เจาะเครือข่าย "ต้มยำกุ้ง" บนเส้นทางสายเผ็ดร้อนในมาเลย์ เป็นแหล่งพักพิงอันอบอุ่นของมือป่วนใต้หรือพวกหลบหนีหมายจับจากทางการไทย พบข้อมูลสมาชิกและแนวร่วมนับแสนคน ส่วนใหญ่ถูกบีบให้จ่าย กว่าครึ่งกระจุกตัวอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ แต่มักจะใช้เมือง "อลอสตาร์-เกาะลังกาวี" ในรัฐเคดาห์ ซ่องสุมเคลื่อนไหว แฉช่องทางระดมเงินทุนแบบเถื่อนๆ มีทั้งบริการผ่านแดนแบบผิดกฎหมาย และพัวพันขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ พบมี จนท.รัฐของไทยยศ "นายพันตำรวจ" ค้าข้อมูลให้ด้วย
จากกรณีมีการเปิดเผยเครือข่าย "ต้มยำกุ้ง"หรือชมรมร้านไทยในประเทศมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่มีคนไทยจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเจ้าของ และมีการระบุว่า เครือข่ายนี้ได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลา 20-30 ปีมาแล้ว และขณะนี้มียอดสมาชิกเกือบแสนราย โดยมีการระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายต้มยำกุ้งนี้ เป็นแหล่งระดมเงินทุนให้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะกลุ่มก่อความไม่สงบที่กำลังปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่องในเวลานี้
**ตำยำกุ้งส่วนใหญ่ถูกบีบให้จ่าย
จากการตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้ระบุถึงเครือข่ายต้มยำกุ้ง ในประเทศมาเลเซียต่อ "ผู้จัดการรายวัน"ว่า ความจริงแล้วสมาชิกที่มีอยู่นับแสนคนนั้นไม่ใช่ว่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ทั้งหมด แต่มีระดับแกนนำและผู้ที่ให้การสนับสนุนตรงเป็นกลุ่มจำนวนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกส่วนใหญ่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็เพราะว่าจะต้องมีการจ่ายเงินให้กับคนกลุ่มนี้ โดยมีทั้งแบบที่เต็มใจจ่าย และไม่เต็มใจ แต่ถูกกดดัน หรือบีบบังคับให้จำเป็นต้องจ่าย
โดยเครือข่ายต้มยำกุ้งที่มีนับแสนคนนั้น มีการกระจายตัวอยู่ตามเมืองสำคัญๆ ในรัฐภาคเหนือของประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วย โกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน, อลอสตาร์ เมืองหลวงของรัฐเคดาห์, เกาะลังกาวี เมืองท่องเที่ยวสำคัญในรัฐเคดาห์, ปีนัง เมืองหลวงของรัฐปีนัง แต่ที่กระจุดตัวมากที่สุดจะอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย โดยประมาณว่า มีสมาชิกเครือข่ายต้มยำกุ้งอยู่ถึง 5-6 หมื่นคน แต่แกนนำเครือข่ายต้มยำกุ้งกลับใช้เมืองอลอสตาร์ หรือเกาะลังกาวี เป็นสถานที่รวมตัวเพื่อประชุม หรือเคลื่อนไหวมากกว่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งก็ปรากฏเป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง
**แหล่งหนีไปกบดานของมือป่วนใต้
ความที่สมาชิกกลุ่มพูโลทั้งเก่าและใหม่ กลุ่มบีอาร์เอ็น (BRN) รวมถึงแนวร่วมก่อความไม่สงบในชายแดนใต้กลุ่มต่างๆ หลังปฏิบัติการหรือหลบหนีหมายจับจากทางการไทยมักไปกบดานในประเทศมาเลเซีย เพราะส่วนมากก็เป็นคนถือบัตรประชาชนสองสัญชาติอยู่แล้ว โดยอาชีพยอดนิยมของคนกลุ่มนี้ก็คือการเปิดร้านขายอาหารไทย จนนำสู่การก่อตั้งเป็นชมรมต้มยำกุ้งขึ้นมานั้น เครือข่ายนี้จึงเป็นแหล่งกบดานอันอบอุ่นของมือปฏิบัติการ หรือพวกหลบหนีหลายจับของไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบปีและจนถึงเดี๋ยวนี้
