ถามตอบรอบโลกวันนี้ อาสามาไขข้อข้องใจให้แก่คุณคิว ที่ต้องการให้เราช่วยไขปริศนาความสัมพันธ์ระหว่างต้นสนกับวันคริสต์มาสว่ามาเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตามตำนานฝั่งตะวันตกต้นสนเริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคริสตศาสนามาเป็นพันปีแล้ว โดยผู้ที่นำทั้ง 2 สิ่งมาร้อยโยงเข้าด้วยกันก็คือ เซนต์โบนิเฟซ นักบวชชาวเยอรมันผู้เลื่อมใสในศาสนาคริสต์ และพยายามชักจูงให้พวกนอกรีตในสมัยนั้นหันมาสู่อ้อมอกของพระเจ้า แต่ด้วยเพราะเป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆ กันมา จึงทำให้ตำนานนี้มีหลายเวอร์ชัน
บางตำนานเล่าว่า ต้นสนถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทน "ตรีเอกานุภาพ" กล่าวคือ ในสมัยนั้น เซนต์โบนิเฟซ พยายามแนะนำให้พวกนอกรีตได้รู้จัก "ตรีเอกานุภาพ" อันประกอบไปด้วย พระบิดา พระบุตร แลพระจิต และเห็นว่า ต้นสนซึ่งมีลักษณะรูปทรงออกแนวสามเหลี่ยมน่าจะใช้เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งนี้ได้
ขณะที่อีกตำนานหนึ่งระบุว่า เซนต์โบนิเฟซค้นพบว่า ต้นสน คือ สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองการเริ่มชีวิตใหม่โดยบังเอิญ ขณะที่เขากำลังตัดต้นโอ๊คของเหล่าพวกนอกรีตที่นับถือบูชาต้นไม้ประเภทนี้อยู่ โดยในระหว่างที่กำลังตัดต้นโอ๊ค เซนต์โบนิเฟซ พบกับความแปลกใจเมื่อมีต้นกล้าสนต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากรากของต้นโอ๊ค จากนั้น เขาก็ได้ยึดถือสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสรัทธาในศาสนาคริสต์
ต่อมาในสมัยอาณาจักรโรม ชาวคริสต์มีธรรมเนียมการตกแต่งบ้านเรือน และโบสถ์วิหาร ด้วยพฤกษาสีเขียวสดใสในช่วงเดือนธันวาคมที่ถือว่าเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง ซึ่งในฤดูหนาวเช่นนี้จะมีก็แต่ไม้ประเภทสนเท่านั้นมีดูดีมีชีวิตชีวามากกว่าใครเพื่อน ด้วยเหตุนี้ คนจึงนิยมนำมาประดับประดาตามสถานที่ต่างๆ
ทว่าในตอนนั้นก็ยังไม่มีใครนิยมนำต้นสนมาประดับประดาด้วยของกระจุกกระจิกและนำเข้ามาไว้ในบ้าน จวบจนกระทั่งในสมัย มาร์ติน ลูเธอร์ นักบวชหัวปฏิรูปในเยอรมนีซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 1483-1546 โดยเล่ากันว่า ในคืนหนึ่งของฤดูหนาวขณะที่ลูเธอร์กำลังเดินทางกลับบ้าน จู่ๆ เขาเหลือบมองขึ้นไปด้านบน และก็เห็นดาวกำลังทอแสงประกายอยู่บนฟ้าผ่านกิ่งต้นสน
เมื่อกลับถึงบ้านลูเธอร์เล่าเรื่องราวที่เขาได้พบให้ครอบครัวฟัง และเพื่อสาธิตให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เห็น เขาจึงไปตัดต้นสนเล็กๆ มาประดับด้วยเทียนที่ส่องแสงประกายเพื่อแทนแสงดาว จากนั้นธรรมเนียมดังกล่าวก็ถูกปฏิบัติต่อๆ กันมา และมีวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการตกแต่งต้นสนในช่วงเดือนแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส
ตามตำนานฝั่งตะวันตกต้นสนเริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคริสตศาสนามาเป็นพันปีแล้ว โดยผู้ที่นำทั้ง 2 สิ่งมาร้อยโยงเข้าด้วยกันก็คือ เซนต์โบนิเฟซ นักบวชชาวเยอรมันผู้เลื่อมใสในศาสนาคริสต์ และพยายามชักจูงให้พวกนอกรีตในสมัยนั้นหันมาสู่อ้อมอกของพระเจ้า แต่ด้วยเพราะเป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆ กันมา จึงทำให้ตำนานนี้มีหลายเวอร์ชัน
บางตำนานเล่าว่า ต้นสนถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทน "ตรีเอกานุภาพ" กล่าวคือ ในสมัยนั้น เซนต์โบนิเฟซ พยายามแนะนำให้พวกนอกรีตได้รู้จัก "ตรีเอกานุภาพ" อันประกอบไปด้วย พระบิดา พระบุตร แลพระจิต และเห็นว่า ต้นสนซึ่งมีลักษณะรูปทรงออกแนวสามเหลี่ยมน่าจะใช้เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งนี้ได้
ขณะที่อีกตำนานหนึ่งระบุว่า เซนต์โบนิเฟซค้นพบว่า ต้นสน คือ สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองการเริ่มชีวิตใหม่โดยบังเอิญ ขณะที่เขากำลังตัดต้นโอ๊คของเหล่าพวกนอกรีตที่นับถือบูชาต้นไม้ประเภทนี้อยู่ โดยในระหว่างที่กำลังตัดต้นโอ๊ค เซนต์โบนิเฟซ พบกับความแปลกใจเมื่อมีต้นกล้าสนต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากรากของต้นโอ๊ค จากนั้น เขาก็ได้ยึดถือสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสรัทธาในศาสนาคริสต์
ต่อมาในสมัยอาณาจักรโรม ชาวคริสต์มีธรรมเนียมการตกแต่งบ้านเรือน และโบสถ์วิหาร ด้วยพฤกษาสีเขียวสดใสในช่วงเดือนธันวาคมที่ถือว่าเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง ซึ่งในฤดูหนาวเช่นนี้จะมีก็แต่ไม้ประเภทสนเท่านั้นมีดูดีมีชีวิตชีวามากกว่าใครเพื่อน ด้วยเหตุนี้ คนจึงนิยมนำมาประดับประดาตามสถานที่ต่างๆ
ทว่าในตอนนั้นก็ยังไม่มีใครนิยมนำต้นสนมาประดับประดาด้วยของกระจุกกระจิกและนำเข้ามาไว้ในบ้าน จวบจนกระทั่งในสมัย มาร์ติน ลูเธอร์ นักบวชหัวปฏิรูปในเยอรมนีซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 1483-1546 โดยเล่ากันว่า ในคืนหนึ่งของฤดูหนาวขณะที่ลูเธอร์กำลังเดินทางกลับบ้าน จู่ๆ เขาเหลือบมองขึ้นไปด้านบน และก็เห็นดาวกำลังทอแสงประกายอยู่บนฟ้าผ่านกิ่งต้นสน
เมื่อกลับถึงบ้านลูเธอร์เล่าเรื่องราวที่เขาได้พบให้ครอบครัวฟัง และเพื่อสาธิตให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เห็น เขาจึงไปตัดต้นสนเล็กๆ มาประดับด้วยเทียนที่ส่องแสงประกายเพื่อแทนแสงดาว จากนั้นธรรมเนียมดังกล่าวก็ถูกปฏิบัติต่อๆ กันมา และมีวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการตกแต่งต้นสนในช่วงเดือนแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส