พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เพิ่งกลับมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ที่ทางทหารของไทยกำหนดคำย่อว่า "สปปจ." ในระหว่างที่อยู่ในจีน "บิ๊กจิ๋ว" ได้มีภารกิจที่เป็นคุณ ทั้งแก่ตัวเองและประเทศชาติอยู่โดยตลอด มิได้ทำอะไรที่เป็นโทษ เช่น ได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หน้าเหลี่ยมพเนจร ไม่ว่าจะโดยเห็นหน้าหรือว่าไปออกรอบตีกอล์ฟกัน เพราะนอกจากจะเป็นโทษสำหรับการพบหรืออยู่ใกล้ "ทักษิณ" แล้ว,
ทางการของจีนได้จัดฐานะของ พล.อ.ชวลิต ไว้อยู่ในระดับแขกเมืองคนสำคัญระดับผู้นำประเทศ (มิใช่อดีตผู้นำ) ส่วน "ทักษิณ" นั้น อยู่ในฐานะของอดีตผู้นำที่หมดอำนาจไปแล้ว การไปจีนของหน้าเหลี่ยมพเนจร ถือว่าเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้ลักลอบเข้าเมือง และทางการจีนไม่ห้ามปรามการเข้าเมือง ยอมรับพาสปอร์ตทางการทูตที่ถืออยู่ ก็นับว่าเป็นเกียรติแล้ว
จะกินจะอยู่จะไปไหนมาไหนเป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง ควักกระเป๋าจ่ายเงินเอง โดยทางการจีนไม่ได้ออกเงินให้สักหยวนหรือสักอีแปะ และไม่มีอะไรที่เป็นทางการเลย
ดูเหมือนว่า ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการในเชิงข่าว เพื่อผลทางจิตวิทยา เป็นการปลุกกระแสยอมรับการเคลื่อนไหว เป็นกุนซือที่มีฝีมือพอควร จากการที่ทำให้ "ทักษิณ" ได้ประโยชน์จากการเดินทางไปจีนของ "บิ๊กจิ๋ว" ที่ได้กระพือว่า มีโอกาสจะได้พบกัน และจะออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน โดยผสมไปกับประเด็นร้อนที่ พล.อ.ชวลิต เคยหลุดปากว่า ถ้าหาก "ทักษิณ" จะกลับมาก็เป็นไรไป เพราะเป็นคนไทยมีสิทธิจะกลับบ้านได้ มาอยู่เสียที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ให้อยู่ในสายตาจะดีกว่าปล่อยให้ไปโผล่ที่โน่นที่นั่น ซึ่งเป็นการตอบนักข่าวแบบผู้ใหญ่ ซึ่งไม่สามารถจะพูดว่า-อย่ากลับมา หรือเข้ามาไม่ได้ และแม้ว่าจะพูดอย่างนั้นไปตามมารยาทและฐานะ ก็รู้อยู่แล้วว่า จะพูดอย่างไร "ทักษิณ" ก็ยังไม่ได้กลับไทย ต้องรออีกนานมาก
พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเคยทำงานกับ พล.อ.ชวลิต มาที่ ศปก.ทบ.315 ตั้งแต่ พล.อ.วินัย เป็น "ร้อยเอก" ได้เคยกล่าวว่า พล.อ.ชวลิต เป็นคนคิด 3 ชั้น ทำอะไรเดินหมาก 3 ชอต ต้องตามให้ทัน
ซึ่งมาปรากฏภายหลังว่า ที่พล.อ.ชวลิต พูดถึงการกลับของ "ทักษิณ" นั้น คือการส่งสัญญาณว่า-ไม่ให้กลับ หรือกลับยังไม่ได้, จากการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้รับลูกทันทีเพราะคิดตามไม่ทัน โดยพล.อ.สุรยุทธ์ มีโอกาสที่จะได้พูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ควรกลับไทย จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งเรียบร้อยเสียก่อน จึงควรจะคิดกลับ และมีเสียงสำทับซ้ำมาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่า เขาก็เคยไปอยู่เดนมาร์กสมัยปฏิวัติ รสช.มีความรู้สึกอย่างเดียวกับ "ทักษิณ" แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เสริมว่า การคิดจะกลับไทยนั้น ต้องคิดให้รอบคอบเพราะมีคดีรออยู่ถึง 12 คดี-กลับมาก็มีประตูคุกรออยู่