พวกที่หลบหนีเงื้อมมือของทางการไทยเมื่อข้ามแดนไปได้ เขารู้ทันทีว่าติดต่อกับเครือข่ายต้มยำกุ้งในมาเลย์ได้อย่างไร จากนั้นก็ไปทำงานในร้านอาหารไทยที่นั่นและเจ้าของร้านก็จะให้การดูแลเป็นอย่างดี มีการเส้นสายหูตาป้องกันไม่ให้คนของทางการไทยไปยุ่มย่าม ขณะการหลบหลีกทางการมาเลย์ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผู้ถือบัตรประชาชนมาเลเซียอยู่แล้ว แต่หากใครไม่มีก็ต้องใช้พาสปอร์ตแทน ซึ่งก็จะมีคนในเครือข่ายคอนจัดหาและจัดการให้ ไม่ว่าจะเป็นการแสตมป์การเข้าออกประเทศที่เจ้าของพาสปอร์ต ไม่จำเป็นต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง
"เพียงแต่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นบ้างเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้แหล่ะก็คืออีกช่องทางหนึ่งในการระดมเงินทุน แล้วส่งมาให้กับขบวนการหรือพวกปฏิบัติการในชายแดนใต้ของไทย" แหล่งข่าวหนึ่งในหน่วยความมั่นคงชายแดนใต้ให้ข้อมูล
**พบมีแหล่งรายได้จากการใช้อิทธิพล
จากที่มีการระบุว่า เครือข่ายต้มยำกุ้งในประเทศมาเลเซีย มีเงินทุนหมุนเวียนระดับหลักหมื่นล้าน หรือสูงถึงหลักแสนล้านบาทในแต่ละปีนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ แหล่งข่าวคนเดิมให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาเคยมีการตรวจสอบในเรื่องนี้ แต่ข้อมูลที่ได้ไม่มีการยืนยัน อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้อย่างมาก หากพิจารณาจากแหล่งรายได้ที่มีมาจากหลายทิศทาง ทั้งจากการเรียกเก็บจากสมาชิก 100 ริงกิต/เดือน เงินซากาตของชาวมุสลิมที่ต้องบริจาดกันอย่างน้อย 2.5% ของรายได้รวม แหล่งเงินสนับสนุนจากประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง หรือแม้กระทั่งองค์กรอย่าง IOC ด้วย
ทว่า มีแหล่งรายได้ที่น่าสนใจของเครือข่ายต้มยำกุ้งที่ซุกตัวอยู่ในประเทศมาเลเชียอีกช่องทางหนึ่ง ก็คือ การใช้อิทธิพลไปเรียกรับผลประโยชน์จากคนไทยด้วยกันที่ไปอาศัยอยู่ในมาเลเซีย หรือเป็นปฏิบัติการที่เทียบเคียงได้กับแก๊งยากูซ่าของชาวญี่ปุ่น หรือแก๊งลูกหมูของชาวจีน
โดยเฉพาะการเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ โดยจะมีคนของเครือข่ายไปเรียกรับเงินจากหญิงไทยที่ไปมีอาชีพพิเศษในแดนเสือเหลืองแบบรายหัวต่อเดือน ซึ่งอัตราที่เรียกเก็บก็จะขึ้นอยู่กับรายได้ของหญิงคนนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 พันถึง 1 หมื่นบาท/เดือน
**แฉมีตำรวจระดับผู้พันขายข้อมูล
"มีเรื่องเล่ากันว่า แก๊งลูกหมูที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกระบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ เมื่อมาเจอกับเครือข่ายต้มยำกุ้งยังต้องยอมหลีกทางให้เลย อาจจะด้วยความเกรงใจ หรือแบ่งกันทำมาหากิน หรือไม่อยากจะมีเรื่องก็ตาม" แหล่งข่าวกล่าว
