xs
xsm
sm
md
lg

ทวงภาษีลูกแม้ว 1.5 หมื่นล. จ้องฟัน"สมบัติ"ฐานปกปิดข้อมูล CTX

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อนุฯ คตส.ลงมติร่วมฟันภาษีโอ๊ค-เอมซื้อขายหุ้นชินคอร์ปกว่า 1.5 หมื่นล้าน แฉแผนซุกหุ้นเลี่ยงภาษีตัดตอนซับซ้อนเหมือนหนวดปลาหมึก พร้อมชง 4 ธุรกรรมฉาวขึ้นเขียง ด้านอนุฯ ซีทีเอ็กซ์ออกหนังสือเรียก "พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์" ชี้โทษฐานเตะถ่วงถึงติดคุก เผย "ซีทีเอ็กซ์-กล้ายาง" เสร็จก่อนสิ้นปี "นาม" วอนสังคมใจเย็น เพราะ รธน.ไม่เอื้อเหมือนสมัยจอมพลสฤษดิ์ "หม่อมอุ๋ย" เมินพักงานศิโรตม์ อ้างรอหนังสือ ป.ป.ช. สมหมายเล็งอธิบดีคนใหม่ ระบุศิโรตม์ไม่ต้องมาทำงานแล้ว

วานนี้ (8 ธ.ค.) ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีการประชุมคณะอนุกรรมการสอบสวนกรณีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มี นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะประธานอนุกรรมการตรวจสอบ เป็นประธานการประชุมฯ นายวิโรจน์ เปิดเผยว่า แม้การประชุมครั้งนี้ยังไม่สามารถที่จะสรุปเข้าสู่ที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่ได้ในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ เพราะมี 3-4 แขนง แต่ในชั้นนี้ได้มีการตกลงในหลักการร่วมกันว่า จะมีการเก็บภาษีย้อนหลังก่อน แล้วค่อยมาดูรายละเอียดการคำนวณภาษีอีกครั้ง ส่วนแนวทางการสอบสวนเป็นคนละกรณีกับกรณีของนาย บรรณพจน์ ดามาพงศ์ เนื่องจากมีการวางแผนตัดตอนซับซ้อนเหมือนหนวดปลาหมึก

รายงานข่าวระบุว่า การสรุปผลสอบสวนคดีเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป อนุกรรมการตรวจสอบมีการสรุปเป็น 4 ประเด็น พร้อมกับตั้งอนุกรรมการไต่สวน 4 คณะ ประกอบด้วย 1.กรณีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซื้อหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จาก นางสาวดวงตา วงษ์ภักดี คนรับใช้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำนวน 738 ล้านบาท เมื่อปี 2540 ซึ่ง คตส.ได้มีการตั้งอนุกรรการไต่สวน เพื่อดำเนินคดีทางอาญาต่อนายบรรณพจน์ กับพวกอีก 5 คนไปก่อนหน้านี้แล้ว 2.กรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ในปี 2543 ที่มีการทำธุรกรรมด้วยกันทั้งสิ้น 3 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน ขายหุ้นชินคอร์ปให้นายพานทองแท้ 73,395,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 150 บาท ทำให้นายพานทองแท้ ได้รับผลประโยชน์จาก “ส่วนต่าง” ราคาหุ้นเป็นเงิน 10,275 ล้านบาท ถ้าต้องจ่ายภาษีคิดเป็นเงินประมาณ 3,800 ล้านบาท ครั้งที่ 2 คุณหญิงพจมาน ขายหุ้นชินคอร์ปให้นายบรรณพจน์ จำนวน 26,825,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ขณะที่ราคาตลาด 150 บาท ทำให้นายบรรณพจน์ได้รับผลประโยชน์จาก “ส่วนต่าง” ราคาหุ้นเป็นเงิน 3,755 ล้านบาท ถ้าต้องจ่ายภาษีคิดเป็นเงินประมาณ 1,389 ล้านบาท และครั้งที่ 3 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นชินคอร์ปให้ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว 2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ขณะที่ราคาตลาด 150 บาท ทำให้นางยิ่งลักษณ์ได้รับผลประโยชน์จาก “ส่วนต่าง” ราคาหุ้นเป็นเงิน 280 ล้านบาท

