ในบ้านเมืองที่มีปัญหาไม่ได้หยุดนั้น จะขึ้นกับความโง่เขลาของผู้มีอำนาจหรือชนชั้นปกครองเท่านั้น
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ที่เกิดมาแล้วเป็นแรมปี ไม่รู้ว่ากี่ปีกี่ชาติข้างหน้าจะลุกลามมาถึงกรุงเทพฯ และทั่วประเทศไทยก็ไม่แน่ เพราะว่าการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทยหลายร้อยปีมาแล้ว
มันเกิดขึ้นในสมัยที่เมืองไทยยังมีอาวุธเพียงมีดพร้าจอบขวานติดบ้านติดเมืองเท่านั้น ถนนหนทาง รถยนต์รถเก๋งยังไม่มีใครใช้และไม่มีใครรู้จัก การแก้ปัญหาก็ไม่มีการขนผู้คนหรือทุ่มเทเงินทองอะไรลงไป แต่บรรพบุรุษไทยก็แก้ไขกันมาเป็นผลสำเร็จอย่างดี เพราะผู้นำไทยสมัยก่อนนั้น มีสติปัญญาและมีความเฉลียวฉลาดไม่เหมือนอย่างผู้นำผู้มีอำนาจในสมัยที่ผ่านมานี้
การก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ไม่ใช่การกระทำของคนใน 3 จังหวัดภาคใต้ แต่เป็นขบวนการต่อสู้กับการล่าเมืองขึ้นของอเมริกา ประชาชนในประเทศตะวันออกกลางทุกประเทศ ความสำนึกในเชื้อชาติ ความเป็นคนของแผ่นดิน มีศาสนา วัฒนธรรมของชาวมุสลิมที่ตื่นจากการถูกเหยียดหยามและเกิดขึ้นจากประเทศมหาอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ชาวมุสลิมในตะวันออกกลางและทุกหนทุกแห่งตื่นตัวขึ้น และแสวงหาทางต่อสู้ในทุกรูปแบบเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ของอเมริกันในเอเชียกลาง เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง ทำให้การตื่นตัวของคนมุสลิมเกิดขึ้น และลงมือทดสอบสั่งสอนอเมริกันขึ้นในการใช้เครื่องบินชนตึกระฟ้าที่มหานครนิวยอร์กที่ยังฝังใจคนอยู่ชนิดตายแล้วก็ยังลืมยาก และบอกกล่าวอเมริกันและจักรวรรดินิยมทุกชาติว่า ไม่เพียงแต่สงครามเวียดนามที่ประเทศพ่ายแพ้ เมื่อมีการต่อสู้ขึ้นไม่ว่าในมุมไหนของโลกหรืออาจจะกล่าวได้ว่าไม่ว่าในอเมริกาใต้หรือที่ไหนที่อเมริกาไม่แพ้นั้นเป็นไม่มี!
ขบวนการนี้รวมตัวและจัดตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2495 ในเยรูซาเลมตะวันออกภายใต้การปกครองของจอร์แดนมีชื่อว่า พรรคประชาชนอิสลามเพื่อเสรีภาพหรือ Islamic Party of Liberation มีสำนักงานอำนวยการอยู่ในกรุงลอนดอน มีสมาชิกและผู้ปฏิบัติงานในครั้งแรกจำนวน 5,000-10,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมอยู่ในเอเชียกลาง ซึ่งยังไม่แยกตัวออกจากรัสเซีย เช่น อุเบกิสถาน ทาจิกิสถาน อีก 10,000 คนแยกกันปฏิบัติงานอยู่ในปากีสถาน ซีเรีย ตุรกี และอินโดนีเซีย และในตะวันออกกลางทั้งหมด