เป็นที่น่าสังเกตว่า เครือข่ายต้มยำกุ้ง มีข้อมูลเกี่ยวกับคนไทยที่อยู่ในประเทศมาเลเซียอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไปประกอบอาชีพหญิงบริการอย่างละเอียด ชนิดที่ว่าพักอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ไหน ที่ไหน มีกี่คน รับแขกกลุ่มไหนบ้าง หรือสังกัดแหล่งไหน ทำให้สามารถที่จะเรียกเก็บค่าหัวได้อย่างทั่วถึง ซึ่งข้อมูลที่ได้มาส่วนหนึ่งก็ซื้อเอาจากเจ้าหน้าที่ของทางการไทยบางคนนั่นเอง
"ตามข้อมูลที่ได้มาพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนที่เป็นถึงนายตำรวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทราบว่ามียศสูงถึงระดับ "พันตำรวจเอก" คอยป้อนข้อมูลให้กับเครือข่ายต้มยำกุ้งอีกทางหนึ่งด้วย" แหล่งข่าวระบุ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกแหล่งรายได้หนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ได้แก่ การบริการรับดำเนินการเกี่ยวกับการผ่านแดน หรือรับแสต็มป์พาสปอร์ตให้กับคนไทยในประเทศมาเลเซีย โดยเครือข่ายต้อยำกุ้ง จะคิดค่าบริการตามความยากง่ายเฉลี่ย 3-5 พันบาท/ฉบับ จากนั้นก็จะมีคนของทางการไทยรับไปดำเนินการให้อีกต่อหนึ่งในอัตราเฉลี่ย 1 พันบาท/ฉบับ ซึ่งเจ้าของพาสปอร์ตตัวจริงไม่จำเป็นต้องเดินทางไปให้ตรวจคนเข้าเมืองเห็นหน้าเลย
**จับตาแผนปักธงเอกราชรัฐปัตตานี
ในด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่มป่วนใต้นั้น แหล่งข่าวที่อยู่ในสายงานความมั่นคง เปิดเผยถึงคำพูดของนายวัน กาเดร์ เจ๊ะมัน หัวหน้ากลุ่มเบอร์ซาตู ที่กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์อัลญะซีเราะห์ของอาหรับ โดยประเมินว่า กลุ่มที่กำลังปฏิบัติการป่วนชายแดนใต้ในเวลานี้เป็นคนรุ่นใหม่ และกำลังชนะในเกมการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การประกาศเอกราชและนำไปสู่การก่อตั้งรัฐอิสลามแห่งปัตตานีนั้น เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก
ความจริงเรื่องนี้หน่วยข่าวทราบมานานแล้ว และก็กำลังจับตากันอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มของนายมะแซ อุเซ็ง ที่เป็นแกนหลักในการเคลื่อนไหวในพื้นที่ จ.นราธิวาส เขากำลังรวบรวมแนวร่วมที่อยู่ในพื้นที่ผนึกกับที่อยู่ในมาเลย์เตรียมปฏิบัติการครั้งใหญ่ ซึ่งกลุ่มนี้เขาเชื่อว่าได้เดินแผนปฏิวัติมาถึงขั้นที่ 7 แล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการยึดพื้นที่แล้วปักธงเอกราชรัฐปัตตานีให้ได้ เป้าหมายอยู่ที่หน่วยงานรัฐที่สำคัญๆ โดยอาจจะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ที่คนให้ความเชื่อถือและเป็นที่รู้จัก
"ว่ากันว่าคนกลุ่มนี้ต้องการเพียงปักธงประกาศเอกราชรัฐปัตตานีอาจจะชั่วเวลา 1 วันหรือ 1 ชั่วโมงก็ได้ แต่ต้องเป็นที่รับรู้ของสื่อมวลชน เพราะเขาต้องการให้มีการเผยแพร่เป็นข่าวออกไปเท่านั้น ซึ่งจะสอดรับกับช่วงเวลาที่มีข่าวว่าจะเคลื่อนไหวใหญ่ช่วงก่อนปลายปีนี้หรือไม่นั้น เราก็ต้องจับตากันต่อไป"