ถ้าหาก "บิ๊กจิ๋ว" ไม่ได้เขี่ยลูก นายกฯ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็คงจะพูดแบบปิดประตูใส่หน้าเช่นนั้นไม่ได้ และ "เหลิมดาวเทียม" ก็จะไม่ได้กล่าวถึง 12 คดีที่รอผู้ต้องหาชื่อ "ทักษิณ" เช่นกัน
การไปจีนของ พล.อ.ชวลิต ระหว่างวันที่ 20-24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้, คนที่คิดให้ "ทักษิณ" เกาะชายเสื้อ ด้วยการสร้างยุทธการข่าว ว่าจะได้พบกัน และเล่นกอล์ฟด้วยกัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะฉลาดที่จะใช้ "บิ๊กจิ๋ว" เป็นผู้สร้างน้ำหนักเรื่องการกลับไทย, แต่แล้วก็กลายเป็นผลร้ายทางจิตวิทยาต่อ "ทักษิณ" เอง เพราะมีการออกรอบเล่นกอล์ฟจริง แต่พล.อ.ชวลิต เล่นกับระดับนำของพรรคคอมมิวนิสต์และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของจีนเท่านั้น และเล่นกันได้เพียง 6 หลุมก็เลิก เพราะไม่มีเวลาพอ หรือหลุมที่ 7 ไปถึงหลุมที่ 18 นั้น จะมีคนชื่อ "ทักษิณ" ไปรออยู่? และสิ่งที่สำคัญที่สุด อันเป็นการทำร้ายจิตใจและความรู้สึกของหน้าเหลี่ยมพเนจรเอง ก็คือ ได้เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน โดยที่ตัวเองต้องรู้ฐานะของตัวเองว่า เวลานี้, เป็นผู้ที่นอกจากจะตกทุกข์แล้ว ยังต่ำต้อยด้วย เพราะทางจีนไม่ให้ความสำคัญอะไร แต่กลับไปให้ความสำคัญกับ พล.อ.ชวลิต เป็นอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยมาเหมือนกัน แต่คนหนึ่งพ้นตำแหน่งด้วยการลาออก แสดงความรับผิดชอบต่อการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ อีกคนหนึ่งถูกประชาชนและทหารขับไล่ไม่ให้เข้าประเทศ, เมื่อมีการเปรียบเทียบกันโดยภาพที่เกิดขึ้นพร้อมกันในจีนเช่นนี้ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความคิดที่กัดกร่อนจิตใจ อยู่ในภาวะตรอมใจของหน้าเหลี่ยมพเนจรเอง ว่า-ไร้ค่าแล้ว ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ซุนวู หรือ ซุนหวู่ หรือ ซึงจื้อ เขียนตำรารบไว้ในราชวงศ์จิว รวม 13 บท มีอยู่บทหนึ่งชื่อว่า "กินข้าวของข้าศึก" และในภาษาจีนฮกเกี้ยนคำว่า "จิ้น" นั้น ภาษาแต้จิ๋วว่า "ชิ้น" ภาษากลางว่า "ฉิน" หรือ "ชิน" คนนามสกุล "ชิน-วัตร" นั้นเหมือนกับการกลับสู่ถิ่นของบรรพบุรุษ จากการเป็นผู้มากเหลี่ยมจนออกมาเป็นรูปใบหน้าเช่นนี้ ย่อมต้องศึกษาตำรารบของซุนหวู่ และนำกลศึกบทที่ว่า "กินข้าวของข้าศึก" มาใช้ในกรณีของ "บิ๊กจิ๋ว" ไปเมืองจีน แต่ดูเหมือนว่าจะรู้ทันกัน จึงอดข้าวไป-พร้อมกับได้รับคำสอนบทที่ว่า "ถ้ารู้ว่ารบแพ้ อย่ารบ" ซึ่งซุนหวู่เขียนไว้เช่นกัน
