xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองไทยและการปฏิรูปหลังวันที่ 19 กันยายน 2549

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2540 รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญบางองค์กร โดยบางองค์กรก็มีการแต่งตั้งบุคคลอื่นขึ้นมาทดแทนโดยทำหน้าที่เดียวกัน จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้เกิดองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐเพื่อทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งได้แก่ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คมช. ) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ รัฐบาล สภาร่างรัฐธรรมนูญ 100 คน ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ซึ่งจะเกิดในอนาคตเช่นเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 หรือการรัฐประหารนั้น มีเหตุผลใหญ่ๆ คือ ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยอย่างรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมไทย การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบและเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องอย่างกว้างขวาง มีพฤติกรรมแทรกแซงอำนาจขององค์กรอิสระจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่หรือแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติให้ลุล่วงไปได้ หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ต่อไปจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองบางโอกาสยังหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชนชาวไทย

เหตุผลดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นคำถามที่ประชาชนต้องการคำตอบ และประชาชนต้องการเห็นความสัมฤทธิผลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ในเรื่องการทุจริตในการบริหารจัดการของรัฐบาลชุดก่อน ประชาชนต้องการเห็นผลการสอบสวนของ คตส.และนำผู้กระทำความผิดขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันคำมั่นสัญญาที่กล่าวว่าจะมีการปฏิรูปการเมือง และจะให้บ้านเมืองกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็วก็กลายเป็นการคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นการเลือกตั้งโดยไม่ช้ากว่าหนึ่งปี แต่ที่สำคัญจะต้องมีการปฏิรูปการเมืองด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้น ที่จะส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เช่น การขจัดการใช้เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งและกระบวนการการเมืองแบบน้ำเน่า การป้องกันและปราบปรามการทุจริต การป้องกันการละเมิดกฎหมาย และหลักนิติธรรม โดยทั้งหมดนี้คือการคาดหวังที่จะให้สังคมไทยกลับไปสู่ความเป็นปกติแต่ดีกว่าเดิม กล่าวคือ มีการเลือกตั้งที่ปลอดจากการใช้เงินซื้อเสียง ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีคุณภาพ มีคณะมนตรีที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถ ระบบราชการดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลตามหลักธรรมรัฐาภิบาล เศรษฐกิจดำเนินไปด้วยดี มีการลงทุนจากต่างชาติ และที่สำคัญที่สุดบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บรรเทาลง และมีทีท่าที่จะเจรจาโดยสันติ

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาเบื้องต้นคือการคาดหวังและต้องการของประชาชน คือการมีระบบการเมืองที่มีปฏิรูป บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด แต่คำถามใหญ่ก็คือ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งจะต้องขยายคำถามว่า

1. การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ท่ามกลางบริบท สภาพสังคมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมและกระบวนการทางการเมืองแบบเก่า

2. ผู้รับผิดชอบอยู่ในขณะนี้มีความเข้าใจ มีความรู้ มีความสามารถ ที่จะทำการปฏิรูปการเมืองได้หรือไม่

3. ผู้มีอำนาจอยู่ในขณะนี้ซึ่งเป็นผู้กำชะตาชีวิตและอนาคตของบ้านเมือง มีเจตจำนงที่แท้จริงที่จะทำการปฏิรูปการเมืองหรือไม่