นอกจากนี้ แหล่งข่าวกล่าวยังเพิ่มเติมด้วยว่า ขณะนี้มีรายงานว่ากลุ่มป่วนใต้มีแผนจะใช้วิธีการโจมตีด้วยกันยิง หรือระเบิดจุดจ่ายไฟฟ้าสำคัญให้กับเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจ การค้าหรือการท่องเที่ยวอีกระลอก จากนั้นอาจจะตามด้วยการเข้าก่อกวนในเขตเมือง ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นถึงศักยภาพว่ายังมีกองกำลังและมีความสามารถที่จะปฏิบัติการได้
จากกรณีมีการเปิดเผยเครือข่าย "ต้มยำกุ้ง"หรือชมรมร้านไทยในประเทศมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่มีคนไทยจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเจ้าของ และมีการระบุว่า เครือข่ายนี้ได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลา 20-30 ปีมาแล้ว และขณะนี้มียอดสมาชิกเกือบแสนราย โดยมีการระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายต้มยำกุ้งนี้ เป็นแหล่งระดมเงินทุนให้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะกลุ่มก่อความไม่สงบที่กำลังปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่องในเวลานี้
**ตำยำกุ้งส่วนใหญ่ถูกบีบให้จ่าย
จากการตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้ระบุถึงเครือข่ายต้มยำกุ้ง ในประเทศมาเลเซียต่อ "ผู้จัดการรายวัน"ว่า ความจริงแล้วสมาชิกที่มีอยู่นับแสนคนนั้นไม่ใช่ว่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ทั้งหมด แต่มีระดับแกนนำและผู้ที่ให้การสนับสนุนตรงเป็นกลุ่มจำนวนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกส่วนใหญ่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็เพราะว่าจะต้องมีการจ่ายเงินให้กับคนกลุ่มนี้ โดยมีทั้งแบบที่เต็มใจจ่าย และไม่เต็มใจ แต่ถูกกดดัน หรือบีบบังคับให้จำเป็นต้องจ่าย
โดยเครือข่ายต้มยำกุ้งที่มีนับแสนคนนั้น มีการกระจายตัวอยู่ตามเมืองสำคัญๆ ในรัฐภาคเหนือของประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วย โกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน, อลอสตาร์ เมืองหลวงของรัฐเคดาห์, เกาะลังกาวี เมืองท่องเที่ยวสำคัญในรัฐเคดาห์, ปีนัง เมืองหลวงของรัฐปีนัง แต่ที่กระจุดตัวมากที่สุดจะอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย โดยประมาณว่า มีสมาชิกเครือข่ายต้มยำกุ้งอยู่ถึง 5-6 หมื่นคน แต่แกนนำเครือข่ายต้มยำกุ้งกลับใช้เมืองอลอสตาร์ หรือเกาะลังกาวี เป็นสถานที่รวมตัวเพื่อประชุม หรือเคลื่อนไหวมากกว่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งก็ปรากฏเป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง
**แหล่งหนีไปกบดานของมือป่วนใต้
ความที่สมาชิกกลุ่มพูโลทั้งเก่าและใหม่ กลุ่มบีอาร์เอ็น (BRN) รวมถึงแนวร่วมก่อความไม่สงบในชายแดนใต้กลุ่มต่างๆ หลังปฏิบัติการหรือหลบหนีหมายจับจากทางการไทยมักไปกบดานในประเทศมาเลเซีย เพราะส่วนมากก็เป็นคนถือบัตรประชาชนสองสัญชาติอยู่แล้ว โดยอาชีพยอดนิยมของคนกลุ่มนี้ก็คือการเปิดร้านขายอาหารไทย จนนำสู่การก่อตั้งเป็นชมรมต้มยำกุ้งขึ้นมานั้น เครือข่ายนี้จึงเป็นแหล่งกบดานอันอบอุ่นของมือปฏิบัติการ หรือพวกหลบหนีหลายจับของไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบปีและจนถึงเดี๋ยวนี้