พล.อ.ชวลิต ไปจีนตามคำเชิญของ พล.อ.เฉา กัง ฉวน รองประธานกรรมาธิการทหารหรือกรรมาธิการกลาโหมกลาง พรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลจีนอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งตามปกติแล้ว ผู้เป็นกรรมาธิการทหารในพรรคจะไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล เพราะกรรมาธิการทหารนั้นควบคุมกิจการทหารทั้งหมดไว้แล้ว, ในการเดินทางครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีตำแหน่งอะไรอย่างเป็นทางการ แต่ทางจีนได้ต้อนรับอย่างเป็นทางการใน ระดับพรมแดง (Red Carpet) เทียบเท่าผู้นำประเทศ และจัดนายทหารชั้นนายพลมาประจำคณะ จัดเครื่องบินพิเศษเป็นไอพ่นขนาดกลางมาให้ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางอีก 1 ลำ เพราะถือว่าความสำคัญอยู่ที่ตัวตน มิใช่ตำแหน่ง และในการเดินทางครั้งนี้ ทางพล.อ.ชวลิต ได้แจ้งให้ทางรัฐบาลและทหารได้ทราบด้วย เพราะมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพไทย ทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยที่เป้าหมายใหญ่จะอยู่ที่การไปเยือนด่านพรมแดนจีนกับเวียดนามคือ ด่าน "โหย่ว หยี กวน" ซึ่งมีความสำคัญต่อ พล.อ.ชวลิต มาก
นสพ.ผู้จัดการรายวัน เป็นคนแรกที่เปิดเผยความลับ (ที่สุด) ว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2522 นายทหารไทย 3 คน ซึ่งทำหนังสือลาออกจากราชการ และได้รับอนุมัติการลาออกแล้ว ได้เดินทางอย่างลับๆ ไปจีน ได้พบกับ "เติ้ง เสี่ยว ผิง" ผู้นำของจีนในขณะนั้น ได้มีการบรรยายสรุปสถานการณ์ที่ไทยเผชิญอยู่ว่า
"การที่เวียดนามใช้กำลังถึง 20 กองพล เข้าปฏิบัติการในเขมร ทำให้พิจารณาได้ว่า การใช้กำลังมากขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นการใช้กำลังดังกล่าว เพียงเพื่อขับไล่รัฐบาลเขมรแดง-พอลพต ออกจากพนมเปญ แต่เป็นการใช้กำลังเพื่อคุกคามไทย ในการผนวกภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยอยู่ในสาธารณรัฐสังคมนิยมอินโดจีน"
อีกทั้งมีรายงานว่า
"มีแผนการเข้าตี 6 ช่องทาง โดยจะมีการขอยืมกำลังทหารจากลาวอีก 6 กองพลเข้าปฏิบัติการด้วย"
นายทหารไทย 3 คนที่ปฏิบัติภารกิจลับไปเจรจากับผู้นำจีน "เติ้ง เสี่ยว ผิง" เมื่อ 24 มิถุนายน 2522 นั้น คือ พล.ท.ผิน เกสร เจ้ากรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด พ.อ.(พิเศษ) ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.อ.(พิเศษ) พัฒน์ อัคนิบุตร (ยศในขณะนั้น)
หลังจากนั้น ก็เกิดศึกที่เหมือนสมัยสามก๊กที่ว่า "ตีเมืองเหว่ย ช่วยเมืองจ้าว"
เมืองเหว่ยคือญวนและเมืองจ้าวคือไทย
โดยจีนทำสงครามกับญวนที่เรียกกันว่า "สงครามสั่งสอน", ด้วยการเข้าตีและยึดเมืองลางเซิน ซึ่งเป็นเมืองเหนือสุดของญวนที่ติดกับจีน โดยทหารจีนที่ออกตีข้ามพรมแดนนั้น เป็นทหารจากด่าน "โหย่ว หยี กวน" ทำให้ญวนต้องปรับกำลังใหม่ ต้องถอนทหารออกจากเขมรในทันที 6 กองพล และกำลังอีก 6 กองพลที่เคลื่อนจากภาคเหนือมาภาคใต้ เพื่อจะเข้าเขมรต้องเคลื่อนกำลังกลับไปยังชายแดนของตนไว้ เพราะจากเมืองลางเซินลงมาทางใต้อีก 100 กว่ากิโลเมตรก็จะถึงฮานอย เมืองหลวง
ญวนต้องหยุดคิดเรื่องการเข้าตัดภาคอีสานของไทยไปเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสังคมนิยมอินโดจีน
ซึ่งบัดนี้, ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว การเมืองและยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้ได้เปลี่ยนไป
