สหยูเนี่ยนวางกลยุทธ์รุกตลาดรองเท้ากีฬารับปีหมูเต็มสูบ โฟกัสทั้งแบรนด์ดี-แมคและไพร์เวต แบรนด์ ภายใต้งบลงทุน4 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวรองเท้า"Sport Culture"กลางปีหน้า พร้อมเล็งขยายช่องทางขายไปสู่ธุรกิจขายตรง ตั้งเป้าดันยอดขายปีหน้า170ลบ. ส่วนปีนี้คาดปิดยอดที่150 ล้านบาท ระบุค่าเงินบาทแข็งทำให้สินค้าแพงแต่วัตถุดิบถูกลง เผยขณะนี้ยังไม่มีแผนปรับราคา เพราะเพิ่งปรับขึ้นไปช่วงไตรมาส2ปีนี้ และราคาดี-แมคถูกกว่าแบรนด์ต่างชาติ 20% ส่วนปีหน้าจ่อคิวขึ้นราคาสินค้ารองเท้าพลัส 5-8%
นายชณา วสุวัต ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้ารองเท้ากีฬา ภายใต้แบรนด์ "ดี-แมค"(D-maQ) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี2550 บริษัทฯเตรียมให้ความสำคัญกับตลาด 2 กลุ่ม ประกอบด้วย แบรนด์ดี-แมค(Own Brand) ที่เน้นทำตลาดกลุ่มลูกค้าปลีกทั่วไป ซึ่งในปีหน้าบริษัทฯเตรียมใช้งบลงทุนกว่า 4ล้านบาทในการพัฒนาศักยภาพของรองเท้าดี-แมคให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยบริษัทฯเตรียมเปิดตัวสินค้าสปอร์ตแฟชั่นที่ใส่ในชีวิตประจำวันได้(Sport Culture) 4 รุ่นสำหรับผู้ชาย2รุ่นและผู้หญิง2รุ่น โดยระดับราคาประมาณ 1,000 กว่าบาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงกลางปีหน้า
ประกอบกับในปีหน้าบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับกลุ่มไพร์เวตแบรนด์(Private Brand) ที่เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรหรือตราสินค้ารายใดต้องการขยายสินค้ามายังกลุ่มรองเท้าก็สามารถนำแบบรองเท้าของดี-แมคที่มีกว่า 100 แบบมาเปลี่ยนเป็นแบรนด์หรือตราสินค้าของลูกค้า ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของกลุ่มนี้ยังน้อยคิดเป็นสัดส่วน5% ปีหน้าคาดว่าสัดส่วนจะเปลี่ยนไปเป็น20%
"ในปีหน้าบริษัทฯเตรียมพัฒนาช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยเรามีแผนขายสินค้าดี-แมคผ่านธุรกิจขายตรง เนื่องจากดี-แมคเป็นสินค้าที่มีเทคโนโลยีจึงต้องมีพนักงานคอยแนะนำ ซึ่งเบื้องต้นจะวางขายถุงเท้าดี-แมคก่อน ส่วนความคืบหน้าในขณะนี้ได้เริ่มเจรจากับบริษัทขายตรงขายไทย2-3รายได้ คาดว่าจะได้เห็นในช่วงกลางปีหน้า นอกจากนี้บริษัทฯยังเตรียมขยายช่องทางขายไปยังจังซีลอน,เอสพละนาร์ด และพรีเมียม เอาต์เล็ท 3 แห่ง ปัจจุบันช่องทางขายหลักจะเป็นซูเปอร์สปอร์ต,เดอะมอลล์ กรุ้ป,สปอร์ตเวิลด์ และพีน่ากรุ้ป"
สำหรับงบการตลาดในปีหน้าบริษัทฯ เตรียมใช้ 6.5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าใช้เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ใช้ไป 4.8ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะเน้นการทำสื่อประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ รวมถึงจัดกิจกรรมเพื่อสังคม
ปัจจุบันรองเท้าดี-แมคมีให้เลือก 9 กลุ่ม ได้แก่ รองเท้าสำหรับวิ่ง,แอโรบิก,แบดมินตัน,เทนนิส ,รองเท้าสำหรับเดิน(Walking) ,รองเท้าเด็ก,รองเท้าผู้หญิง ,รองเท้าครอส-เทรนนิ่ง และถุงเท้าและแผ่นรองเท้า โดยระดับราคาสินค้าดี-แมคจะอยู่ที่ 1,000-1,900 บาท ซึ่งถือว่าถูกกว่าแบรนด์จากต่างประเทศ20% ซึ่งช่วงต้นไตรมาสที่2ของปีนี้บริษัทฯได้ปรับราคาสินค้าขึ้นไป7-8% เพราะต้นทุนวัตถุดิบโดยเฉพาะปิโตรเคมีแพงขึ้น ในปีหน้าเตรียมปรับราคาสินค้ากลุ่มพลัสขึ้น5-8% ปัจจุบันกำลังผลิตรองเท้าดี-แมคอยู่ที่12,000 คู่ต่อเดือน ขณะที่กำลังผลิตรองเท้าของทั้งบริษัทฯมี 500,000 คู่ต่อเดือน
นายชณา กล่าวด้วยว่า ในส่วนตลาดต่างประเทศปัจจุบันมีสัดส่วนการขายน้อยหรือ5% ซึ่งช่วง2-3ปีที่ผ่านมาบริษัทฯเคยไปทำตลาดที่ฟิลิปปินส์และมาเลเซียพบว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ดังนั้นในช่วงนี้บริษัทฯ จึงเน้นทำตลาดในประเทศให้แข็งแกร่งก่อน จากนั้นถึงไปรุกตลาดต่างประเทศอีกครั้ง คาดว่าจะได้เห็นภายใน2-3ปีนี้
ส่วนกรณีที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้สินค้าของบริษัทฯ มีราคาสูงขึ้น ซึ่งตรงนี้บริษัทฯ จะยังคงราคาเดิมไว้และหันไปเน้นการเพิ่มคุณภาพของสินค้าแทน ทั้งนี้หากมองในทางกลับกันจะพบว่าผลดีของการที่ค่าเงินบาทแข็ง คือ วัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น หนังจะมีราคาถูกลง ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตหรือโออีเอ็มให้แบรนด์อื่นๆ เช่น ไนกี้ ซึ่งตรงนี้ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวบ้าง แต่ทางบริษัทฯ และไนกี้มีการเจรจาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราทุก 3 เดือน
สำหรับยอดรายได้ปีนี้บริษัทฯ คาดหวังปิดยอดที่ 150 ล้านบาทและคิดเป็นอัตราการเติบโต15% ส่วนปีหน้าคาดว่ายอดรายได้จะมีประมาณ170ล้านบาทและมีการเติบโต15% และปี2552จะมียอดขายที่ 200 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิกว่า8%ของยอดขาย
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจรองเท้ากีฬาในปัจจุบันมีมูลค่า 2,900 กว่าบาท และมีการเติบโต7-8% ซึ่งถือว่าโตน้อยกว่าทุกปีที่เติบโตปีละ10% เนื่องจากปีนี้ตลาดประสบปัญหาจากสถานการณ์ความไม่สงบทาง 3 จังหวัดภาคใต้, ภัยน้ำท่วม และภาวะเศรษฐกิจ ส่วนปีหน้าคาดการณ์ว่าตลาดรวมจะเติบโตที่5-7%
นายชณา วสุวัต ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้ารองเท้ากีฬา ภายใต้แบรนด์ "ดี-แมค"(D-maQ) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี2550 บริษัทฯเตรียมให้ความสำคัญกับตลาด 2 กลุ่ม ประกอบด้วย แบรนด์ดี-แมค(Own Brand) ที่เน้นทำตลาดกลุ่มลูกค้าปลีกทั่วไป ซึ่งในปีหน้าบริษัทฯเตรียมใช้งบลงทุนกว่า 4ล้านบาทในการพัฒนาศักยภาพของรองเท้าดี-แมคให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยบริษัทฯเตรียมเปิดตัวสินค้าสปอร์ตแฟชั่นที่ใส่ในชีวิตประจำวันได้(Sport Culture) 4 รุ่นสำหรับผู้ชาย2รุ่นและผู้หญิง2รุ่น โดยระดับราคาประมาณ 1,000 กว่าบาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงกลางปีหน้า
ประกอบกับในปีหน้าบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับกลุ่มไพร์เวตแบรนด์(Private Brand) ที่เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรหรือตราสินค้ารายใดต้องการขยายสินค้ามายังกลุ่มรองเท้าก็สามารถนำแบบรองเท้าของดี-แมคที่มีกว่า 100 แบบมาเปลี่ยนเป็นแบรนด์หรือตราสินค้าของลูกค้า ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของกลุ่มนี้ยังน้อยคิดเป็นสัดส่วน5% ปีหน้าคาดว่าสัดส่วนจะเปลี่ยนไปเป็น20%