พวกที่หลบหนีเงื้อมมือของทางการไทยเมื่อข้ามแดนไปได้ เขารู้ทันทีว่าติดต่อกับเครือข่ายต้มยำกุ้งในมาเลย์ได้อย่างไร จากนั้นก็ไปทำงานในร้านอาหารไทยที่นั่นและเจ้าของร้านก็จะให้การดูแลเป็นอย่างดี มีการเส้นสายหูตาป้องกันไม่ให้คนของทางการไทยไปยุ่มย่าม ขณะการหลบหลีกทางการมาเลย์ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผู้ถือบัตรประชาชนมาเลเซียอยู่แล้ว แต่หากใครไม่มีก็ต้องใช้พาสปอร์ตแทน ซึ่งก็จะมีคนในเครือข่ายคอนจัดหาและจัดการให้ ไม่ว่าจะเป็นการแสตมป์การเข้าออกประเทศที่เจ้าของพาสปอร์ต ไม่จำเป็นต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง
"เพียงแต่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นบ้างเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้แหล่ะก็คืออีกช่องทางหนึ่งในการระดมเงินทุน แล้วส่งมาให้กับขบวนการหรือพวกปฏิบัติการในชายแดนใต้ของไทย" แหล่งข่าวหนึ่งในหน่วยความมั่นคงชายแดนใต้ให้ข้อมูล
**พบมีแหล่งรายได้จากการใช้อิทธิพล
จากที่มีการระบุว่า เครือข่ายต้มยำกุ้งในประเทศมาเลเซีย มีเงินทุนหมุนเวียนระดับหลักหมื่นล้าน หรือสูงถึงหลักแสนล้านบาทในแต่ละปีนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ แหล่งข่าวคนเดิมให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาเคยมีการตรวจสอบในเรื่องนี้ แต่ข้อมูลที่ได้ไม่มีการยืนยัน อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้อย่างมาก หากพิจารณาจากแหล่งรายได้ที่มีมาจากหลายทิศทาง ทั้งจากการเรียกเก็บจากสมาชิก 100 ริงกิต/เดือน เงินซากาตของชาวมุสลิมที่ต้องบริจาดกันอย่างน้อย 2.5% ของรายได้รวม แหล่งเงินสนับสนุนจากประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง หรือแม้กระทั่งองค์กรอย่าง IOC ด้วย
ทว่า มีแหล่งรายได้ที่น่าสนใจของเครือข่ายต้มยำกุ้งที่ซุกตัวอยู่ในประเทศมาเลเชียอีกช่องทางหนึ่ง ก็คือ การใช้อิทธิพลไปเรียกรับผลประโยชน์จากคนไทยด้วยกันที่ไปอาศัยอยู่ในมาเลเซีย หรือเป็นปฏิบัติการที่เทียบเคียงได้กับแก๊งยากูซ่าของชาวญี่ปุ่น หรือแก๊งลูกหมูของชาวจีน
โดยเฉพาะการเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ โดยจะมีคนของเครือข่ายไปเรียกรับเงินจากหญิงไทยที่ไปมีอาชีพพิเศษในแดนเสือเหลืองแบบรายหัวต่อเดือน ซึ่งอัตราที่เรียกเก็บก็จะขึ้นอยู่กับรายได้ของหญิงคนนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 พันถึง 1 หมื่นบาท/เดือน
**แฉมีตำรวจระดับผู้พันขายข้อมูล
"มีเรื่องเล่ากันว่า แก๊งลูกหมูที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกระบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ เมื่อมาเจอกับเครือข่ายต้มยำกุ้งยังต้องยอมหลีกทางให้เลย อาจจะด้วยความเกรงใจ หรือแบ่งกันทำมาหากิน หรือไม่อยากจะมีเรื่องก็ตาม" แหล่งข่าวกล่าว
เป็นที่น่าสังเกตว่า เครือข่ายต้มยำกุ้ง มีข้อมูลเกี่ยวกับคนไทยที่อยู่ในประเทศมาเลเซียอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไปประกอบอาชีพหญิงบริการอย่างละเอียด ชนิดที่ว่าพักอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ไหน ที่ไหน มีกี่คน รับแขกกลุ่มไหนบ้าง หรือสังกัดแหล่งไหน ทำให้สามารถที่จะเรียกเก็บค่าหัวได้อย่างทั่วถึง ซึ่งข้อมูลที่ได้มาส่วนหนึ่งก็ซื้อเอาจากเจ้าหน้าที่ของทางการไทยบางคนนั่นเอง
