์อำลา ขรก.สรรพากร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (12 ธ.ค.) นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร 1 ใน 5 ผู้ที่ถูกกล่าวโทษ ได้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล์) ถึงข้าราชการกรมสรรพากร เนื้อหาในในจดหมายระบุว่า

"สวัสดีครับ ผมเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อกล่าวขอบคุณพวกเราชาวสรรพากรที่รักทุกคน ที่ได้ทำงานร่วมกันมาอย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยใจที่มุ่งมั่นต่อความสำเร็จขององค์กรอันเป็นที่รักของเรา ในช่วง 2 ปีเศษ ๆ ที่ผ่านมา มีทั้งทุกข์และสุขด้วยกัน ถ้าพบความผิดพลาด หรืออุปสรรคก็หาทางแก้ไขด้วยความสามารถ โดยไม่ได้มุ่งหาตัวการผู้เป็นต้นเหตุเพื่อลงโทษ หากแต่พยายามใช้เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นตัวอย่างเพื่อเรียนรู้จะได้ไม่ทำอีก ส่วนอีกด้านหนึ่งเมื่อประสบความสำเร็จก็รับทราบผลนั้นด้วยความภูมิใจ แต่ก็ไม่ลิงโลดจนเกินพอดี และทุกคนก็มีความสุขจากความสำเร็จที่เป็นกำลังใจให้ทำงานต่อไปอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย

ในวันแรกที่ผมมารับตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2547 ผมมีความมั่นใจในคุณภาพความสามารถและความสามัคคีของทีมสรรพากรอย่างไร ในวันนี้ผมก็ยิ่งมีความมั่นใจมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ดังนั้นไม่ว่าจะมีภารกิจใดที่เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร พวกเราก็ปฏิบัติได้จนสำเร็จทุกครั้งไป เพราะเราถือเป็นเรื่องปกติ ที่ต้องทำงานให้เสร็จ ถ้าไม่เสร็จก็ไม่เลิกทำ และเป็นการทำเสร็จแบบมีคุณภาพดีด้วย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรของเรา ทุกคนต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ดี

ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2550 ที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ชาวสรรพากรทุกคนรวมทั้งครอบครัวและมิตรสหายอันเป็นที่รัก มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย เพื่อทำกิจการทั้งปวงที่ปรารถนาให้สำเร็จอันจะนำมาซึ่งความปีติยินดีและเป็นการสร้างความสุขให้บังเกิดขึ้นด้วยกำลังของตนเอง เมื่อทำได้ดังนี้แล้วก็จะมีความความเจริญตลอดไป และ ลงท้ายว่า สวัสดี สวัสดี และสวัสดีครับ"

**"สมเกียรติ" ลั่นเอาผิดมติ ครม.อัปยศได้

วานนี้ (12 ธ.ค.) ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และอนุกรรมการหลายชุด ในวันเดียวกันนี้คณะทำงานพิจารณาข้อมูลกรณี รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมติครม.เมื่อวันที่ 11 ก.พ.46 เพื่อออก พ.ร.ก.แก้ไขภาษีสรรพสามิตในเรื่องสัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือ ที่มีนายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการ คตส.เป็นประธาน ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาข้อมูลทั้งหมด เพื่อส่งที่ประชุมใหญ่ คตส.พิจารณาในวันพุธ ที่ 13 ธ.ค.ว่าจะรับไว้ตรวจสอบหรือไม่ โดยได้มีการเชิญ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ นักวิชาการจากมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งเป็นผู้ที่จัดทำรายงานการวิจัยเรื่องการออกนโยบายและกฎหมายธุรกิจโทรคมนาคมในยุครัฐบาลทักษิณ ที่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 7.1 หมื่นล้านบาท มาให้ข้อมูลภาพรวมถึงเรื่องผลประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง

นายสมเกียรติ กล่าวภายหลังจากการชี้แจงว่า ได้มานำเสนอข้อมูลภาพรวมที่มาที่ไปของมติครม.วันที่ 11 ก.พ.46 ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงข้อมูลทั้งหมดว่า เมื่อคำนวนความเสียหายของรัฐจากการออกมติครม.ดังกล่าว ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ที่รัฐควรได้รับจนถึงขณะนี้เป็นเงิน 4 หมื่นล้าน โดยกรรมการ คตส.ก็ได้สอบถามถึงผลกระทบต่อธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศตนก็ได้ยืนยันต่อ คตส.ว่า เป็นการออกมติครม.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นมติ ครม.ที่เลือกปฏิบัติให้กับบริษัทเอกชน