กล่าวกันว่า จีนก็ได้ประโยชน์มหาศาลจากเหตุการณ์นั้น ด้วยฝีปากของ 3 นายทหารไทยที่ทำให้ เติ้ง เสี่ยว ผิง มีวาทะอันลึกซึ้งคมคายที่เปรียบเทียบว่า-จะเป็นแมวขาว หรือแมวดำ ก็ไม่สำคัญ ขอให้เป็นแมวที่จับหนูได้ก็แล้วกัน...ทำให้จีนปรับเปลี่ยนนโยบายเป็น 7 ทันสมัย และเป็นหนึ่งประเทศ สองระบบในการจัดเศรษฐกิจของคนใหม่ โดยที่ยังคงเป็นคอมมิวนิสต์ คือมีทั้งแมวขาวและแมวดำ
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ไม่เคยเห็นด่าน โหย่ว หยี กวน อันเป็นจุดที่ทำให้เกิดพลิกผันในสถานการณ์ครั้งกระโน้น จึงมีความตั้งใจที่จะไปเยือน อย่างน้อยก็เพื่อสนองความรู้สึกของตนเอง และจะได้ขอบคุณต่อสถานที่อันมีความหมายต่อประวัติศาสตร์ทางทหาร และการเมืองไทยนี้
ที่โหย่ว หยี กวน นี้. "บิ๊กจิ๋ว" ได้รับการต้อนรับอย่างเต็มรูปการทหาร จากกองทหารประจำพื้นที่ ในฐานะที่เป็นทหารด้วยกัน และเป็นทหารไทยซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การยุทธ์ของทหารด่านนี้ วันที่ 22 พฤศจิกายน ถูกใช้อยู่ที่ด่านโหย่ว หยี กวน นี้ทั้งวัน โดยสภาพของด่านที่เป็นเมืองป้อมปราการเป็นที่ตั้งในสนามพร้อมเผชิญเหตุ สิ่งที่อยู่ทั้งบนดิน และใต้ดิน ได้รับการเปิดให้เห็นทั้งหมด พล.อ.ชวลิต ได้แสดงความต้องการว่า อยากจะใช้ชีวิตอย่างทหารด่านชายแดนที่โหย่ว หยี กวน ให้มากที่สุด และจะรับประทานอาหารกับทหารอย่างทหารทั่วไปด้วย ดังนั้น การรับประทานอาหารกลางวันที่จัดในโรงเลี้ยงกลาง พล.อ.ชวลิต ต้องถือถาดหลุมอะลูมิเนียมไปรับอาหารเช่นเดียวกับพลทหารด้วย โดยที่ก่อนหน้านั้น ในวันที่เดินทางไปถึง คือค่ำวันที่ 20 พฤศจิกายน รับประทารอาหารค่ำกับ พล.อ.เฉา กัง ฉวน รองประธานกรรมาธิการทหารของพรรคฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม วันที่ 21 พฤศจิกายน รับประทานอาหารเช้ากับ นายหลี่ หรัน ฉิง อดีตรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 และอาหารค่ำกับ พล.อ.เหลียง กวง เลียะ ประธานเสนาธิการทหารกองทัพประชาชนจีน (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด) แต่ที่ด่านโหย่ว หยี กวน ได้เข้าโรงเลี้ยงอาหารกับพลทหาร
เปรียบเทียบกันไม่ได้ระหว่างการต้อนรับแบบปูพรมแดงที่ให้กับ พล.อ.ชวลิต กับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้รับความสะดวกตามสมควรจากเจ้าหน้าที่จีน และในความแตกต่างเช่นนี้ เหมือนกับว่า "บิ๊กจิ๋ว" นั้นได้เดินบนพรมแดง แต่ "ทักษิณ" ได้ผ้าสีแดง ซึ่งอาจจะได้รับเกียรติเป็นผ้าไหม...อย่างธรรมเนียมจีนโบราณที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ผู้สมควรจะตาย นำผ้าไหมแดงไปผูกคอตายเอง โดยที่การได้รับการปฏิบัติอย่างแตกต่าง การให้ความสำคัญอย่างเห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ ถือเป็นการลงโทษต่อ "ทักษิณ" อย่างหนักแต่นิ่มนวล คือได้รับความอัปยศมากกว่าเกียรติยศ