1. ในแง่บริบททางการเมือง (political parameter) ซึ่งได้แก่ สภาพสังคมและเศรษฐกิจ และบรรยากาศทางการเมือง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในชนบทยังอยู่ในสภาวะที่ยากจน ไม่สามารถยืนหยัดอย่างมีความเชื่อมั่น มีเกียรติและศักดิ์ศรีได้ ขณะเดียวกันด้วยระดับการศึกษาที่ไม่สูง ด้วยข้อมูลที่ไม่เพียงพอ ด้วยระบบการคิดซึ่งขาดการวิเคราะห์อันเกิดจากระบบการศึกษาและวัฒนธรรมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้เหตุใช้ผล ทำให้ง่ายต่อการถูกชักจูงด้วยสำนวนโวหาร ด้วยความไว้วางใจ และด้วยผลประโยชน์ ประเด็นเรื่องการขายสิทธิ์ขายเสียง การใช้เงินซื้อเสียงจึงอยากที่จะแก้ไข ที่สำคัญบุคคลที่จนและเขลาย่อมมุ่งปรับปรุงสภาวะการดำรงชีวิตของตนให้ดีขึ้นด้วยการมองผลประโยชน์ระยะสั้น เห็นแก่อามิสสินจ้าง ซึ่งกลายเป็นเหยื่อของนักการโฉดที่อาศัยความอ่อนแอของสังคม ฉกฉวยประโยชน์ ใช้เงินซื้อเสียง เพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐ ในขณะเดียวกันวิธีการทางการเมืองแบบเก่าที่มีการจัดตั้ง มีหัวคะแนน มีการใช้เงินซื้อเสียง มีการให้สัญญาและผลประโยชน์ต่างตอบแทน การผนึกกำลังของกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น ประกอบกับข้าราชการที่เป็นฝักเป็นฝ่ายทางการเมืองพร้อมที่จะละเมิดกฎเกณฑ์ ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย สนับสนุนการโกงการเลือกตั้ง ฯลฯ ยังคงอยู่อย่างมั่นคง ทำให้สภาวะทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง อยู่ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิรูปการเมืองเพื่อสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย สภาพดังกล่าวนี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งยวด เพราะระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเปรียบเสมือนกับต้นไม้ที่พร้อมจะงอกงาม ออกดอกผลที่เป็นประโยชน์ แต่เมื่อปลูกลงในดินและอากาศที่ไม่เหมาะสมก็ยากที่จะเติบโต ดังคำกล่าวของนักวิชาการชาวละตินอเมริกาท่านหนึ่งได้กล่าวไว้นานแล้ว และนี่คืออุปสรรคที่สำคัญที่สุดของผู้ที่ต้องการปฏิรูปการเมือง

2. ผู้ที่จะปฏิรูปการเมืองและสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น ไม่จำกัดเฉพาะผู้ซึ่งรู้กฎหมายเพื่อจะร่างรัฐธรรมนูญและกฎกติกา และในแง่หนึ่งนักกฎหมายที่มีความสามารถในการร่างรัฐธรรมนูญนั้น ถ้ามองในแง่ทางเทคนิค การใช้ศัพท์แสงกฎหมายก็เป็นที่ยอมรับ แต่การสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีความรู้ในทางรัฐศาสตร์ ปรัชญาการเมือง มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตัวแปรพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืน การปฏิรูปการเมืองมิใช่อาศัยแต่การตรากฎหมายเท่านั้น ความรู้ความเข้าใจทางสภาวะสังคมและเศรษฐกิจ การรู้ถึงความจำเป็นของการพัฒนาจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย และวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในหมู่ประชาชน และที่สำคัญในหมู่ผู้นำ เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ ส่วนใหญ่การร่างรัฐธรรมนูญของนักกฎหมายจะออกมาในทางเทคนิคกฎหมายมากกว่าการเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงเนื้อในของสภาวะความเป็นจริงทางสังคม มุ่งเน้นการทำให้อุดมคติสัมฤทธิผลเป็นรูปธรรม

เมื่อมองจากรูปแบบของการมีสมัชชา 2,000 คน ลงคะแนนเสียงเลือกกันเองเหลือ 200 คน คัดโดย คมช.เหลือเพียง 100 คน ให้เป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ และสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้คัดเลือกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 25 คน บวกกับ 10 คนที่แต่งตั้งโดย คมช.จะเห็นว่าผู้ออกแบบนั้นคิดการณ์ไม่รอบคอบ ป้องกันเพียงข้อครหาว่าเป็นเผด็จการ จึงสร้างความชอบธรรมด้วยการเอาบุคคลจากภูมิหลังต่างๆ มาอยู่ในสมัชชาแห่งชาติ แต่ผลที่ออกมาทำให้ระบบดังกล่าวซับซ้อนยืดยาดเกินกว่าเหตุ และในบางส่วนก็ไม่สามารถปิดบังระเบียบวาระซ่อนเร้นได้ เช่น การคัด 200 คน เหลือเพียง 100 คนนั้นเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ ซึ่งก็หนีไม่พ้นข้อครหาว่าต้องการคัดเฉพาะบุคคลที่ยอมทำตามโผที่ร่างไว้ในรัฐธรรมนูญ ยิ่ง 10 คนที่ตั้งโดย คมช. ก็ยิ่งจะสร้างความแคลงใจและข้อครหามากยิ่งขึ้น

