xs
xsm
sm
md
lg

“ขี้เกียจ-ขี้โกง-ขี้โอ้อวด-ขี้อิจฉา : ประเทศชาติเหลือแต่กระดูก!”

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

“4 ขี้...!”

การออกมาปรารภถึงผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยของฝรั่งเศส ต่อบรรดาสมาชิกแนวร่วมของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ของผู้บัญชาการทหารบกและประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่สโมสรกองทัพบกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับสังคมไทยนั้น ประกอบไปด้วยบรรดา “4 ขี้...” นั้นกล่าวคือ คนไทยเป็นคนที่ “ขี้เกียจ-ขี้โกง-ขี้โอ้อวด-ขี้อิจฉา” ซึ่งฟังดูแล้วจะว่า “สะใจ” หรือ “ใช่เลย!” ก็คงไม่ผิดนัก แต่ที่แน่ๆ คือ “ฟังแล้ว...สะดุ้ง 2-3 ตลบ!”

เท่านั้นยังไม่พอ พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ได้กล่าวเพิ่มเติม “บรรยาย-ระบาย” ต่อมวลสมาชิก กอ.รมน.อีกด้วยว่า “อยากร้องไห้...เพราะประเทศชาติจะเหลือแต่กระดูก” ซึ่งเป็นคำพูดที่แสดงถึง “ความกังวล-ความห่วงใย” ต่อชาติบ้านเมือง เมื่อท่านผู้บัญชาการทหารบกและประธาน คมช. ได้ยินได้ฟังจากการรายงานและสนทนาพูดคุยของกลุ่มบุคคลจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดการเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ว่าในรัฐบาลชุดที่แล้ว ชุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมามี “การฉ้อราษฎร์บังหลวง-ทุจริต-โกง-ประพฤติมิชอบ” มากถึง 20 กว่าโครงการ และเป็นโครงการที่ปล่อยให้เกิดขึ้นเป็นไปตามแผนงาน “ประเทศชาติจะเหลือแต่กระดูก”

พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงความห่วงใยว่าเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ถึงกับ “นอนไม่หลับ-คิดมาก” ว่าชาติบ้านเมืองถึงขั้น “ผุพัง!” หนักหนาสาหัสเพียงนี้หรือ และขอย้ำอีกครั้งว่า “เหลือแต่กระดูก!”

ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “รากฐาน” ของสังคมไทยนั้น “วัฒนธรรมทั้ง 4 ข้อ” ที่สถาบันวิจัยของต่างชาติ คงมิใช่เพียงแต่เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้น ได้มีการศึกษาวิจัยและเผยแพร่มาอย่างยาวนานว่า คนไทยนั้น “ขี้เกียจ-ขี้โกง-ขี้อิจฉา-ขี้โอ้อวด” มาเป็นเวลานานแล้ว และคงมิใช่เกิดขึ้นแต่เฉพาะสมัยคุณทักษิณ “เรืองอำนาจ” หรือเพียงแต่สมัยคุณทักษิณนั้น “นิสัยสารพัดขี้!” ของคนไทยนั้น มัน “เวอร์!” และ “เกินขอบเขต!” มากกว่าเดิมและที่สำคัญคือ “หนักกว่าเดิม!”

ว่าไปแล้ว “คนไทย” ที่ “ยึดติด” อยู่กับ “เปลือก-กะพี้” มากกว่า “แก่นสาร-เนื้อหาสาระ” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “เปลือก :Superficial” และ “เนื้อหา-แก่นสาร : Substance” โดยที่มุ่งแต่ “เปลือก-ภายนอก” ที่ไม่ค่อยมีแก่นสาร จนเข้าทำนอง “ไร้สาระ!” ด้วยซ้ำไป

โดยหลักวิชาการแล้ว คนไทยนอกเหนือจาก “ยึดติด-เกาะติด” กับ “เปลือก!” มากกว่า “แก่นสาร” แล้ว ถ้าจะพูดกันอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า คนไทยนั้นทั้ง “แยกแยะ” ไม่ออกว่า “ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี” อยู่ที่ไหน และที่สำคัญ “คนรุ่นใหม่” จนถึง “คนรุ่นเก่า!” ก็แยกแยะไม่ออกเช่นเดียวกันว่า “ของจริง-ของปลอม” มีเส้นแบ่งอยู่ตรงไหน และ “อะไรเป็นอะไร!”