จีนรู้เหตุแห่งการปฏิวัติโค่นล้มระบอบทักษิณของทหารจากทางสถานเอกอัครราชทูตจีนในไทย และในช่องทางอื่นๆ และจีนยังได้รับคำอธิบายและยืนยันอีกจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดยเฉพาะคำว่า "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ของไทย ที่คนไทยรวมทั้ง พล.อ.ชวลิต ไม่ปรารถนาจะเห็นระบอบอื่นๆ ที่แอบแฝงแปลงรูปเข้ามา การปฏิวัติของทหารมิใช่การยึดอำนาจเพื่อต้องการอำนาจ แต่เป็นการรักษาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทางการของจีนได้จัดฐานะของ พล.อ.ชวลิต ไว้อยู่ในระดับแขกเมืองคนสำคัญระดับผู้นำประเทศ (มิใช่อดีตผู้นำ) ส่วน "ทักษิณ" นั้น อยู่ในฐานะของอดีตผู้นำที่หมดอำนาจไปแล้ว การไปจีนของหน้าเหลี่ยมพเนจร ถือว่าเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้ลักลอบเข้าเมือง และทางการจีนไม่ห้ามปรามการเข้าเมือง ยอมรับพาสปอร์ตทางการทูตที่ถืออยู่ ก็นับว่าเป็นเกียรติแล้ว
จะกินจะอยู่จะไปไหนมาไหนเป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง ควักกระเป๋าจ่ายเงินเอง โดยทางการจีนไม่ได้ออกเงินให้สักหยวนหรือสักอีแปะ และไม่มีอะไรที่เป็นทางการเลย
ดูเหมือนว่า ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการในเชิงข่าว เพื่อผลทางจิตวิทยา เป็นการปลุกกระแสยอมรับการเคลื่อนไหว เป็นกุนซือที่มีฝีมือพอควร จากการที่ทำให้ "ทักษิณ" ได้ประโยชน์จากการเดินทางไปจีนของ "บิ๊กจิ๋ว" ที่ได้กระพือว่า มีโอกาสจะได้พบกัน และจะออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน โดยผสมไปกับประเด็นร้อนที่ พล.อ.ชวลิต เคยหลุดปากว่า ถ้าหาก "ทักษิณ" จะกลับมาก็เป็นไรไป เพราะเป็นคนไทยมีสิทธิจะกลับบ้านได้ มาอยู่เสียที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ให้อยู่ในสายตาจะดีกว่าปล่อยให้ไปโผล่ที่โน่นที่นั่น ซึ่งเป็นการตอบนักข่าวแบบผู้ใหญ่ ซึ่งไม่สามารถจะพูดว่า-อย่ากลับมา หรือเข้ามาไม่ได้ และแม้ว่าจะพูดอย่างนั้นไปตามมารยาทและฐานะ ก็รู้อยู่แล้วว่า จะพูดอย่างไร "ทักษิณ" ก็ยังไม่ได้กลับไทย ต้องรออีกนานมาก
พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเคยทำงานกับ พล.อ.ชวลิต มาที่ ศปก.ทบ.315 ตั้งแต่ พล.อ.วินัย เป็น "ร้อยเอก" ได้เคยกล่าวว่า พล.อ.ชวลิต เป็นคนคิด 3 ชั้น ทำอะไรเดินหมาก 3 ชอต ต้องตามให้ทัน
ซึ่งมาปรากฏภายหลังว่า ที่พล.อ.ชวลิต พูดถึงการกลับของ "ทักษิณ" นั้น คือการส่งสัญญาณว่า-ไม่ให้กลับ หรือกลับยังไม่ได้, จากการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้รับลูกทันทีเพราะคิดตามไม่ทัน โดยพล.อ.สุรยุทธ์ มีโอกาสที่จะได้พูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ควรกลับไทย จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งเรียบร้อยเสียก่อน จึงควรจะคิดกลับ และมีเสียงสำทับซ้ำมาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่า เขาก็เคยไปอยู่เดนมาร์กสมัยปฏิวัติ รสช.มีความรู้สึกอย่างเดียวกับ "ทักษิณ" แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เสริมว่า การคิดจะกลับไทยนั้น ต้องคิดให้รอบคอบเพราะมีคดีรออยู่ถึง 12 คดี-กลับมาก็มีประตูคุกรออยู่
ถ้าหาก "บิ๊กจิ๋ว" ไม่ได้เขี่ยลูก นายกฯ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็คงจะพูดแบบปิดประตูใส่หน้าเช่นนั้นไม่ได้ และ "เหลิมดาวเทียม" ก็จะไม่ได้กล่าวถึง 12 คดีที่รอผู้ต้องหาชื่อ "ทักษิณ" เช่นกัน