หรือถ้าจะนับแล้ว ตามรายงานก็ยืนยันว่าสมาชิกที่ทำหน้าที่ปฏิบัติงานที่เรียกกันว่า ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ไปปฏิบัติงานกันอย่างเอาจริงเอาจัง หรือพร้อมที่จะทำหน้าที่ก่อการร้ายไม่น้อยกว่า 40 ประเทศ ตั้งแต่เชชเนียในรัสเซีย เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปากีสถาน และน่าจะในประเทศไทยหรือใน 3 จังหวัดภาคใต้ด้วย เพราะในวันที่ปืนทหารถูกปล้นไปเมื่อวันเปิดฉากก่อการร้ายครั้งแรกที่ภาคใต้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ไทยที่ออกติดตามวันนั้นมีเจ้าหน้าที่ซีไอเอของอเมริกานายหนึ่งร่วมขบวนไปด้วย เพราะซีไอเอที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ นั้น จะต้องให้ความร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ร่วมไปด้วยเพื่อคอยให้คำแนะนำในการสร้างสถานการณ์จะให้หนักหรือเบาในแต่ละครั้งแต่ละงานที่ทำ (รัฐบาลไทยในยุคนั้นจะไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะมัวแต่หลงว่าตัวเองเก่ง แต่โดยธาตุแท้แล้วเป็นพวกมนุษย์ที่โง่เขลาธรรมดานี่เอง)
รายละเอียดของคนพวกนี้ ถ้าท่านผู้ใดไม่แน่ใจจะเดินทางไปหาข้อเท็จจริงที่แน่ชัดที่มหาวิทยาลัยไคโรที่อียิปต์ได้ มีอาจารย์ที่มีชื่อและเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่สองท่าน ดูเหมือนนักเรียนไทยจากเมืองไทยของเราซึ่งเรียนอยู่ที่นั่นน่าจะรู้ไม่น้อยเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เพื่อย่นเวลาที่ผู้นำและผู้มีอำนาจบ้านเมืองของเราให้โง่น้อยที่สุด ผมก็ขอบอกเพิ่มเติมว่า ผู้ปฏิบัติงานขององค์การนี้ในทางทฤษฎีหรือความเชื่อมั่น จะถือคำสอนของศาสนาอิสลาม แต่ในการปฏิบัติงานจะใช้วิธีการของมาร์กซ์-เลนิน ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย!!
อย่าไปคิดว่าเขาคิดและทำอย่างโง่ๆ ยิ่งเฉพาะพวกนี้ที่ฝึกมาจากอัฟกานิสถานแล้วจะมีความชำนาญเป็นพิเศษ เพราะได้มีการปฏิบัติจริงในการทำงานโค่นล้มรัฐบาลของรัสเซีย
รายงานเหล่านี้เป็นรายงานที่รู้กันทั่วไปในวงการซีไอเอ ทั้งในฮาวายหรือในจังหวัดภาคใต้ของเราที่มีซีไอเอดูแลอยู่ที่นั่น
ผมขอบอกกล่าวว่า ตราบใดที่ผู้ปกครองชาติไทยยังขายชาติให้อเมริกัน และพยายามทำเป็นสุนัขรับใช้อเมริกาอย่างที่ทำกันอยู่ในขณะนี้ การที่จะแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้หรือการก่อการร้ายในเอเชียอย่างที่กำลังทำกันอยู่ในขณะนี้ก็จะแพร่ออกไปในประเทศต่างๆ ทุกประเทศ
อย่าไปคิดอะไรมาก!