อย่างไรก็ตามในส่วนของการที่จะยกเลิกมติครม.ดังกล่าวคงต้องอยู่ที่การตัดสินของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้รัฐได้เปรียบเอกชนและไม่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ

“ผมมั่นใจว่าเรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอมติครม.ได้ เพราะข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ชัดเจนแล้วว่าทำให้รัฐเสียผลประโยชน์อย่างไร แม้ข้อกฎหมายที่มาใช้ในการเอาผิดอาจจะซับซ้อน เพราะศาลรัฐธรรมนูญก็ตีความการออก พ.ร.ก.ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการสอบสวนจะต้องไปสอบสวนในประเด็นของการออกมติ ครม. ที่ไม่ชอบธรรม ซึ่งเป็นการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายชัดเจนที่ใช้ช่องทางของกฎหมายออกนโยบายเพื่อกีดกันผู้แข่งขันที่เป็นบริษัทเอกชนด้วยกันเองไม่ให้เข้ามาแข่งขันในตลาด เนื่องจากในวงการโทรคมนาคมทราบดีว่า ช่วงนั้นกำลังจะมีบริษัททำธุรกิจสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหม่เข้ามาในตลาด จึงมีความเป็นไปได้ที่การออกกฎหมายก็เพื่อต้องการกีดกันคู่แข่งรายใหม่ ซึ่งกรรมการ คตส.ก็ให้ความสนใจ แต่คงต้องแล้วแต่ คตส.ว่าจะตั้งอนุกรรมการตรวจสอบหรือไม่ ทว่าเรื่องนี้ความผิดชัดเจน ไม่เหมือนกับการจัดซื้อจัดจ้างที่การสอบสวนอาจยากกว่าด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีการซักทอดถึงกัน ก็ไม่อาจจเอาผิดใครได้"

นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส. กล่าวว่า ในการประชุม คตส.วันนี้ (13ธ.ค.) จะมีการรายงานถึงผลการตรวสอบข้อมูลเพิ่มเติมกรณีดังกล่าว ซึ่งต้องดูที่เจตนาว่าเป็นจริงหรือไม่ในการออกกฎหมายที่ทำให้ประชาชนไม่ได้โทรศัพท์ในราคาที่ถูกลง นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวหาว่าเป็นการรักษาการผูกขาดให้กับบริษัทเอกชน ซึ่งทำให้จุดประสงค์ที่จะให้บริษัทใหม่เข้ามาแข่งขันเพื่อให้ราคาค่าโทรศัพท์ถูกลงต้องล้มไป ต่อจากนี้จะต้องพิจารณาว่าจะมีความผิดเกี่ยวข้องในคดีอาญาหรือไม่เช่นกัน ตนเห็นด้วยที่นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีที จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมครม.ให้มีการแก้ไขมติครม.ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เพราะการออกพ.ร.ก.นี้ ไม่ได้เป็นการทำเพื่อเอาเงินเข้ารัฐ ซึ่งต้องตรวจสอบว่า ทำไมถึงไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายบริษัทเอกชนโดยตรง แต่มาแฝงเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะเป็นประเด็นในการตรวจสอบว่า จะเป็นการกีดกันการแข่งขันทางการค้าหรือไม่

"เรื่องบางเรื่องอาจไม่ต้องมีคนติดคุกในทุกเรื่อง เพราะสามารถแยกรับผิดเป็นทางแพ่งหรืออาญา และการแก้ความผิดทางกฎหมาย แต่ในภาพรวมอาจะเกิดในคดีเดียวกันก็ได้ อยากถามว่า ที่มาของการออกภาษีนี้ คุณคิดว่ามีมูลความผิดทางอาญา และความชั่วหรือไม่ ถ้าคิดว่ามีก็ต้องไปถกกันที่ประชุมคตส.ในวันที่ 13 ธ.ค."

**เผาเอกสารหวยบนดินหมดแล้ว

นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรอง คณะที่ 7 ซึ่งพิจารณาเรื่องหวยบนดิน ก่อนส่งเข้าครม. มาให้ข้อมูลให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าชี้แจงว่า คณะอนุกรรมการฯ ไม่ได้มีหนังสือเรียกตนมาชี้แจง แต่ได้ข่าวมาว่า คตส. ต้องการข้อมูลจากตน และไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้ติดต่อขอเข้าชี้แจงเอง โดยพร้อมให้ความร่วมมือกับ คตส.ทั้งนี้ เมื่อตนย้ายห้องทำงานหลังจากที่ต้องออกจากการเป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็ได้เผาเอกสารทิ้งหมดแล้ว แต่ถ้า คตส.ขออะไร แล้วนึกออกก็จะบอกให้คตส.ใช้อำนาจไปเอาเอกสารเหล่านั้นได้จากที่ไหน