การไปจีนของ พล.อ.ชวลิต ระหว่างวันที่ 20-24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้, คนที่คิดให้ "ทักษิณ" เกาะชายเสื้อ ด้วยการสร้างยุทธการข่าว ว่าจะได้พบกัน และเล่นกอล์ฟด้วยกัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะฉลาดที่จะใช้ "บิ๊กจิ๋ว" เป็นผู้สร้างน้ำหนักเรื่องการกลับไทย, แต่แล้วก็กลายเป็นผลร้ายทางจิตวิทยาต่อ "ทักษิณ" เอง เพราะมีการออกรอบเล่นกอล์ฟจริง แต่พล.อ.ชวลิต เล่นกับระดับนำของพรรคคอมมิวนิสต์และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของจีนเท่านั้น และเล่นกันได้เพียง 6 หลุมก็เลิก เพราะไม่มีเวลาพอ หรือหลุมที่ 7 ไปถึงหลุมที่ 18 นั้น จะมีคนชื่อ "ทักษิณ" ไปรออยู่? และสิ่งที่สำคัญที่สุด อันเป็นการทำร้ายจิตใจและความรู้สึกของหน้าเหลี่ยมพเนจรเอง ก็คือ ได้เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน โดยที่ตัวเองต้องรู้ฐานะของตัวเองว่า เวลานี้, เป็นผู้ที่นอกจากจะตกทุกข์แล้ว ยังต่ำต้อยด้วย เพราะทางจีนไม่ให้ความสำคัญอะไร แต่กลับไปให้ความสำคัญกับ พล.อ.ชวลิต เป็นอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยมาเหมือนกัน แต่คนหนึ่งพ้นตำแหน่งด้วยการลาออก แสดงความรับผิดชอบต่อการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ อีกคนหนึ่งถูกประชาชนและทหารขับไล่ไม่ให้เข้าประเทศ, เมื่อมีการเปรียบเทียบกันโดยภาพที่เกิดขึ้นพร้อมกันในจีนเช่นนี้ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความคิดที่กัดกร่อนจิตใจ อยู่ในภาวะตรอมใจของหน้าเหลี่ยมพเนจรเอง ว่า-ไร้ค่าแล้ว ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ซุนวู หรือ ซุนหวู่ หรือ ซึงจื้อ เขียนตำรารบไว้ในราชวงศ์จิว รวม 13 บท มีอยู่บทหนึ่งชื่อว่า "กินข้าวของข้าศึก" และในภาษาจีนฮกเกี้ยนคำว่า "จิ้น" นั้น ภาษาแต้จิ๋วว่า "ชิ้น" ภาษากลางว่า "ฉิน" หรือ "ชิน" คนนามสกุล "ชิน-วัตร" นั้นเหมือนกับการกลับสู่ถิ่นของบรรพบุรุษ จากการเป็นผู้มากเหลี่ยมจนออกมาเป็นรูปใบหน้าเช่นนี้ ย่อมต้องศึกษาตำรารบของซุนหวู่ และนำกลศึกบทที่ว่า "กินข้าวของข้าศึก" มาใช้ในกรณีของ "บิ๊กจิ๋ว" ไปเมืองจีน แต่ดูเหมือนว่าจะรู้ทันกัน จึงอดข้าวไป-พร้อมกับได้รับคำสอนบทที่ว่า "ถ้ารู้ว่ารบแพ้ อย่ารบ" ซึ่งซุนหวู่เขียนไว้เช่นกัน
พล.อ.ชวลิต ไปจีนตามคำเชิญของ พล.อ.เฉา กัง ฉวน รองประธานกรรมาธิการทหารหรือกรรมาธิการกลาโหมกลาง พรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลจีนอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งตามปกติแล้ว ผู้เป็นกรรมาธิการทหารในพรรคจะไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล เพราะกรรมาธิการทหารนั้นควบคุมกิจการทหารทั้งหมดไว้แล้ว, ในการเดินทางครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีตำแหน่งอะไรอย่างเป็นทางการ แต่ทางจีนได้ต้อนรับอย่างเป็นทางการใน ระดับพรมแดง (Red Carpet) เทียบเท่าผู้นำประเทศ และจัดนายทหารชั้นนายพลมาประจำคณะ จัดเครื่องบินพิเศษเป็นไอพ่นขนาดกลางมาให้ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางอีก 1 ลำ เพราะถือว่าความสำคัญอยู่ที่ตัวตน มิใช่ตำแหน่ง และในการเดินทางครั้งนี้ ทางพล.