3 จังหวัดภาคใต้ในสมัยที่เมืองไทยยังมีอาวุธสำหรับการสู้รบปราบปรามศัตรูนั้น ไม่มีปืน ระเบิดหรืออาวุธที่ทันสมัยเหมือนปัจจุบันนี้ จะแบ่งกันเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยปกครองกัน ไม่รวมกันเป็นจังหวัดหรือหัวเมืองอย่างทุกวันนี้อย่างคำว่า หนองจิก สะบ้าย้อย อะไรพวกนี้จะแบ่งแยกเป็นเมืองใครเมืองมัน เมืองเหล่านี้จะขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ของไทย แต่บังเอิญว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในระหว่าง พ.ศ. 2411-2453 หรือร.ศ. 121 นั้น ได้เกิดมีการรวมตัวของชาวมลายูที่ปกครองเมืองเล็กเมืองน้อยเหล่านั้นรวมตัวกันทำหน้าที่กบฏหรือต้องการเป็นอิสระจากการปกครองของไทยซึ่งรู้จักกันในนามของคำว่า “พระยาแขกเจ็ดหัวเมืองคบคิดกบฏ ร.ศ. 121” ในขณะที่ทางภาคอีสานระหว่างปี 2444 ก็มีกบฏ “ผีบุญ” ขึ้น ทางภาคเหนือก็เกิดกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ขึ้นในเวลาเดียวกัน เรียกกันในสมัยนั้นว่า “กบฏเงี้ยวเมืองแพร่”
เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดในหัวเมืองต่างๆ ซึ่งมีเจ้านายแขกครองเมืองต่างๆ ซึ่งเมืองเหล่านั้นก็คือ เมืองตานี ยะหริ่ง สายบุรี รามันห์ ยะลา และหนองจิก นักศึกษาประวัติศาสตร์ของไทยท่านหนึ่งได้เขียนเล่าเรื่องของการก่อการร้ายหรือการกบฏของชาวมลายูใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่กล่าวมาแล้ว
พระยาแขก 7 หัวเมืองคบคิดกบฏเมื่อปี 2445 นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกบฏผีบุญในภาคอีสาน กล่าวคือเริ่มต้นปลายปี 2444 แต่จบลงเสียก่อนปี 2445 เหตุการณ์เริ่มเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลออกกฎข้อบังคับสำหรับการปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2444 กฎข้อบังคับนี้ระบุไว้ว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป รัฐบาลจะแต่งตั้งปลัดเมือง และผู้ช่วยราชการเมืองไปช่วยพระยาเมืองทั้งหลายปกครองบ้านเมืองตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 และจะส่งพนักงานสรรพากรไปเก็บภาษีอากรตามระเบียบของกระทรวงการคลัง และผู้พิพากษาไปตัดสินคดีตามพระธรรมนูญศาลหัวเมือง ร.ศ. 113 และจะแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณให้ไปตรวจตราแนะนำราชการทั้งปวงต่างพระเนตรพระกรรณในราชการทุกเมือง หรือราชการเกี่ยวข้องกับต่างประเทศโดยเรียบร้อยตามพระประสงค์ ส่วนพระยาเมืองนั้นรัฐบาลจะจ่ายเป็นเบี้ยหวัดให้พอเลี้ยงชีพ และในส่วนศาสนา รัฐบาลจะเคารพระเบียบประเพณีว่าด้วยการแต่งงาน และการสืบสกุล โดยจะรักษาไว้ซึ่งอำนาจของผู้นำทางศาสนาในท้องถิ่นในคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
รัฐบาลพยายามที่จะปฏิบัติตามกฎข้อบังคับสำหรับการปกครอง 7 หัวเมืองนี้ทันทีที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา โดยกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องแต่งตั้งพระยาศักดิเสนีย์ (หนา บุนนาค) ข้าหลวงเมืองลำปางให้เป็นข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณ 7 หัวเมืองแขกรับไปปฏิบัติ