นอกเหนือจากนั้น คนไทยเป็น “คนฟุ้งเฟ้อ!” อย่างมาก เข้าทำนอง “ขี้โอ้อวด!” เนื่องด้วยคนไทย “แก่งแย่ง-ชิงดีชิงเด่น” แต่ที่เลวร้ายสุดๆ คือคนไทยนั้น “ฟุ้งเฟ้อ” บน “พื้นฐานปลอม!” กล่าวคือ สถานะความมั่นคงทางเศรษฐกิจมิได้มีหลักทรัพย์เงินทองที่แท้จริง แต่ด้วยความอยาก “โอ้อวด-มั่งมี” จึงต้องไป “กู้หนี้ยืมสิน” เงินทองมาเพื่อแสดงความใหญ่โตเพื่อ “โอ้อวด” ต่อสังคม จนบางราย “หนี้สินล้นพ้นตัว!”

ทั้งนี้ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เพื่อความเป็นธรรมจะมา “เหมารวม” คนไทยทั้งหมดก็คงไม่ได้ แต่ก็มีคนไทยจำนวนมาก ตั้งแต่ระดับล่างสูงถึงระดับบนจะมีพฤติการณ์และพฤติกรรมเช่นนั้น!

สังคมไทยเป็นสังคมเก่าแก่ และที่สำคัญเป็นสังคมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของ “ความสงบสุข” มากกว่า “สภาวะสงคราม” ในเชิงแบ่งแยกทั้งทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน กอปรกับเรามี “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่เป็น “พระบรมโพธิสมภาร” แผ่ปกคลุมให้ “ความสงบร่มเย็น” แก่พสกนิกรชาวไทย ตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัย มาจนถึงสมัยอโยธยาและแม้กระทั่งปัจจุบัน

เนื่องด้วย พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ยึดมั่นในหลักปรัชญาของ “ทศพิธราชธรรม” โดยเพียรพยายาม “สมานฉันท์” สังคมไทยให้มีเอกภาพมาโดยตลอด แม้กระทั่งฝรั่งมังค่า ชาวต่างชาติทั่วทุกสารทิศต่างอยู่เย็นเป็นสุขเมื่อได้เข้ามาประกอบอาชีพ ติดต่อค้าขายในประเทศไทย แม้กระทั่ง “ศาสนา” ทุกศาสนา พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็น “องค์ราชินูปถัมภ์” เรื่อยมา นับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมไทยร่มเย็น สงบสุขมาโดยตลอด

แต่ก็อาจมีบ้างที่เกิดสภาวะสงครามที่ก่อให้เกิด “การตกเป็นเมืองขึ้น” แก่ประเทศเพื่อนบ้าน และแก่งแย่งดินแดนไปในยุคล่าอาณานิคม แต่สังคมไทยไม่เคยเป็น “ดินแดนมิคสัญญี” เหมือนดั่งเช่นประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” นั้นเป็นโครงสร้างและรากฐานสำคัญของ “ความมั่นคง” ในแผ่นดินไทย

จากกรณีประวัติความเป็นมาข้างต้น จึงทำให้คนไทยนั้นมี “การดำรงชีพ-ดำเนินชีวิต” ที่ไม่ต้อง “ดิ้นรน-ต่อสู้” มากมายนัก พร้อมกับผืนแผ่นดินไทยอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้มีการเรียกขาน “วิถีชีวิต” คนไทยว่า “ในน้ำมีปลา-ในนามีข้าว” จึงก่อให้เกิด “ความอิ่มหนำสำราญ” ในหมู่คนไทยทั้งปวงและนั่นจึงเป็นที่มาของอุปนิสัยใจคอคนไทยที่ “โอบอ้อมอารี-เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่” ซึ่งล้วนเป็น “ระบบอุปถัมภ์” ทั้งสิ้น