อ.ชวลิต ได้แจ้งให้ทางรัฐบาลและทหารได้ทราบด้วย เพราะมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพไทย ทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยที่เป้าหมายใหญ่จะอยู่ที่การไปเยือนด่านพรมแดนจีนกับเวียดนามคือ ด่าน "โหย่ว หยี กวน" ซึ่งมีความสำคัญต่อ พล.อ.ชวลิต มาก
นสพ.ผู้จัดการรายวัน เป็นคนแรกที่เปิดเผยความลับ (ที่สุด) ว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2522 นายทหารไทย 3 คน ซึ่งทำหนังสือลาออกจากราชการ และได้รับอนุมัติการลาออกแล้ว ได้เดินทางอย่างลับๆ ไปจีน ได้พบกับ "เติ้ง เสี่ยว ผิง" ผู้นำของจีนในขณะนั้น ได้มีการบรรยายสรุปสถานการณ์ที่ไทยเผชิญอยู่ว่า
"การที่เวียดนามใช้กำลังถึง 20 กองพล เข้าปฏิบัติการในเขมร ทำให้พิจารณาได้ว่า การใช้กำลังมากขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นการใช้กำลังดังกล่าว เพียงเพื่อขับไล่รัฐบาลเขมรแดง-พอลพต ออกจากพนมเปญ แต่เป็นการใช้กำลังเพื่อคุกคามไทย ในการผนวกภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยอยู่ในสาธารณรัฐสังคมนิยมอินโดจีน"
อีกทั้งมีรายงานว่า
"มีแผนการเข้าตี 6 ช่องทาง โดยจะมีการขอยืมกำลังทหารจากลาวอีก 6 กองพลเข้าปฏิบัติการด้วย"
นายทหารไทย 3 คนที่ปฏิบัติภารกิจลับไปเจรจากับผู้นำจีน "เติ้ง เสี่ยว ผิง" เมื่อ 24 มิถุนายน 2522 นั้น คือ พล.ท.ผิน เกสร เจ้ากรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด พ.อ.(พิเศษ) ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.อ.(พิเศษ) พัฒน์ อัคนิบุตร (ยศในขณะนั้น)
หลังจากนั้น ก็เกิดศึกที่เหมือนสมัยสามก๊กที่ว่า "ตีเมืองเหว่ย ช่วยเมืองจ้าว"
เมืองเหว่ยคือญวนและเมืองจ้าวคือไทย
โดยจีนทำสงครามกับญวนที่เรียกกันว่า "สงครามสั่งสอน", ด้วยการเข้าตีและยึดเมืองลางเซิน ซึ่งเป็นเมืองเหนือสุดของญวนที่ติดกับจีน โดยทหารจีนที่ออกตีข้ามพรมแดนนั้น เป็นทหารจากด่าน "โหย่ว หยี กวน" ทำให้ญวนต้องปรับกำลังใหม่ ต้องถอนทหารออกจากเขมรในทันที 6 กองพล และกำลังอีก 6 กองพลที่เคลื่อนจากภาคเหนือมาภาคใต้ เพื่อจะเข้าเขมรต้องเคลื่อนกำลังกลับไปยังชายแดนของตนไว้ เพราะจากเมืองลางเซินลงมาทางใต้อีก 100 กว่ากิโลเมตรก็จะถึงฮานอย เมืองหลวง
ญวนต้องหยุดคิดเรื่องการเข้าตัดภาคอีสานของไทยไปเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสังคมนิยมอินโดจีน
ซึ่งบัดนี้, ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว การเมืองและยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้ได้เปลี่ยนไป
กล่าวกันว่า จีนก็ได้ประโยชน์มหาศาลจากเหตุการณ์นั้น ด้วยฝีปากของ 3 นายทหารไทยที่ทำให้ เติ้ง เสี่ยว ผิง มีวาทะอันลึกซึ้งคมคายที่เปรียบเทียบว่า-จะเป็นแมวขาว หรือแมวดำ ก็ไม่สำคัญ ขอให้เป็นแมวที่จับหนูได้ก็แล้วกัน...ทำให้จีนปรับเปลี่ยนนโยบายเป็น 7 ทันสมัย และเป็นหนึ่งประเทศ สองระบบในการจัดเศรษฐกิจของคนใหม่ โดยที่ยังคงเป็นคอมมิวนิสต์ คือมีทั้งแมวขาวและแมวดำ