แต่พระยาศักดิเสนีย์ได้เผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักเริ่มตั้งแต่ได้เดินทางไปถึงเมืองตานี เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2444 เพราะเมื่ออ่านสารตราให้พระยาตานี (พระยาวิชิตภักดี อับดุลการเดร์) ฟัง พระยาตานีก็แสดงตนว่าไม่เห็นด้วยกับกฎข้อบังคับ และต่อมาไม่ยอมให้เจ้าพนักงานสรรพากรเข้าปฏิบัติการในเมืองตานี พระยาศักดิเสนีย์ต้องปล่อยเมืองตานีไปก่อนเดินทางต่อไปปฏิบัติตามกฎหมายที่เมืองระแงะในเดือนมกราคม พ.ศ. 2455 (ไม่มีรถถัง ไม่มีปืนอาก้า ไม่มีทหารเป็นพันๆ ติดตามไปดูแล แต่รายละเอียดอื่นไม่ได้บันทึกกันไว้) แต่พระยาศักดิเสนีย์ก็มีปัญหาอีก พระยาระแงะหาทางหลบหลีกไม่ยอมรับฟังสารตราที่พระยาศักดิเสนีย์เชิญไป เมืองต่อไปพระยาศักดิเสนีย์เดินทางไปถึงเมืองสายบุรี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2445 เมื่อได้ฟังสารตราแล้วก็ตั้งเงื่อนไขว่าจะไม่ยอมรับที่กฎหมายบังคับว่าจะต้องให้คนไทยเป็นเจ้านายปกครองไม่ว่าจะเป็นยกกระบัตรหรือนายอำเภอ โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนไทย พฤติการณ์ของพระยาแขกเหล่านี้ทั้งหมด ทำให้พระยาสุขุมนัยวินิจ(ปั้น สุขุม) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชผู้เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลไทยในสมัยนั้นแสดงความรู้สึกออกมาว่าพระยาแขกเหล่านั้นได้คบคิดร่วมกันในการที่จะเป็นกบฏต่อรัฐบาลไทยอย่างแน่นอน (เตชะบุนนาค “ ขบถ ร.ศ. 121” มูลนิธิโครงการตำรา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ 2524)
แต่ในที่สุด พระยาแขกทั้ง 7 หัวเมืองก็ยอมรับรัฐบาลไปทุกประการ
ไม่ยอมให้มีการอุ้ม ไม่มีการขัดขืนหรือไม่มีการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝายใดทั้งสิ้น แต่ทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยสมัยนั้น ดูเหมือนจะมีสติปัญญาหรือความสามารถกว่าท่านด็อกเตอร์พวกนี้ ไม่ต้องใช้อะไรมากนอกจากความเป็นคนไทยและคุณธรรมของคนไทย ซึ่งไม่มีใครทราบว่ามันจะยังมีอะไรเหลืออยู่หรือไม่ ในการจัดการกับสถานการณ์กบฏพระยาแขกครั้งนี้
เพราะคนไทยส่วนมากที่มีอำนาจวาสนาและมีบุญเป็นใหญ่เป็นโตที่เหลืออยู่ในบ้านเมือง ดูเหมือนจะยังไม่ยอมแสดงความเฉลียวฉลาดอะไรออกมาเท่าที่ควร
ไม่รู้มันยังมีกันอยู่บ้างหรือเปล่า?
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ที่เกิดมาแล้วเป็นแรมปี ไม่รู้ว่ากี่ปีกี่ชาติข้างหน้าจะลุกลามมาถึงกรุงเทพฯ และทั่วประเทศไทยก็ไม่แน่ เพราะว่าการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทยหลายร้อยปีมาแล้ว
มันเกิดขึ้นในสมัยที่เมืองไทยยังมีอาวุธเพียงมีดพร้าจอบขวานติดบ้านติดเมืองเท่านั้น ถนนหนทาง รถยนต์รถเก๋งยังไม่มีใครใช้และไม่มีใครรู้จัก การแก้ปัญหาก็ไม่มีการขนผู้คนหรือทุ่มเทเงินทองอะไรลงไป แต่บรรพบุรุษไทยก็แก้ไขกันมาเป็นผลสำเร็จอย่างดี เพราะผู้นำไทยสมัยก่อนนั้น มีสติปัญญาและมีความเฉลียวฉลาดไม่เหมือนอย่างผู้นำผู้มีอำนาจในสมัยที่ผ่านมานี้
การก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ไม่ใช่การกระทำของคนใน 3 จังหวัดภาคใต้ แต่เป็นขบวนการต่อสู้กับการล่าเมืองขึ้นของอเมริกา ประชาชนในประเทศตะวันออกกลางทุกประเทศ ความสำนึกในเชื้อชาติ ความเป็นคนของแผ่นดิน มีศาสนา วัฒนธรรมของชาวมุสลิมที่ตื่นจากการถูกเหยียดหยามและเกิดขึ้นจากประเทศมหาอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ชาวมุสลิมในตะวันออกกลางและทุกหนทุกแห่งตื่นตัวขึ้น และแสวงหาทางต่อสู้ในทุกรูปแบบเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ของอเมริกันในเอเชียกลาง เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง ทำให้การตื่นตัวของคนมุสลิมเกิดขึ้น และลงมือทดสอบสั่งสอนอเมริกันขึ้นในการใช้เครื่องบินชนตึกระฟ้าที่มหานครนิวยอร์กที่ยังฝังใจคนอยู่ชนิดตายแล้วก็ยังลืมยาก และบอกกล่าวอเมริกันและจักรวรรดินิยมทุกชาติว่า ไม่เพียงแต่สงครามเวียดนามที่ประเทศพ่ายแพ้ เมื่อมีการต่อสู้ขึ้นไม่ว่าในมุมไหนของโลกหรืออาจจะกล่าวได้ว่าไม่ว่าในอเมริกาใต้หรือที่ไหนที่อเมริกาไม่แพ้นั้นเป็นไม่มี!