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้ชี้ถึงความไม่รู้หรือแสร้งไม่รู้ของผู้ออกแบบ และคาดการณ์ได้ว่าจะนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การสร้างความชอบธรรมตามแบบที่จะออกขึ้นนั้นเสียความชอบธรรมตั้งแต่แรกเริ่ม รัฐธรรมนูญที่ออกมาจึงยากที่จะมีความชอบธรรม และถ้าไม่ผ่านการลงประชามติก็จะถูกมองทันทีว่าเป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

3. จากที่กล่าวมาในข้อ 2 จึงนำไปสู่คำถามข้อที่ 3 ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งอำนาจขณะนี้มีความจริงใจในการปฏิรูปการเมืองหรือไม่ หรือต้องการจะสืบทอดอำนาจ หรือเพื่อการดำรงตำแหน่งอำนาจทางการเมืองต่อไป โดยหลายฝ่ายกำลังจับตามองว่ารัฐธรรมนูญที่ร่างออกมานั้นอาจจะถอยกลับไปสู่ระบบเดิม คือประชาธิปไตยครึ่งใบ โดยมีวุฒิที่มาจากการแต่งตั้งและนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจจะปรากฏชัดในรัฐธรรมนูญ หรืออาจจะเป็นบทเฉพาะกาลยกเว้นโดยการให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเป็น ส.ส. แต่มีบทเฉพาะกาลยกเว้นไว้ 2 ปี หรือ 4 ปี เป็นต้น ซึ่งถ้ากรณีเป็นเช่นนั้นก็มีแนวโน้มว่าต้องกลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2521 หรือ 2534 และในรัฐธรรมนูญปี 2534 ก็ได้นำไปสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่า พฤษภาทมิฬ เมื่อปี 2535 จนเสียชีวิตไป 40 กว่าคน และได้นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สำคัญ คือ นายกรัฐมนตรีต้องเลือกมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

การปฏิรูปทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในหนึ่งปีข้างหน้า จะเกิดขึ้นได้หรือไม่กำลังเป็นที่จับตามองของคนทั้งประเทศ การวิเคราะห์ว่าการปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้นก็อาจจะต้องมองจากการวิเคราะห์ที่กล่าวมาแล้วใน 3 ข้อข้างต้น และต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของความสำเร็จของการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งต้องประกอบด้วย

ก. สภาพสังคมและเศรษฐกิจเอื้ออำนวย เช่น คนมีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีระดับการศึกษาสูงในระดับหนึ่ง มีความตื่นตัวทางการเมือง

ข. โครงสร้างและกระบวนการซึ่งได้แก่รัฐธรรมนูญ ส่งเสริมประชาธิปไตย

ค. ประชาชนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำทางการเมือง มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย

การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมืองนั้นคือส่วนที่เป็นข้อ ข. แต่ถ้าข้อ ก. ยังเป็นอุปสรรคก็จะเกิดปัญหา ที่สำคัญคือข้อ ค. ถ้าผู้นำทางการเมืองอันได้แก่ นักการเมือง ยังอยู่ในวังวนของการเมืองแบบเดิม ต่อให้ข้อ ข. ดีแค่ไหนก็จะไม่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคข้อ ก. และข้อ ค. ได้

ข้อที่ต้องพึงระวังก็คือ ถ้ามีการพยายามสืบทอดอำนาจโดยประชาชนไม่เห็นด้วย เหตุการณ์ที่ไม่น่าพึงประสงค์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2535 ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และประเทศจะเสียหายอย่างมากจากเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นดังกล่าว นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย" ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น