xs
xsm
sm
md
lg

ศิษย์สมเด็จตอนที่ 38 ผงอิทธิเจ...เมตตามหานิยม (1)

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม

หลังจากสอบเสร็จก็เป็นวาระของการปิดเทอม แต่เป็นการปิดเทอมช่วงสั้นๆ เพียง 15 วัน ผมได้ถือโอกาสนี้คิดเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องและครูบาอาจารย์ที่บ้าน แต่ก่อนเดินทางนายตี๋ได้เล่าความให้ฟังว่า ลุงต๋อมไม่สบายมา 2-3 วันแล้ว นอนซมอยู่ในห้อง

ผมได้ทราบก็ตกใจ และมานึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นลุงต๋อมมา 2-3 วันแล้ว แต่ลืมสังเกตและเฉลียวใจไปก็เพราะว่ามัววุ่นอยู่กับการสอบ ดังนั้นพอได้ทราบความจากนายตี๋ผมจึงไปเยี่ยมลุงต๋อมที่ห้องนอน เห็นนอนซมอยู่ จึงถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ลุงต๋อมเห็นผมเข้าไปเยี่ยมก็ดีใจ พอได้ยินผมถามก็ตอบว่าคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่และต้องเจ็บ ลุงแก่แล้วก็ต้องเจ็บบ้างเป็นธรรมดา แต่คิดว่าอาการไม่มากนัก วันสองวันนี้รู้สึกเพลียจึงไม่ได้ออกไปข้างนอก ได้แต่นอนซมอยู่ที่ห้อง ซึ่งดีเหมือนกันเพราะได้มีเวลาพิจารณาวันเวลาที่ผ่านไปของชีวิตว่าช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริงๆ มารู้ตัวอีกทีหนึ่งก็แก่และเจ็บป่วยไปแล้ว อีกหน่อยก็จะถึงแก่ความตายตามธรรมดาธรรมชาติ

ผมจึงถามว่าใครจัดหาอาหารให้กินในระหว่างป่วยเจ็บ ลุงต๋อมบอกว่าได้อาศัยไอ้ตี๋นี่แหละ มันบ้าๆ บอๆ ก็จริงแต่ยังมีความห่วงใยและเอาใจใส่ลุงเป็นอย่างดี

ลุงต๋อมบอกว่าเวลาที่ผ่านมาไอ้ตี๋มันเอาใจใส่แต่หมา คิดว่ามันจะไม่สนใจเรื่องคน ลุงป่วยครั้งนี้จึงได้รู้ว่าไอ้ตี๋ก็มีน้ำใจ และมาเอาใจใส่ดูแลลุงเป็นอย่างดี แต่คิดอีกทีหนึ่งก็รู้สึกว่าคนเราเวลาป่วยเจ็บเช่นนี้ชีวิตก็คล้ายๆ กับหมาที่วัดเหมือนกัน คือดูแลตัวเองได้น้อยมาก ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นช่วยดูแล กล่าวดังนี้แล้วลุงต๋อมก็หัวเราะราวกับว่าได้ลืมความป่วยเจ็บไปแล้ว

ลุงต๋อมยามป่วยก็ยังมีอารมณ์พูดจาเรื่องขำขัน ผมเห็นดังนั้นก็เบาใจ แต่ยังอดห่วงใยไม่ได้ ขณะนั้นผมมีเงินเหลือติดตัวหลังจากที่ได้ซื้อตั๋วรถไฟแล้วอยู่ราว 160 กว่าบาท จึงมอบเงินให้กับนายตี๋ไว้ 100 บาท ผมจึงเหลือเงินติดตัวไว้แค่ 60 กว่าบาท ก็คิดว่าพอเพียงเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางกลับบ้าน

ผมได้สั่งความไว้กับนายตี๋ว่าเงินนี้ให้นายตี๋ไว้ช่วยซื้อยาหรืออาหารให้กับลุงต๋อมตามแต่จะเห็นจำเป็นและสมควร หากเหลือบ่ากว่าแรงก็ให้นายตี๋ช่วยไปกราบบอกท่านเจ้าคุณใหญ่หรือพระมหาทรงธรรม์ให้ช่วยเหลืออีกแรงหนึ่งก็ได้ นายตี๋ก็รับคำแต่โดยดี

ผมกลับไปบ้านเป็นครั้งแรกหลังจากมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ได้นั่งดูทิวทัศน์สองข้างทางรถไฟด้วยความสุขใจเป็นที่ยิ่ง ในใจก็คำนึงว่าเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็จะเดินทางถึงบ้านเกิด จะได้พบหน้าบุพการีญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงแล้ว คิดดังนั้นสายตาก็ทอดไกลออกไป ใจก็ลอยละล่องราวกับว่าได้โลดแล่นล่วงหน้าไปถึงบางบ้านเกิดฉะนั้น

ผมเดินทางไปถึงบ้านก็เข้าไปกราบพ่อแม่ จากนั้นก็ไปกราบก๋งและยายที่ได้เลี้ยงดูมาแต่น้อย ได้เล่าความเป็นอยู่และการเรียนที่กรุงเทพฯ ให้ฟัง ทุกคนได้ทราบความก็มีความยินดีเป็นอันมาก