"ตามข้อมูลที่ได้มาพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนที่เป็นถึงนายตำรวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทราบว่ามียศสูงถึงระดับ "พันตำรวจเอก" คอยป้อนข้อมูลให้กับเครือข่ายต้มยำกุ้งอีกทางหนึ่งด้วย" แหล่งข่าวระบุ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกแหล่งรายได้หนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ได้แก่ การบริการรับดำเนินการเกี่ยวกับการผ่านแดน หรือรับแสต็มป์พาสปอร์ตให้กับคนไทยในประเทศมาเลเซีย โดยเครือข่ายต้อยำกุ้ง จะคิดค่าบริการตามความยากง่ายเฉลี่ย 3-5 พันบาท/ฉบับ จากนั้นก็จะมีคนของทางการไทยรับไปดำเนินการให้อีกต่อหนึ่งในอัตราเฉลี่ย 1 พันบาท/ฉบับ ซึ่งเจ้าของพาสปอร์ตตัวจริงไม่จำเป็นต้องเดินทางไปให้ตรวจคนเข้าเมืองเห็นหน้าเลย
**จับตาแผนปักธงเอกราชรัฐปัตตานี
ในด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่มป่วนใต้นั้น แหล่งข่าวที่อยู่ในสายงานความมั่นคง เปิดเผยถึงคำพูดของนายวัน กาเดร์ เจ๊ะมัน หัวหน้ากลุ่มเบอร์ซาตู ที่กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์อัลญะซีเราะห์ของอาหรับ โดยประเมินว่า กลุ่มที่กำลังปฏิบัติการป่วนชายแดนใต้ในเวลานี้เป็นคนรุ่นใหม่ และกำลังชนะในเกมการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การประกาศเอกราชและนำไปสู่การก่อตั้งรัฐอิสลามแห่งปัตตานีนั้น เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก
ความจริงเรื่องนี้หน่วยข่าวทราบมานานแล้ว และก็กำลังจับตากันอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มของนายมะแซ อุเซ็ง ที่เป็นแกนหลักในการเคลื่อนไหวในพื้นที่ จ.นราธิวาส เขากำลังรวบรวมแนวร่วมที่อยู่ในพื้นที่ผนึกกับที่อยู่ในมาเลย์เตรียมปฏิบัติการครั้งใหญ่ ซึ่งกลุ่มนี้เขาเชื่อว่าได้เดินแผนปฏิวัติมาถึงขั้นที่ 7 แล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการยึดพื้นที่แล้วปักธงเอกราชรัฐปัตตานีให้ได้ เป้าหมายอยู่ที่หน่วยงานรัฐที่สำคัญๆ โดยอาจจะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ที่คนให้ความเชื่อถือและเป็นที่รู้จัก
"ว่ากันว่าคนกลุ่มนี้ต้องการเพียงปักธงประกาศเอกราชรัฐปัตตานีอาจจะชั่วเวลา 1 วันหรือ 1 ชั่วโมงก็ได้ แต่ต้องเป็นที่รับรู้ของสื่อมวลชน เพราะเขาต้องการให้มีการเผยแพร่เป็นข่าวออกไปเท่านั้น ซึ่งจะสอดรับกับช่วงเวลาที่มีข่าวว่าจะเคลื่อนไหวใหญ่ช่วงก่อนปลายปีนี้หรือไม่นั้น เราก็ต้องจับตากันต่อไป"
นอกจากนี้ แหล่งข่าวกล่าวยังเพิ่มเติมด้วยว่า ขณะนี้มีรายงานว่ากลุ่มป่วนใต้มีแผนจะใช้วิธีการโจมตีด้วยกันยิง หรือระเบิดจุดจ่ายไฟฟ้าสำคัญให้กับเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจ การค้าหรือการท่องเที่ยวอีกระลอก จากนั้นอาจจะตามด้วยการเข้าก่อกวนในเขตเมือง ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นถึงศักยภาพว่ายังมีกองกำลังและมีความสามารถที่จะปฏิบัติการได้