3.กรณีการซื้อหายหุ้นชินคอร์ป ระหว่างนายพานทองแท้ ชินวัตร กับ น.ส.พิณทองทา ชินวัตรเมื่อปี 2545 จำนวน 376 ล้านหุ้น และ 4.กรณี นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ซื้อหุ้นชินคอร์ป จาก แอมเพิล ริช เมื่อต้นปี 2548 โดยเลี่ยงภาษี 15,802 ล้านบาท

**อนุฯ CTX รุกฆาตนายพลเตะถ่วง

นอกจากกรณีหุ้นชินคอร์ปแล้ว ยังมีการประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีนายอำนวย ธันธรา เป็นประธานอนุกรรมการฯ

นายต่อตระกูล ยมนาค โฆษกคณะอนุกรรมการ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมอนุมัติเอกสารเชิญ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาให้ข้อมูล และยืนยันผลการสอบสวนการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ ที่ดีเอสไอเคยสอบไว้ โดยเฉพาะเส้นทางการเงินที่เกี่ยวกับ นายวรพจน์ ยศะทัตต์ กรรมการบริหารบริษัท แพทริออต ในเช้าวันพุธที่ 13 ธ.ค.นี้ หากไม่มา ก็จะถือว่ากระทำผิด พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่อนุโลมให้ คตส.นำระเบียบดังกล่าวมาใช้ได้ โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท แต่เชื่อว่า พล.ต.อ.สมบัติ คงมาให้ข้อมูลอย่างแน่นอน เพราะได้มีการส่งหนังสืออย่างเป็นทางการไปถึงที่บ้านพัก

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเชิญอดีตอธิบดีดีเอสไอมาให้ข้อมูล เพราะดีเอสไอเคยสอบพบว่านายวรพจน์ เตรียมจะจ่ายเงินให้กับนักการเมือง และหยุดสอบหรือไม่ นายต่อตระกูล กล่าวว่า เป็นการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนทั้งหมดว่าเพราะเหตุใดถึงได้หยุดแค่นี้ และจะเป็นข้อมูลสำคัญให้ คตส.ดำเนินการง่ายขึ้น

นายต่อตระกูล เปิดเผยว่า ในวันที่ 15 ธ.ค.ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศที่เคยให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา จะมาให้ข้อมูลกับ คตส.ซึ่งจะทำให้ข้อมูลสมบูรณ์มากขึ้น จากนั้นนายอำนวย จะนำเข้าที่ประชุม คตส.เพื่อชี้มูลตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนในวันจันทร์ที่ 18 ธ.ค. โดยคดีนี้มีคนสำคัญเกี่ยวข้องด้วย เพราะหลังจากที่มีการทำงานของคณะอนุกรรมการฯ ได้มีข้อมูลจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และคนระดับสูงออกมาจำนวนมาก จึงไม่ใช่แค่จะจับผิดเฉพาะข้าราชการประจำ แต่จะเอาคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าหน้าที่ประจำออกมาให้ได้ รับรองได้ว่าไม่ผิดหวัง

**"นาม" เดือดถูกสรรพากรลองของ

นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. กล่าวถึงการตรวจสอบกรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ระหว่างบริษัทแอมเพิลริชกับนายพานทองแท้ และน.ส. พิณทองทา ชินวัตร จำนวน 326 ล้านหุ้นในราคา 1 บาท โดยกรมสรรพากร ยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าเข้าข่ายต้องจัดเก็บภาษีตามมาตรา 40 (8) แต่ทางอนุตรวจสอบฯ ของคตส. ที่มีนาย วิโรจน์ เลาหะพันธ์ เป็นประธานฯ มีความเห็นว่าจะต้องใช้มาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร จัดเก็บภาษี เนื่องจากนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา เป็นกรรมการบริษัทแอมเพิลริช แต่กรมสรรพกลับนิ่งเฉย ทำให้ คตส.หวั่นวิตกว่ากรมสรรพากร จะใช้มาตราผิดในการจัดเก็บภาษีทำให้ไม่สามารถประเมินภาษีใหม่ได้

"ในหลักการ ถ้า คตส.เห็นอย่างไร แล้วเสนอให้กรมสรรพากรดำเนินการ กรมสรรพากรจะต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ คตส.เสนอไป ถ้าไม่ทำตาม หรือมีความเห็นทางกฎหมายที่แตกต่างในการเก็บภาษี ก็ต้องให้ศาลสั่ง โดย คตส.จะส่งเรื่องให้อัยการสั่งฟ้องศาลเพื่อสั่งบังคับคดี โดยต้องมีการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม และมีการบังคับคดี ซึ่งกระบวนการของศาลยอมรับว่าจะต้องใช้เวลานานมาก เพราะศาลจะต้องเรียกทั้งโจกท์และจำเลยมาให้ปากคำ"

