อัยการสูงสุด เตรียมส่งบัญชีพยานยาวเป็นหางเว้า ให้ตุลาการรัฐธรรมนูญใช้มัด ทรท.-ปชป.กับอีก 3 พรรคเล็ก ฐานทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มีโทษถึงขั้นยุบพรรควันนี้ คาดพิจารณาเสร็จก่อนมี รธน.ฉบับใหม่ ระบุแม้กรรมการบริหารพรรคจะลาออกจากพรรคที่จะถูกยุบ ก็ไม่พ้นผิด ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สนามหลวง วานนี้(7 ธ.ค.) นายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินการยุบ 5 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ว่า หลังจากที่อัยการสูงสุด (อสส.)ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยยุบพรรคการเมือง รวม 5 พรรค ต่อมาตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้กำหนดวิธีพิจารณาคดีแยกออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 พรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า โดยท้ายคำร้อง อสส.ยังได้ยื่นบัญชีรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อขอให้เพิกถอนสิทธิ การเลือกตั้ง 5 ปี ของกรรมการบริหารพรรคไปด้วยแล้วนั้น
ล่าสุด คณะทำงานอสส. ได้จัดทำบัญชีพยานเสร็จสิ้นแล้ว และจะยื่นต่อตุลการรัฐธรรมนูญในวันที่ 8 ธ.ค.49 โดยกลุ่มที่ 1 พรรคไทยรักไทยนั้น จะมีพยานบุคคลประมาณ 50 ปาก พยานเอกสารกว่า 300 ชุด และซีดีภาพอีก 30 แผ่น โดยศาลกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 3 ม.ค.50 และนัดสืบพยานทุกวันอังคาร เริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 16 ม.ค.2550 เป็นต้นไป คาดว่าน่าจะสืบพยานแล้วเสร็จอย่างช้าได้ ภายในเดือนพฤษภาคม 2550
สำหรับกลุ่มที่ 2 พรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้านั้น ได้เตรียมพยานบุคคลประมาณ 60 ปาก พยานเอกสาร 300 ชุด และซีดีภาพ 10 แผ่น โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 4 ม.ค.2550 และนัดสืบพยานทุกวันพฤหัสบดี เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.2550 เป็นต้นไป คาดว่าจะสืบพยานได้แล้วเสร็จอย่างช้า ภายในเดือนพฤษภาคมปีหน้าเช่นกัน
“ผมมั่นใจว่าคดียุบพรรคการเมืองน่าจะแล้วเสร็จก่อนรัฐธรรมนูญปี 2550 ประกาศใช้ คือน่าจะทันกับการเลือกตั้งครั้งใหม่อย่างแน่นอน” นายอรรถพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยลาออก หรือ ย้ายพรรคฯ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา เพื่อเลี่ยงการถูกเพิกถอนสิทธิ ทางการเมือง 5 ปีนั้น จะมีผลย้อนหลังหรือไม่ นายอรรถพล กล่าวว่า อสส.ได้แนบบัญชีรายชื่อกรรมการบริหารพรรคไปให้ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิ การเลือกตั้ง 5 ปีไปด้วย ประกอบกับเมื่อพิจารณาประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 27 มีสาระสำคัญว่า ไม่ว่ากรรมการบริหารพรรคจะลาออกหรือย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นก็ตาม กฎหมายย่อมจะมีผลใช้บังคับย้อนหลังได้ เพราะบุคคลเหล่านั้นเป็นกรรมการบริหารพรรคขณะเกิดเหตุ และคดีดังกล่าว ไม่ใช่เป็นความผิดทางอาญา แต่เป็นคำสั่งทางปกครอง จึงต้องรับผิด
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สนามหลวง วานนี้(7 ธ.ค.) นายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินการยุบ 5 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ว่า หลังจากที่อัยการสูงสุด (อสส.)ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยยุบพรรคการเมือง รวม 5 พรรค ต่อมาตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้กำหนดวิธีพิจารณาคดีแยกออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 พรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า โดยท้ายคำร้อง อสส.ยังได้ยื่นบัญชีรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อขอให้เพิกถอนสิทธิ การเลือกตั้ง 5 ปี ของกรรมการบริหารพรรคไปด้วยแล้วนั้น
ล่าสุด คณะทำงานอสส. ได้จัดทำบัญชีพยานเสร็จสิ้นแล้ว และจะยื่นต่อตุลการรัฐธรรมนูญในวันที่ 8 ธ.ค.49 โดยกลุ่มที่ 1 พรรคไทยรักไทยนั้น จะมีพยานบุคคลประมาณ 50 ปาก พยานเอกสารกว่า 300 ชุด และซีดีภาพอีก 30 แผ่น โดยศาลกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 3 ม.ค.50 และนัดสืบพยานทุกวันอังคาร เริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 16 ม.ค.2550 เป็นต้นไป คาดว่าน่าจะสืบพยานแล้วเสร็จอย่างช้าได้ ภายในเดือนพฤษภาคม 2550
สำหรับกลุ่มที่ 2 พรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้านั้น ได้เตรียมพยานบุคคลประมาณ 60 ปาก พยานเอกสาร 300 ชุด และซีดีภาพ 10 แผ่น โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 4 ม.ค.2550 และนัดสืบพยานทุกวันพฤหัสบดี เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.2550 เป็นต้นไป คาดว่าจะสืบพยานได้แล้วเสร็จอย่างช้า ภายในเดือนพฤษภาคมปีหน้าเช่นกัน
“ผมมั่นใจว่าคดียุบพรรคการเมืองน่าจะแล้วเสร็จก่อนรัฐธรรมนูญปี 2550 ประกาศใช้ คือน่าจะทันกับการเลือกตั้งครั้งใหม่อย่างแน่นอน” นายอรรถพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยลาออก หรือ ย้ายพรรคฯ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา เพื่อเลี่ยงการถูกเพิกถอนสิทธิ ทางการเมือง 5 ปีนั้น จะมีผลย้อนหลังหรือไม่ นายอรรถพล กล่าวว่า อสส.ได้แนบบัญชีรายชื่อกรรมการบริหารพรรคไปให้ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิ การเลือกตั้ง 5 ปีไปด้วย ประกอบกับเมื่อพิจารณาประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 27 มีสาระสำคัญว่า ไม่ว่ากรรมการบริหารพรรคจะลาออกหรือย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นก็ตาม กฎหมายย่อมจะมีผลใช้บังคับย้อนหลังได้ เพราะบุคคลเหล่านั้นเป็นกรรมการบริหารพรรคขณะเกิดเหตุ และคดีดังกล่าว ไม่ใช่เป็นความผิดทางอาญา แต่เป็นคำสั่งทางปกครอง จึงต้องรับผิด