จริงๆ แล้วไม่อยากที่จะกล่าวเลยเถิดไปว่า “คนไทยขี้เกียจ!” แต่ความจริงก็ต้องกล่าวเช่นนั้น ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยต่างชาติ และแน่นอนคือ คนไทย “รักสบาย” เนื่องด้วย “ชีวิตไม่เคยลำบาก!” นอกจากนั้น เราเคยเห็นคนไทย “อดตาย!” หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ไม่เคยเห็น” เหมือนดั่งเช่นบางชาติในทวีปแอฟริกา

ส่วนนิสัย “ขี้โกง” นั้น ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “ขี้โกง!” เป็นรากฐานของสังคมไทยที่เรียกว่า “ขุดรากถอนโคน!” ยาก เนื่องด้วยคนไทย “ไร้วินัย” ทั้งๆ ที่เป็น “สังคมพุทธ” เสียส่วนใหญ่ แต่คนไทยจำนวนมาก “ขาดหิริโอตตัปปะ!” กล่าวคือ ไม่ค่อยเกรงกลัวและละอายต่อบาป ถ้าฝ่าฝืนระเบียบได้ “โกงนิดหน่อย” กลับกลายเป็นเรื่อง “เท่ห์” อาทิ โกงข้อสอบ ฝ่าไฟแดง ทำผิดระเบียบเล็กๆ น้อยๆ กลับถูกกล่าวชื่นชมว่า “เก่ง” จากเพื่อนฝูง วงศาคณาญาติ ซึ่งวัฒนธรรมเช่นนี้ต้องค่อยๆ ช่วยกันแก้แล้ว “ประณาม” พร้อม “สั่งสอน” ว่า “ไม่ถูกต้อง!”

คนไทยไม่ค่อย “ละอายแก่ใจ!” เมื่อกระทำความผิด แต่วัฒนธรรมตะวันตกนั้น ส่วนใหญ่จะ “ละอายแก่ใจ” เนื่องด้วยสังคมเขาเป็นสังคมเคารพกฎเกณฑ์ ดังนั้น “การโกง” ในหมู่นิสัยคนไทยนั้น ต้องขอกล่าวอย่างละอายใจว่า “เป็นเหตุการณ์ปกติ!” จนถึงขั้น “ไม่รู้สึกรู้สา!” ใดๆ ทั้งสิ้น เท่านั้นยังไม่พอ “ยิ่งโกงจนเคยชิน” จน “โกงมาก” ถึงขั้นมีการรายงานจาก คตส. ว่า “ถ้าไม่จัดการ ประเทศชาติจะเหลือแต่กระดูก”

ว่ากันอย่างเป็นธรรม “รัฐบาลทุกรัฐบาล” นั้น “โกง” กันมาโดยตลอด ซึ่งเกิดจาก “สามภาคส่วน” สำคัญคือ “นักการเมือง-ข้าราชการ-นักธุรกิจเอกชน” ที่ต้องการให้ได้มาซึ่ง “อภิสิทธิ์” และ “ชนะการประมูล” จึงต้องมีการ “วิ่งเต้น-เงินใต้โต๊ะ-ใต้ดิน” มิเช่นนั้น “ชวด!”

เพียงแต่ว่า รัฐบาลชุดที่แล้ว จากข้อมูลที่ประมวลมาได้นั้น พร้อมการติดตาม ตรวจสอบของทั้ง “คตส. - ป.ป.ช. - สตง.” ก็ค่อยๆ แพลมข้อมูลว่า “มีการซุกซ่อน” ด้วยการโกงภาษี จำนวนหลายร้อยหลายพันล้านบาท ตลอดจนสารพัดโครงการอภิมหาโปรเจกต์นั้น ต้องมีการกินเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 5 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และบางโครงการจะมี “การกินค่าคอมฯ” จนสูงถึงร้อยละ 30 เพราะต้องจ่ายกันจากระดับ “เจ๊” ไปจนถึงระดับ “นายหญิง!”