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ไม่เคยเห็นด่าน โหย่ว หยี กวน อันเป็นจุดที่ทำให้เกิดพลิกผันในสถานการณ์ครั้งกระโน้น จึงมีความตั้งใจที่จะไปเยือน อย่างน้อยก็เพื่อสนองความรู้สึกของตนเอง และจะได้ขอบคุณต่อสถานที่อันมีความหมายต่อประวัติศาสตร์ทางทหาร และการเมืองไทยนี้
ที่โหย่ว หยี กวน นี้. "บิ๊กจิ๋ว" ได้รับการต้อนรับอย่างเต็มรูปการทหาร จากกองทหารประจำพื้นที่ ในฐานะที่เป็นทหารด้วยกัน และเป็นทหารไทยซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การยุทธ์ของทหารด่านนี้ วันที่ 22 พฤศจิกายน ถูกใช้อยู่ที่ด่านโหย่ว หยี กวน นี้ทั้งวัน โดยสภาพของด่านที่เป็นเมืองป้อมปราการเป็นที่ตั้งในสนามพร้อมเผชิญเหตุ สิ่งที่อยู่ทั้งบนดิน และใต้ดิน ได้รับการเปิดให้เห็นทั้งหมด พล.อ.ชวลิต ได้แสดงความต้องการว่า อยากจะใช้ชีวิตอย่างทหารด่านชายแดนที่โหย่ว หยี กวน ให้มากที่สุด และจะรับประทานอาหารกับทหารอย่างทหารทั่วไปด้วย ดังนั้น การรับประทานอาหารกลางวันที่จัดในโรงเลี้ยงกลาง พล.อ.ชวลิต ต้องถือถาดหลุมอะลูมิเนียมไปรับอาหารเช่นเดียวกับพลทหารด้วย โดยที่ก่อนหน้านั้น ในวันที่เดินทางไปถึง คือค่ำวันที่ 20 พฤศจิกายน รับประทารอาหารค่ำกับ พล.อ.เฉา กัง ฉวน รองประธานกรรมาธิการทหารของพรรคฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม วันที่ 21 พฤศจิกายน รับประทานอาหารเช้ากับ นายหลี่ หรัน ฉิง อดีตรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 และอาหารค่ำกับ พล.อ.เหลียง กวง เลียะ ประธานเสนาธิการทหารกองทัพประชาชนจีน (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด) แต่ที่ด่านโหย่ว หยี กวน ได้เข้าโรงเลี้ยงอาหารกับพลทหาร
เปรียบเทียบกันไม่ได้ระหว่างการต้อนรับแบบปูพรมแดงที่ให้กับ พล.อ.ชวลิต กับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้รับความสะดวกตามสมควรจากเจ้าหน้าที่จีน และในความแตกต่างเช่นนี้ เหมือนกับว่า "บิ๊กจิ๋ว" นั้นได้เดินบนพรมแดง แต่ "ทักษิณ" ได้ผ้าสีแดง ซึ่งอาจจะได้รับเกียรติเป็นผ้าไหม...อย่างธรรมเนียมจีนโบราณที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ผู้สมควรจะตาย นำผ้าไหมแดงไปผูกคอตายเอง โดยที่การได้รับการปฏิบัติอย่างแตกต่าง การให้ความสำคัญอย่างเห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ ถือเป็นการลงโทษต่อ "ทักษิณ" อย่างหนักแต่นิ่มนวล คือได้รับความอัปยศมากกว่าเกียรติยศ
จีนรู้เหตุแห่งการปฏิวัติโค่นล้มระบอบทักษิณของทหารจากทางสถานเอกอัครราชทูตจีนในไทย และในช่องทางอื่นๆ และจีนยังได้รับคำอธิบายและยืนยันอีกจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดยเฉพาะคำว่า "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ของไทย ที่คนไทยรวมทั้ง พล.อ.ชวลิต ไม่ปรารถนาจะเห็นระบอบอื่นๆ ที่แอบแฝงแปลงรูปเข้ามา การปฏิวัติของทหารมิใช่การยึดอำนาจเพื่อต้องการอำนาจ แต่เป็นการรักษาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข