มหาดไทยชง ครม.เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชราเป็น 500 บาทต่อเดือน เท่ากับเบี้ยยังชีพคนพิการและผู้ป่วยเอดส์
รายงานข่าวแจ้งว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้(12 ธ.ค.)กระทรวงมหาดไทย จะเสนอครม.พิจารณาอนุมัติหลักการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากเดิมคนละ 300 บาทต่อเดือน เป็นคนละ 500 บาทต่อเดือน เนื่องจากเงินส่งเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รับจำนวน 300 บาทไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ และสภาพค่าครองชีพในปัจจุบันจึงขออนุมัติหลักการเพิ่มเป็นคนละ 500 บาทต่อเดือน
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับหลักเกณฑ์เส้นความยากจน จากเดิม 922 บาทต่อคนต่อเดือน เป็น 1,243 บาทต่อคนต่อเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับค่าครองชีพประชาชนชาวไทยอยู่ในระดับอัตราที่สูง และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีกอย่างต่อเนื่อง เงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่รัฐจัดสรรให้อัตราคนละ 300 บาทต่อเดือน จึงไม่เพียงพอต่อการยังชีพ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เบี้ยยังชีพประเภทอื่น เช่น เบี้ยยังชีพคนพิการ และเบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ ปัจจุบันได้รับคนละ 500 บาทต่อเดือน จึงเห็นควรให้ปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพื่อเป็นอัตราเดียวกันทุกประเภท คือ 500 บาทต่อคนต่อเดือน
นอกจากนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ด้านนโยบายสังคม เรื่องการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นและประชาคมที่กำหนดให้ "สามรถจัดการตนเองเกี่ยวกับความเป็นอยู่ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การปกครอง และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนสิทธิชุมชน โดนส่งเสริมสถาบันของครอบครัว ชุมชน องค์กรอาสาสมัคร ภาคธุรกิจ สถานบันศาสนา รวมทั้งการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด อย่างจริงจังและต่อเนื่อง การดูแลเด็กและเยาวชน คนพิการ คนสูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส การสนับสนุนสิทธิสตรี ตลอดจนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน"
โดยคุณสมบัติของผู้สูงอายุที่จะได้รับการคัดเลือก ให้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคือ ผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ หรือถูกทอดทิ้งหรือขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู และไม่สามารประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ หากผู้สูงอายุมีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนกัน ให้พิจารณาผู้สูงอายุที่มีปัญหาซ้ำซ้อนสมควรได้รับการพิจารณาก่อนและผู้สูงอายุที่อยู่พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ยากต่อการเข้าถึงการบริการของรัฐ สมควรได้รับการพิจารณาในระดับต้น ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผู้สูงอายุที่จะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ให้ดำเนินการในลักษณะของคณะกรรมการระดับท้องถิ่นพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการระดับท้องถิ่นประกอบด้วย ผู้แทนศูนย์สงเคราะห์ราษฎรประจำหมู่บ้าย ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรผู้สูงอายุในชุมชน ผู้แทนองค์กรประชาสังคมและบุคคลที่น่าเชื่อถือในชุมชน
รายงานข่าวแจ้งว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้(12 ธ.ค.)กระทรวงมหาดไทย จะเสนอครม.พิจารณาอนุมัติหลักการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากเดิมคนละ 300 บาทต่อเดือน เป็นคนละ 500 บาทต่อเดือน เนื่องจากเงินส่งเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รับจำนวน 300 บาทไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ และสภาพค่าครองชีพในปัจจุบันจึงขออนุมัติหลักการเพิ่มเป็นคนละ 500 บาทต่อเดือน
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับหลักเกณฑ์เส้นความยากจน จากเดิม 922 บาทต่อคนต่อเดือน เป็น 1,243 บาทต่อคนต่อเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับค่าครองชีพประชาชนชาวไทยอยู่ในระดับอัตราที่สูง และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีกอย่างต่อเนื่อง เงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่รัฐจัดสรรให้อัตราคนละ 300 บาทต่อเดือน จึงไม่เพียงพอต่อการยังชีพ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เบี้ยยังชีพประเภทอื่น เช่น เบี้ยยังชีพคนพิการ และเบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ ปัจจุบันได้รับคนละ 500 บาทต่อเดือน จึงเห็นควรให้ปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพื่อเป็นอัตราเดียวกันทุกประเภท คือ 500 บาทต่อคนต่อเดือน
นอกจากนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ด้านนโยบายสังคม เรื่องการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นและประชาคมที่กำหนดให้ "สามรถจัดการตนเองเกี่ยวกับความเป็นอยู่ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การปกครอง และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนสิทธิชุมชน โดนส่งเสริมสถาบันของครอบครัว ชุมชน องค์กรอาสาสมัคร ภาคธุรกิจ สถานบันศาสนา รวมทั้งการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด อย่างจริงจังและต่อเนื่อง การดูแลเด็กและเยาวชน คนพิการ คนสูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส การสนับสนุนสิทธิสตรี ตลอดจนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน"
โดยคุณสมบัติของผู้สูงอายุที่จะได้รับการคัดเลือก ให้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคือ ผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ หรือถูกทอดทิ้งหรือขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู และไม่สามารประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ หากผู้สูงอายุมีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนกัน ให้พิจารณาผู้สูงอายุที่มีปัญหาซ้ำซ้อนสมควรได้รับการพิจารณาก่อนและผู้สูงอายุที่อยู่พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ยากต่อการเข้าถึงการบริการของรัฐ สมควรได้รับการพิจารณาในระดับต้น ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผู้สูงอายุที่จะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ให้ดำเนินการในลักษณะของคณะกรรมการระดับท้องถิ่นพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการระดับท้องถิ่นประกอบด้วย ผู้แทนศูนย์สงเคราะห์ราษฎรประจำหมู่บ้าย ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรผู้สูงอายุในชุมชน ผู้แทนองค์กรประชาสังคมและบุคคลที่น่าเชื่อถือในชุมชน