ขบวนการนี้รวมตัวและจัดตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2495 ในเยรูซาเลมตะวันออกภายใต้การปกครองของจอร์แดนมีชื่อว่า พรรคประชาชนอิสลามเพื่อเสรีภาพหรือ Islamic Party of Liberation มีสำนักงานอำนวยการอยู่ในกรุงลอนดอน มีสมาชิกและผู้ปฏิบัติงานในครั้งแรกจำนวน 5,000-10,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมอยู่ในเอเชียกลาง ซึ่งยังไม่แยกตัวออกจากรัสเซีย เช่น อุเบกิสถาน ทาจิกิสถาน อีก 10,000 คนแยกกันปฏิบัติงานอยู่ในปากีสถาน ซีเรีย ตุรกี และอินโดนีเซีย และในตะวันออกกลางทั้งหมด หรือถ้าจะนับแล้ว ตามรายงานก็ยืนยันว่าสมาชิกที่ทำหน้าที่ปฏิบัติงานที่เรียกกันว่า ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ไปปฏิบัติงานกันอย่างเอาจริงเอาจัง หรือพร้อมที่จะทำหน้าที่ก่อการร้ายไม่น้อยกว่า 40 ประเทศ ตั้งแต่เชชเนียในรัสเซีย เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปากีสถาน และน่าจะในประเทศไทยหรือใน 3 จังหวัดภาคใต้ด้วย เพราะในวันที่ปืนทหารถูกปล้นไปเมื่อวันเปิดฉากก่อการร้ายครั้งแรกที่ภาคใต้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ไทยที่ออกติดตามวันนั้นมีเจ้าหน้าที่ซีไอเอของอเมริกานายหนึ่งร่วมขบวนไปด้วย เพราะซีไอเอที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ นั้น จะต้องให้ความร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ร่วมไปด้วยเพื่อคอยให้คำแนะนำในการสร้างสถานการณ์จะให้หนักหรือเบาในแต่ละครั้งแต่ละงานที่ทำ (รัฐบาลไทยในยุคนั้นจะไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะมัวแต่หลงว่าตัวเองเก่ง แต่โดยธาตุแท้แล้วเป็นพวกมนุษย์ที่โง่เขลาธรรมดานี่เอง)
รายละเอียดของคนพวกนี้ ถ้าท่านผู้ใดไม่แน่ใจจะเดินทางไปหาข้อเท็จจริงที่แน่ชัดที่มหาวิทยาลัยไคโรที่อียิปต์ได้ มีอาจารย์ที่มีชื่อและเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่สองท่าน ดูเหมือนนักเรียนไทยจากเมืองไทยของเราซึ่งเรียนอยู่ที่นั่นน่าจะรู้ไม่น้อยเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เพื่อย่นเวลาที่ผู้นำและผู้มีอำนาจบ้านเมืองของเราให้โง่น้อยที่สุด ผมก็ขอบอกเพิ่มเติมว่า ผู้ปฏิบัติงานขององค์การนี้ในทางทฤษฎีหรือความเชื่อมั่น จะถือคำสอนของศาสนาอิสลาม แต่ในการปฏิบัติงานจะใช้วิธีการของมาร์กซ์-เลนิน ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย!!
อย่าไปคิดว่าเขาคิดและทำอย่างโง่ๆ ยิ่งเฉพาะพวกนี้ที่ฝึกมาจากอัฟกานิสถานแล้วจะมีความชำนาญเป็นพิเศษ เพราะได้มีการปฏิบัติจริงในการทำงานโค่นล้มรัฐบาลของรัสเซีย
รายงานเหล่านี้เป็นรายงานที่รู้กันทั่วไปในวงการซีไอเอ ทั้งในฮาวายหรือในจังหวัดภาคใต้ของเราที่มีซีไอเอดูแลอยู่ที่นั่น
ผมขอบอกกล่าวว่า ตราบใดที่ผู้ปกครองชาติไทยยังขายชาติให้อเมริกัน และพยายามทำเป็นสุนัขรับใช้อเมริกาอย่างที่ทำกันอยู่ในขณะนี้ การที่จะแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้หรือการก่อการร้ายในเอเชียอย่างที่กำลังทำกันอยู่ในขณะนี้ก็จะแพร่ออกไปในประเทศต่างๆ ทุกประเทศ
อย่าไปคิดอะไรมาก!
3 จังหวัดภาคใต้ในสมัยที่เมืองไทยยังมีอาวุธสำหรับการสู้รบปราบปรามศัตรูนั้น ไม่มีปืน ระเบิดหรืออาวุธที่ทันสมัยเหมือนปัจจุบันนี้ จะแบ่งกันเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยปกครองกัน ไม่รวมกันเป็นจังหวัดหรือหัวเมืองอย่างทุกวันนี้อย่างคำว่า หนองจิก สะบ้าย้อย อะไรพวกนี้จะแบ่งแยกเป็นเมืองใครเมืองมัน เมืองเหล่านี้จะขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ของไทย แต่บังเอิญว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในระหว่าง พ.ศ. 2411-2453 หรือร.ศ. 121 นั้น ได้เกิดมีการรวมตัวของชาวมลายูที่ปกครองเมืองเล็กเมืองน้อยเหล่านั้นรวมตัวกันทำหน้าที่กบฏหรือต้องการเป็นอิสระจากการปกครองของไทยซึ่งรู้จักกันในนามของคำว่า “พระยาแขกเจ็ดหัวเมืองคบคิดกบฏ ร.ศ. 121” ในขณะที่ทางภาคอีสานระหว่างปี 2444 ก็มีกบฏ “ผีบุญ” ขึ้น ทางภาคเหนือก็เกิดกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ขึ้นในเวลาเดียวกัน เรียกกันในสมัยนั้นว่า “กบฏเงี้ยวเมืองแพร่”
เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดในหัวเมืองต่างๆ ซึ่งมีเจ้านายแขกครองเมืองต่างๆ ซึ่งเมืองเหล่านั้นก็คือ เมืองตานี ยะหริ่ง สายบุรี รามันห์ ยะลา และหนองจิก นักศึกษาประวัติศาสตร์ของไทยท่านหนึ่งได้เขียนเล่าเรื่องของการก่อการร้ายหรือการกบฏของชาวมลายูใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่กล่าวมาแล้ว
พระยาแขก 7 หัวเมืองคบคิดกบฏเมื่อปี 2445 นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกบฏผีบุญในภาคอีสาน กล่าวคือเริ่มต้นปลายปี 2444 แต่จบลงเสียก่อนปี 2445 เหตุการณ์เริ่มเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลออกกฎข้อบังคับสำหรับการปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2444 กฎข้อบังคับนี้ระบุไว้ว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป รัฐบาลจะแต่งตั้งปลัดเมือง และผู้ช่วยราชการเมืองไปช่วยพระยาเมืองทั้งหลายปกครองบ้านเมืองตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 และจะส่งพนักงานสรรพากรไปเก็บภาษีอากรตามระเบียบของกระทรวงการคลัง และผู้พิพากษาไปตัดสินคดีตามพระธรรมนูญศาลหัวเมือง ร.ศ. 113 และจะแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณให้ไปตรวจตราแนะนำราชการทั้งปวงต่างพระเนตรพระกรรณในราชการทุกเมือง หรือราชการเกี่ยวข้องกับต่างประเทศโดยเรียบร้อยตามพระประสงค์ ส่วนพระยาเมืองนั้นรัฐบาลจะจ่ายเป็นเบี้ยหวัดให้พอเลี้ยงชีพ และในส่วนศาสนา รัฐบาลจะเคารพระเบียบประเพณีว่าด้วยการแต่งงาน และการสืบสกุล โดยจะรักษาไว้ซึ่งอำนาจของผู้นำทางศาสนาในท้องถิ่นในคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
รัฐบาลพยายามที่จะปฏิบัติตามกฎข้อบังคับสำหรับการปกครอง 7 หัวเมืองนี้ทันทีที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา โดยกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องแต่งตั้งพระยาศักดิเสนีย์ (หนา บุนนาค) ข้าหลวงเมืองลำปางให้เป็นข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณ 7 หัวเมืองแขกรับไปปฏิบัติ
แต่พระยาศักดิเสนีย์ได้เผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักเริ่มตั้งแต่ได้เดินทางไปถึงเมืองตานี เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2444 เพราะเมื่ออ่านสารตราให้พระยาตานี (พระยาวิชิตภักดี อับดุลการเดร์) ฟัง พระยาตานีก็แสดงตนว่าไม่เห็นด้วยกับกฎข้อบังคับ และต่อมาไม่ยอมให้เจ้าพนักงานสรรพากรเข้าปฏิบัติการในเมืองตานี พระยาศักดิเสนีย์ต้องปล่อยเมืองตานีไปก่อนเดินทางต่อไปปฏิบัติตามกฎหมายที่เมืองระแงะในเดือนมกราคม พ.ศ. 2455 (ไม่มีรถถัง ไม่มีปืนอาก้า ไม่มีทหารเป็นพันๆ ติดตามไปดูแล แต่รายละเอียดอื่นไม่ได้บันทึกกันไว้) แต่พระยาศักดิเสนีย์ก็มีปัญหาอีก พระยาระแงะหาทางหลบหลีกไม่ยอมรับฟังสารตราที่พระยาศักดิเสนีย์เชิญไป เมืองต่อไปพระยาศักดิเสนีย์เดินทางไปถึงเมืองสายบุรี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2445 เมื่อได้ฟังสารตราแล้วก็ตั้งเงื่อนไขว่าจะไม่ยอมรับที่กฎหมายบังคับว่าจะต้องให้คนไทยเป็นเจ้านายปกครองไม่ว่าจะเป็นยกกระบัตรหรือนายอำเภอ โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนไทย พฤติการณ์ของพระยาแขกเหล่านี้ทั้งหมด ทำให้พระยาสุขุมนัยวินิจ(ปั้น สุขุม) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชผู้เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลไทยในสมัยนั้นแสดงความรู้สึกออกมาว่าพระยาแขกเหล่านั้นได้คบคิดร่วมกันในการที่จะเป็นกบฏต่อรัฐบาลไทยอย่างแน่นอน (เตชะบุนนาค “ ขบถ ร.ศ. 121” มูลนิธิโครงการตำรา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ 2524)
แต่ในที่สุด พระยาแขกทั้ง 7 หัวเมืองก็ยอมรับรัฐบาลไปทุกประการ
ไม่ยอมให้มีการอุ้ม ไม่มีการขัดขืนหรือไม่มีการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝายใดทั้งสิ้น แต่ทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยสมัยนั้น ดูเหมือนจะมีสติปัญญาหรือความสามารถกว่าท่านด็อกเตอร์พวกนี้ ไม่ต้องใช้อะไรมากนอกจากความเป็นคนไทยและคุณธรรมของคนไทย ซึ่งไม่มีใครทราบว่ามันจะยังมีอะไรเหลืออยู่หรือไม่ ในการจัดการกับสถานการณ์กบฏพระยาแขกครั้งนี้
เพราะคนไทยส่วนมากที่มีอำนาจวาสนาและมีบุญเป็นใหญ่เป็นโตที่เหลืออยู่ในบ้านเมือง ดูเหมือนจะยังไม่ยอมแสดงความเฉลียวฉลาดอะไรออกมาเท่าที่ควร
ไม่รู้มันยังมีกันอยู่บ้างหรือเปล่า?