**จับทุจริตกล้ายาง-ซีทีเอ็กซ์สิ้นปี

สำหรับความคืบหน้าในการตรวจสอบของแต่ละคณะอนุกรรมการนั้นเท่าที่ทราบมีความชัดเจนแล้ว 2 โครงการ คือที่จะขอมติจาก คตส.เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่เกี่ยวข้องภายในเดือน ธ.ค.นี้ ประกอบไปด้วย โครงการการจัดซื้อกล้ายาง 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีนาย บรรเจิด สิงคะเนติ เป็นประธานอนุกรรมการ และโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่มีนาย อำนวย ธันธรา เป็นประธานอนุกรรมการ ส่วนกรณีการซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดา ระหว่างคุณ พจมาน ชินวัตร กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่มีนาย อุดม เฟื่องฟุ้ง เป็นประธานอนุกรรมการ เรื่องดังกล่าว ตนไม่สามารถตอบแทนประธานอนุกรรมการชุดนั้นได้

**เผยช้าเพราะไม่ใช่สมัย "สฤษดิ์"

เมื่อถามถึงความล่าช้าในการทำงานของ คตส.เมื่อเทียบกับการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่สามารถเอาผิดกับกรมสรรพากรฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ นายนามกล่าวว่า การทำงานของ คตส.จะต้องทำงานอย่างรอบคอบรัดกุมและชัดเจน ประกอบกับ คตส.เพิ่งเป็นหน่วยงานที่เพิ่งตั้งขึ้นมา ซึ่งต่างจาก ป.ป.ช.ที่มีการทำสำนวนมาก่อนที่กรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง9คนปัจจุบันจะเข้ามาทำงานตามประกาศของคณะทหาร ดังนั้น การปฏิบัติงาน คตส.จึงมีความจำเป็นจะต้องไปรวบรวมข้อมูลใหม่ทั้งหมดภายใน 1 ปีนี้ เพื่อสรุปสำนวนให้ศาลเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในชั้นสุดท้าย

“การทำงานครั้งนี้ไม่ได้มีอำนาจเหมือนรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา17 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีอำนาจเด็ดขาดที่สามารถสั่งยิงเป้า เพราะฉะนั้นถ้าต้องการทำงานให้เร็วคงจะต้องให้มีกฎหมายลักษณะดังกล่าวแต่ปัจจุบันไม่ได้มีกำหนดไว้ ทำให้เรื่องทั้งหมดจะต้องไปสิ้นสุดตามกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล” นายนามกล่าว

**อุ๋ยไม่พักงานศิโรตม์-รอหนังสือ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ยังไม่มีคำสั่งพักงานนายศิโรตม์ แต่จะหารือร่วมกับนายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ในฐานะกำกับดูแลกรมสรรพากร และนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อเตรียมขั้นตอนทางกฎหมายให้ถูกต้อง ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งหนังสือกล่าวโทษเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรทั้ง 5 คน มายังกระทรวงการคลัง

อย่างไรก็ตาม จะต้องรอสำนวนรายละเอียดจาก ป.ป.ช. ที่คาดว่าจะส่งมาถึงกระทรวงการคลังภายในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้น อนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อกพ.) กระทรวงการคลัง จึงจะสามารถพิจารณาบทลงโทษได้ โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเพิ่มเติม เพราะ ป.ป.ช.ถือเป็นคนกลาง ที่มีความแม่นยำทางกฎหมายอยู่แล้ว

สำหรับบทลงโทษเจ้าหน้าที่สรรพากรทั้ง 5 คนนั้น จะต้องพิจารณาประกอบกับสำนวนของ ป.ป.ช. เนื่องจากความผิดของเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 คน มีความแตกต่างกัน ดังนั้น จะต้องพิจารณาให้รอบคอบโดยจะต้องศึกษาเกี่ยวกับระเบียบให้ชัดเจน เพื่อตัดสินว่าควรจะลงโทษอย่างไร เพราะหากดำเนินการไม่ถูกต้องอาจถูกฟ้องต่อศาลปกครองได้

ส่วนประเด็นเรื่องมารยาทในการทำงานของนายศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร นั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ต้องไปสอบถามเจ้าตัวเองว่าสมควรที่จะยังทำงานที่กรมสรรพากรต่อไปหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายศิโรตม์ไม่สามารถตอบแทนได้

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวถึงประเด็นที่มีผู้ตั้งคำถามว่า ทำไมนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนายศิโรตม์ซึ่งเป็นรองอธิบดี กลับไม่มีการชี้มูลความผิดจาก ป.ป.ช. ว่า เป็นเพราะในหนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรผู้ที่ลงลายมือชื่อคือนายศิโรตม์ ป.ป.ช.มองว่า การดำเนินการที่เกิดขึ้นเป็นการดำเนินการโดยระดับปฏิบัติการ

**ชี้ศิโรตม์ไม่สมควรมาทำงานอีก

บรรยากาศที่กรมสรรพากร วานนี้ เวลาประมาณ 8.30 น. มีสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากไปดักสัมภาษณ์นายศิโรตม์พร้อมเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด โดยนายศิโรตม์ ไม่ได้เดินทางเข้ามาทำงาน มีเพียงรถประจำตำแหน่งเข้า มาจอดอยู่ที่หน้ากรมสรรพากรเท่านั้น ขณะที่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรได้เดินทางมาทำงานตามปกติและมีบางส่วนที่มีการจับกลุ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่รู้สึกเสียขวัญกับกรณีดังกล่าว

ด้านนายสมหมายยืนยันว่า ผู้ที่ถูกกล่าวโทษจาก ป.ป.ช. ตามมารยาทแล้ว ก็ไม่ควรมาทำงานแล้ว ในส่วนของข้าราชการกรมสรรพากร ขอให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีปัญหาในการทำงาน อย่างไรก็ตามโดยหลังจากนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร คงจะมีการแต่งตั้งคนมาดำรงตำแหน่งอธิบดี

"ตรงนี้ไม่ต้องห่วง เพราะกระทรวงการคลังก็มีคนเก่งๆ เยอะ ผมเข้าใจเพราะเคยเป็นข้าราชการมาก่อน ก็จะช่วยให้กำลังใจ และจะดูแลข้าราชการเป็นอย่างดีว่า ไม่ต้องหมดกำลังใจ ขอให้ทำงานกันต่อไป จากเรื่องที่เกิดขึ้น ก็คิดว่าหลายคนคงหมดกำลังใจ" นายสมหมายกล่าว

**ปปช.ส่งเชือดศิโรตม์ใน 2 สัปดาห์

วานนี้ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์ ป.ป.ช.จะสามารถส่งสำนวนการไต่สวนให้กระทรวงการคลัง และสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อพิจารณาดำเนินการทางวินัยและทางอาญาได้ โดยเหตุที่ต้องใช้เวลาถึง 1-2 สัปดาห์ เพราะมีเอกสารหลักฐานจำนวนมากที่เจ้าหน้าที่ต้องรวบรวม เพื่อเสนอไปพร้อมกับสำนวนการไต่สวน

"การลงมติชี้มูลเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.นั้น กรรมการป.ป.ช.ทุกคนมีความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน ไม่มีใครมีความเห็นขัดแย้ง เพียงแต่กรรมการ ป.ป.ช.บางคนขอให้เพิ่มรายละเอียดในบางจุด เพื่อให้หลักฐานมีความชัดเจนยิ่งขึ้น" น.ส.สมลักษณ์กล่าว

ทั้งนี้ ป.ป.ช. ได้กล่าวโทษเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร 5 คน ได้แก่ 1.นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ รองอธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้น 2.นายวิชัย จึงรักเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร 3.น.ส.สุจินดา แสงชมภู นิติกร 9 4. น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ นิติกร 8 และ 5. น.ส.กุลฤดี แสงสายัณห์ นิติกร 7 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นการไม่เก็บภาษี และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา154 มาตรา 157 และมีความผิดวินัยร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรค 3 มาตรา 85 วรรค 2 และ มาตรา 98 วรรค 2 โดยมีโทษต่ำสุดคือ ให้ออกจากราชการ และจะได้รับเงินบำเหน็จ และโทษสูงสุดคือ ไล่ออกจากราชการ ซึ่งจะไม่ได้รับเงินบำเหน็จ
กำลังโหลดความคิดเห็น