"ในปีหน้าบริษัทฯเตรียมพัฒนาช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยเรามีแผนขายสินค้าดี-แมคผ่านธุรกิจขายตรง เนื่องจากดี-แมคเป็นสินค้าที่มีเทคโนโลยีจึงต้องมีพนักงานคอยแนะนำ ซึ่งเบื้องต้นจะวางขายถุงเท้าดี-แมคก่อน ส่วนความคืบหน้าในขณะนี้ได้เริ่มเจรจากับบริษัทขายตรงขายไทย2-3รายได้ คาดว่าจะได้เห็นในช่วงกลางปีหน้า นอกจากนี้บริษัทฯยังเตรียมขยายช่องทางขายไปยังจังซีลอน,เอสพละนาร์ด และพรีเมียม เอาต์เล็ท 3 แห่ง ปัจจุบันช่องทางขายหลักจะเป็นซูเปอร์สปอร์ต,เดอะมอลล์ กรุ้ป,สปอร์ตเวิลด์ และพีน่ากรุ้ป"
สำหรับงบการตลาดในปีหน้าบริษัทฯ เตรียมใช้ 6.5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าใช้เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ใช้ไป 4.8ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะเน้นการทำสื่อประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ รวมถึงจัดกิจกรรมเพื่อสังคม
ปัจจุบันรองเท้าดี-แมคมีให้เลือก 9 กลุ่ม ได้แก่ รองเท้าสำหรับวิ่ง,แอโรบิก,แบดมินตัน,เทนนิส ,รองเท้าสำหรับเดิน(Walking) ,รองเท้าเด็ก,รองเท้าผู้หญิง ,รองเท้าครอส-เทรนนิ่ง และถุงเท้าและแผ่นรองเท้า โดยระดับราคาสินค้าดี-แมคจะอยู่ที่ 1,000-1,900 บาท ซึ่งถือว่าถูกกว่าแบรนด์จากต่างประเทศ20% ซึ่งช่วงต้นไตรมาสที่2ของปีนี้บริษัทฯได้ปรับราคาสินค้าขึ้นไป7-8% เพราะต้นทุนวัตถุดิบโดยเฉพาะปิโตรเคมีแพงขึ้น ในปีหน้าเตรียมปรับราคาสินค้ากลุ่มพลัสขึ้น5-8% ปัจจุบันกำลังผลิตรองเท้าดี-แมคอยู่ที่12,000 คู่ต่อเดือน ขณะที่กำลังผลิตรองเท้าของทั้งบริษัทฯมี 500,000 คู่ต่อเดือน
นายชณา กล่าวด้วยว่า ในส่วนตลาดต่างประเทศปัจจุบันมีสัดส่วนการขายน้อยหรือ5% ซึ่งช่วง2-3ปีที่ผ่านมาบริษัทฯเคยไปทำตลาดที่ฟิลิปปินส์และมาเลเซียพบว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ดังนั้นในช่วงนี้บริษัทฯ จึงเน้นทำตลาดในประเทศให้แข็งแกร่งก่อน จากนั้นถึงไปรุกตลาดต่างประเทศอีกครั้ง คาดว่าจะได้เห็นภายใน2-3ปีนี้
ส่วนกรณีที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้สินค้าของบริษัทฯ มีราคาสูงขึ้น ซึ่งตรงนี้บริษัทฯ จะยังคงราคาเดิมไว้และหันไปเน้นการเพิ่มคุณภาพของสินค้าแทน ทั้งนี้หากมองในทางกลับกันจะพบว่าผลดีของการที่ค่าเงินบาทแข็ง คือ วัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น หนังจะมีราคาถูกลง ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตหรือโออีเอ็มให้แบรนด์อื่นๆ เช่น ไนกี้ ซึ่งตรงนี้ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวบ้าง แต่ทางบริษัทฯ และไนกี้มีการเจรจาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราทุก 3 เดือน
สำหรับยอดรายได้ปีนี้บริษัทฯ คาดหวังปิดยอดที่ 150 ล้านบาทและคิดเป็นอัตราการเติบโต15% ส่วนปีหน้าคาดว่ายอดรายได้จะมีประมาณ170ล้านบาทและมีการเติบโต15% และปี2552จะมียอดขายที่ 200 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิกว่า8%ของยอดขาย
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจรองเท้ากีฬาในปัจจุบันมีมูลค่า 2,900 กว่าบาท และมีการเติบโต7-8% ซึ่งถือว่าโตน้อยกว่าทุกปีที่เติบโตปีละ10% เนื่องจากปีนี้ตลาดประสบปัญหาจากสถานการณ์ความไม่สงบทาง 3 จังหวัดภาคใต้, ภัยน้ำท่วม และภาวะเศรษฐกิจ ส่วนปีหน้าคาดการณ์ว่าตลาดรวมจะเติบโตที่5-7%