“ซุกภาษี-กินค่าคอมฯ” เท่านั้นยังไม่พอ “หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจ” ที่ “แปรรูป” ไปเป็น “บริษัทมหาชน” นั้นก็ถูกรุกคืบส่ง “นอมินี-ตัวแทน” เข้าไปกว้านซื้อหุ้นจำนวนมาก จนกลายเป็น “เจ้าของตัวจริงเสียงจริง” มิใช่เป็นแบบ “มหาชน” แต่ประการใด ไม่ว่าเครือข่าย “พลังงานน้ำมัน-การสื่อสาร” ถูก “ฮุบ!” ไปเรียบร้อยแล้ว ยังโชคดีที่คนไทย “รู้ทัน” เสียก่อนที่ “รัฐวิสาหกิจสายสาธารณูปการ-สาธารณูปโภค” โดยเฉพาะ “ประปา-ไฟฟ้า" ยังถูกสต๊อปไว้ทัน มิเช่นนั้น “เมืองไทยทั้งประเทศ”

ถามว่า “น้ำลดตอผุดหรือ?” คำตอบก็คือ “ใช่-ไม่ใช่!” เนื่องด้วยกระบวนการตรวจสอบ และ “เฝ้าระวัง” ติดตามพฤติการณ์พฤติกรรม “กลุ่มการเมืองปากกว้างตาหยี” และ “คนรวยโคตรโกง!” นี้ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะอย่าลืมว่า “ความลับไม่มีในโลก” เพียงแต่รอวันคืนที่ต้อง “เช็กบิล!” กับ “นักการเมืองกินชาติ!” เหล่านี้ว่าจะ “อหังการ” ให้จนจับได้แค่ไหน

ทั้งนี้ มีผู้คนจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลปัจจุบันเป็น “รัฐบาลขิงแก่!” และตั้งความหวังไว้สูงกับทั้ง “คมช.-รัฐบาล” ซึ่งอาจจะไม่ “สะใจ-พอใจ” กับการทำงานที่ต้องยอมรับว่าเป็นไปตาม “ขั้นตอนกฎหมาย” พร้อมทั้งเป็น “ประชาธิปไตย” ทั้งๆ ที่ยังคงมี “กฎอัยการศึก”

สมมติว่าเราไม่มี “รัฐบาลขิงแก่” และ “คมช.” มาสกัดกั้น “ขบวนการฮุบชาติ!” ถามว่า เมื่อรัฐบาลชุดที่แล้ว “โกงกินชาติ” เกือบเหลือแต่กระดูกและถ้าปล่อยให้ “นักกินชาติ” เหล่านั้น “เรืองอำนาจ-เหิมเกริม” อีกต่อไป ชาติบ้านเมืองมิต้องอยู่ในโลงเหลือแต่โครงกระดูกหรือ!

เพราะฉะนั้น การที่เรามี “ขิงแก่” มา “ขวางลำ” บรรดา “นักโกงกินเมือง” อย่างนักธุรกิจการเมืองตาหยี-ปากกว้าง อย่างชุดที่แล้วที่ “โกงกินหนักที่สุด!” เราจึงต้องให้ “โอกาส-เวลา” และ “ขอบคุณ” กลุ่มผู้ก่อการชุดนี้ที่พยายาม “ชุบ-ขุน” ประเทศไทยให้กลับมามีชีวิตและอ้วนท้วนใหม่!

“แสงแดด” ค่อนข้างพึงพอใจว่า “คมช.-รัฐบาล” ชุดปัจจุบันมิ “ขี้โอ้อวด!” และได้โปรดอย่าให้ “ไอ้คนขี้อิจฉา-ขี้โกง” กลับมาอาละวาดใหม่เป็นดีที่สุด!
กำลังโหลดความคิดเห็น