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องที่จะเข้าครม.ได้เคยพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก่อนไม่มี มีแต่หลัง โดยเป็นเรื่องที่มาจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งตอนนั้นได้มีการออกหวยบนดินไปแล้วหลายงวด โดยสภาที่ปรึกษาฯเสนอเข้ามาว่า เงินที่จะใช้ ควรจะมีการควบคุมอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งคณะกลั่นกรองก็เห็นชอบหมด และเสนอครม. ซึ่งครม.ก็เห็นชอบตามนั้น คือห้ามขายในวัด และส่วนใหญ่จะเป็นการควบคุมการขายกับการเงินมากกว่า

นายวิษณุกล่าวภายหลังใช้เวลา 4 ชั่วโมง ชี้แจง คตส.ว่า ได้ชี้แนะ คตส.ไปว่าเอกสารบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการหวยบนดินอยู่ที่ไหนกับบุคคลใด เพราะหลังจากที่ตนออกจากตำแหน่งก็แจกไปบ้างทิ้งไปบ้างบริจาคไปให้ห้องสมุดบ้าง เพราะไม่คิดว่าจะใช้เอกสารพวกนี้อีกจึงไม่ได้เก็บไว้ ทั้งนี้ เชื่อว่าโครงการดังกล่าวไม่ได้ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องก่อนเข้า ครม.คณะใดเลย แต่เป็นวาระจรที่กระทรวงการคลังนำส่งให้ ครม.โดยตรง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายเรื่องที่ไม่ต้องผ่านคณะกรรมการกลั่นกรอง เพราะคณะกรรมการการกลั่นกรองมีงานเยอะมาก บางเรื่องต้องรอถึง 3 เดือน ก็ดึงเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ซึ่งการที่เสนอเรื่องเข้า ครม.โดยตรงถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมานานแล้ว เพราะคนที่เซ็นเรื่องเข้าไปคือนายกฯ ดังนั้นต้องไว้ใจในดุลพินิจของนายกฯ ความเคร่งครัดของนายกฯ แต่ละคนในการเซ็นวาระจรและวาระไม่จรเข้า ครม.นั้นจะไม่เหมือนกัน

เมื่อถามว่า หากมีการเสนอวาระจรออกเป็นมติครม.แล้วเกิดความผิดพลาดใครจะรับผิดชอบ อดีตรองนายกฯกล่าวว่า เรื่องความรับผิดของครม.ในรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เลยว่า ครม.ต้องรับผิดชอบร่วมกันในผลของการทำงาน แต่เป็นความรับผิดชอบต่อรัฐสภาแสดงว่าเป็นความรับผิดชอบทางการเมือง และจะต้องรับผิดชอบเป็นส่วนบุคคลในงานของกระทรวง ส่วนการรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นเรื่องที่ต้องไปดูกฎหมายเป็นฉบับๆหรือเป็นเรื่องๆไป ส่วนกฎหมายอาญาเป็นที่รู้กันว่าคนที่ผิดต้องเป็นผู้ทำเอง เป็นผู้ใช้ หรือเป็นผู้ที่สนับสนุนหรือโฆษณาซึ่งทั้งหมดต้องทำโดยเจตนา ดังนั้นต้องแยกความรับผิดชอบทางการเมืองและทางกฎหมายออกจากกัน และทางการเมืองเคร่งครัดกว่าทางกฎหมายมาก เพราะถึงคุณไม่เกี่ยวข้อง แต่คนนั่งอยู่ด้วยก็ต้องเกี่ยวข้อง

**ครม.แก้ พ.ร.บ.คดีอาญานักการเมือง

วันเดียวกัน นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีมติเห็นชอบให้แก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่อนุญาตให้แต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสร่วมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนักการเมืองได้ ว่า เป็นเรื่องที่สำนักงานศาลยุติธรรม ขอให้ ครม. แก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อรองรับคดีที่ คตส.และ ป.ป.ช. กำลังดำเนินการสอบสวน และเตรียมสรุปสำนวนให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่นายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกา และคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) เล็งเห็นว่า ปัจจุบันผู้พิพากษาศาลฎีกามี 87 คน ซึ่งจำนวนอาจไม่เพียงพอต่อการแต่งตั้งเป็นองค์คณะพิจารณาคดีการเมือง ที่อนาคต ปปช .และ คตส. อาจจะส่งสำนวนเข้ามาพร้อมกันจำนวนมาก ดังนั้นประธานศาลฎีกา จึงได้เสนอแนวทางต่อ ก.บ.ศ.ว่าสมควรแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกามาเป็นองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น