เพื่อนนักเรียนโรงเรียนเก่าพอทราบข่าวก็พากันมาเยี่ยมเยียนซักไซร้ไต่ถามตามประสา เพราะคนบ้านผมนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ใฝ่ในการศึกษามาเนิ่นนานแล้ว จะยากดีมีจนประการใดก็รักที่จะแสวงหาความรู้และการศึกษาแทบจะเสมอหน้ากันทุกคน

บางคนลำบากยากจนก็ยังสู้ทนส่งเสียให้ลูกได้เล่าเรียน จนเป็นค่านิยมของคนบ้านผมในสมัยนั้นที่จะต้องส่งลูกให้เรียนหนังสือสูงๆ ทั้งส่งไปเรียนในตัวจังหวัดและในเมืองหลวง ดังนั้นคนบ้านผมถึงแม้นห่างไกลจากเมืองหลวงมาก แต่กลับมากไปด้วยคนซึ่งรักการศึกษาและมีความก้าวหน้าในการศึกษาสูงกว่าคนในพื้นที่อื่นๆ ในภาคเดียวกัน

เพราะเหตุนี้คนบ้านเดียวกับผมเมื่อจบการศึกษาแล้วจึงมีฐานะการงานค่อนข้างดี และเข้ารับราชการในแทบทุกหน่วยงานของรัฐบาล

ผมได้ถือโอกาสแนะนำเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเก่าซึ่งขณะนั้นกำลังศึกษากันอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเป็นลู่ทางในการไปศึกษาต่อหลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว

เพื่อนนักเรียนที่เคยร่วมห้องเรียนกันมาแต่ก่อนคงจะเกรงว่าผมจากบ้านเข้าไปอยู่เมืองอาจจะลืมเรื่องความหลัง จึงพากันไปจัดเลี้ยงเล็กๆ น้อยๆ ในทุ่งนาหลังห้องเรียนชั้น ม.ศ. 2 เก่า เห็นทิวทุ่งท้องนากว้างขวางสุดลูกหูลูกตาเหมือนดังเดิม สายลมทะเลโชยมาจากด้านตะวันตกเย็นกายชื่นใจเช่นเดียวกับบรรยากาศเหมือนเมื่อครั้งที่ยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเก่าทุกประการ ทำให้ได้รำลึกถึงความหลังและการคบหาใกล้ชิดเป็นมิตรสหายกันมาแต่น้อยเป็นอย่างดี

การเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ น้อยๆ ตามประสาเด็กๆ ในวันนั้นช่างเป็นความสุขกายสุขใจเหลือประมาณนัก พวกเราดื่มด่ำในความรักของความเป็นเพื่อนอย่างฝังจิตฝังใจ ซึ่งแม้วันเวลาจะผ่านไปช้านานเพียงใดแล้วหวนรำลึกถึงคราใดใจก็ยังเต็มไปด้วยความสุขและยังทรงจำภาพอันทรงคุณค่าแห่งชีวิตในครั้งนั้นได้ไม่ลืมเลือน

ผมยังคงคุ้นเคยกับความเป็นอยู่ดังแต่ก่อน ดังนั้นเมื่อถือโอกาสไปกราบเยี่ยมพระอาจารย์จึงได้นอนค้างแรมอยู่ที่วัด ในเวลากลางคืนเป็นเวลาว่าง อยู่กันแต่ลำพังกับพระอาจารย์ จึงได้เล่าความทั้งปวงให้พระอาจารย์ทราบ

โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับเจ้าประคุณสมเด็จเท่าที่ผมได้ประสบพบเห็นปาฏิหาริย์และปรากฏการณ์ต่างๆ นั้น ผมได้กราบเล่าให้พระอาจารย์ฟังโดยละเอียด

พระอาจารย์นั่งฟังด้วยความสนใจในอาการที่สงบอย่างยิ่ง ครั้นผมเล่าความจบลงพระอาจารย์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่าการซึ่งได้สัมผัสกับความลี้ลับฉะนี้นั้นใช่ว่าจะเกิดได้กับทุกคน การจะสัมผัสกับความมหัศจรรย์เช่นนี้จะต้องมีธรรมอยู่ในใจ ทั้งยังต้องมีวาสนาบารมีแต่ปางก่อนพอประมาณ

พระอาจารย์บอกว่าคนเราศึกษาแต่เรื่องนอกกายมากมายนับไม่ถ้วน แต่เรื่องในกายของตัวเองกลับไม่สนใจศึกษา แค่ความรู้ที่ว่าทำไมคนเราจึงโกรธก็ไม่ยอมค้นคว้าศึกษา แม้ขนาดว่าการหายใจของตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีผลอย่างไรก็ไม่สนใจศึกษากัน การศึกษาด้านนอกแต่ไม่ศึกษาด้านใน เป็นการศึกษาด้านเดียว ถึงเป็นคนก็เป็นคนไม่สมบูรณ์.

โปรดติดตามตอนที่ 38
“ผงอิทธิเจ...เมตตามหานิยม ตอน 2 (จบ)” ในวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2549
กำลังโหลดความคิดเห็น