"สุรยุทธ์" ระบุร้าน "ต้มยำกุ้งไทย" ในมาเลย์ ตั้งโต๊ะบริจาค รีดส่วย ค่าคุ้มครอง "คนเชื้อสายจึน-ไทยพุทธ-มุสลิม" นำเงินหนุนโจรป่วนใต้ ยันไม่ทำสงครามแย่งประชาชน แค่ขอความร่วมมือเพื่อชาติ ย้ำใช้แนวทางสันติวิธีทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบใต้ เผยพฤหัสฯ 23 พ.ย.ประชุม ครม.นัดพิเศษ จะพิจารณาลึกเรื่องกำลังพล-งบประมาณ ในพื้นที่ ขณะที่ ครม.เห็นชอบข้อเสนอสมานฉันท์อนุมัติจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนครูอัตราจ้างใน 3 จชต.และ 4 อำเภอในสงขลา หน่วยข่าวความมั่นคงเตือนหลังมีข่าว "กลุ่มอาร์เคเค"เตรียมก่อเหตุวินาศกรรมในเขตเมืองตั้งแต่วันนี้จนถึง 26 พ.ย.
เมื่อบ่ายวานนี้ (21พ.ย.)พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยยอมรับว่า วันนี้เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอยู่ เพราะมีคนที่คิดไม่ดี คิดที่จะแบ่งแยก โดยใช้ความเชื่อทางศาสนา ทางเชื้อชาติ และความเชื่อทางประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ต้องยืนอยู่บนความเป็นจริงว่า ประเทศไทยเป็นของคนที่ต่างความเชื่อและคนที่ต่างเชื้อชาติ
**"สุรยุทธ์"ย้ำใช้แนวทางสันติวิธี
ส่วนกรณีปัญหาที่ขณะนี้กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ต้องการให้คนไทยพุทธอยู่ในพื้นที่ขณะเดียวกันต้องการกักขังคนไทยและมุสลิมไม่ให้ติดต่อกับภาครัฐนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า คิดว่าสื่อคงต้องช่วยในส่วนนี้ที่จะสร้างความเข้าใจทั้งในส่วนของคนไทยพุทธ และคนไทยมุสลิมว่ามีคนที่เขาคิดไม่ดีพยายามที่จะทำตรงนี้
"ทำอย่างไรที่เราจะหันมาช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกัน เหมือนอย่างกรณีที่มีคนไทยมุสลิมจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา มาเยี่ยมกลุ่มคนไทยพุทธ ที่อพยพมาอยู่วัดนิโรธสังฆาราม ตรงนี้เป็นการแสดงออกที่เห็นถึงความ(กพัน และความร่วมมือของคนไทย ไม่ว่าจะมีความเชื่ออะไร ตรงนี้คิดว่า สื่อน่าจะช่วยได้ว่า สิ่งที่ผู้ก่อความไม่สงบทำนั้น ไม่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่"
ส่วนปัญหาที่ผู้ก่อความไม่สงบจะใช้แนวทางกดดันให้เจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่ โดยใช้ประชาชนเข้ามาเป็นมวลชนในการกดดันนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตรงนี้เราได้แก้ไปแล้ว คือ ใช้วิธีการเจรจา ไม่ได้มีการใช้กำลังและความรุนแรง โดยชี้แจงให้ฟังว่า สิ่งที่เขาอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนนั้นมันไม่จริงอาจจะมีคนปล่อยข่าว แต่จริงๆ ไม่ใช่ ใครก็ไม่ทราบที่เป็นคนทำ เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดความแตกแยก สื่อเองถ้ามีข้อมูลและพยายามสื่อข่าวในลักษณะสร้างความเข้าใจ สร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ ส่วนแนวความคิดการส่งตัวแทนไปเจรจากับแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ เวลานี้ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะยังไม่มีคณะบุคคลใดที่แสดงออกว่าจะขอมาเจรจา
"แนวทางสันติวิธี คือ การแก้ไขปัญหาโดยการพูดจากัน ซึ่งผมพูดมาตั้งแต่ต้นคงไม่ต้องบอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพราะผมเป็นคนเปลี่ยนให้ใช้วิธีการพูดจาทำความเข้าใจกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามทั้งผู้ก่อเหตุและประชาชนธรรมดา ซึ่งอาจจะมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อน ตรงนี้เป็นส่วนที่อยากจะบอกพวกเราว่าสื่อเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แทนที่จะเข้าใจคาดเคลื่อนแล้วขยายความเข้าใจที่คาดเคลื่อนนั้นออกไป"
**แฉร้านต้มยำยุ้งหนุนเงินโจรใต้
ในส่วนแรงหนุนจากต่างชาตินั้น นายกรัฐมนตรี บอกว่า เท่าที่ได้มีโอกาสทำงานในระยะหลังนี้ คิดว่าไม่มี เพียงแต่เราต้องปรับความเข้าใจกัน ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศมุสลิมทั่วโลกก็เริ่มเข้าใจถึงวิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่อาจจะใช้วิธีการที่รุนแรงมากเกินไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เมื่อถามว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุได้รับเงินสนับสนุนมาปฏิบัติการจากแหล่งใด รัฐบาลได้เช็คหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนคิดว่าเราสามารถจะติดตามได้ ไม่ได้เป็นเงินที่มากมาย แต่เท่าที่ทราบเขามีเครือข่าย ร้านอาหารไทยในมาเลเซีย ที่เรียกว่า "ต้มยำกุ้ง" เขาอาศัยการบริจาคเงินจากร้านอาหารเหล่านี้ และใช้วิธีการเรียกค่าคุ้มครองจากนักธุรกิจภายในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อสายจีน ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ก็ถูกเรียกค่าคุ้มครองทั้งสิ้น ซึ่งปัญหาตรงนี้ต้องค่อย ๆ ทำ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ถ้าเราสามารถที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องได้ สร้างความเชื่อมั่นได้ ประชาชนก็จะมาให้ความร่วมมือกับฝ่ายรัฐมากขึ้น
"ส่วนจะเป็นลักษณะการทำสงครามแย่งชิงประชาชนหรือไม่นั้น ไม่ใช่ได้แย่งชิง แต่เราพูดถึงความร่วมมือ ความเข้าใจ เราไม่ได้ทำสงคราม ผมเป็นทหาร แต่ไม่ชอบสงคราม ผมไม่ทำสงครามแย่งชิงประชาชน แต่ขอความเห็นใจ ความเข้าใจให้มาร่วมมือกันที่จะแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองของเรา"
**ครม.พิเศษ 23 พ.ย.ถกกำลังพล-งบ
เมื่อถามถึงกรณีที่จะให้ทำความจริงปรากฏในกรณีคดีวิสามัญฆาตกรรมที่สะบ้าย้อย กับกรือเซะ ตรงนี้เห็นด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการอยู่ คงต้องรอ เพราะเกี่ยวข้องกับหลักฐาน และการสืบสวนสอบสวนต้องใช้เวลา ถ้าพูดไปก่อนจะทำให้เกิดความเสียหาย นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจ้งให้ทราบแล้วว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ส่วนจะสรุปออกมาในรูปแบบยังไม่ทราบ แต่คงไม่ใช่การออกหนังสือปกขาว น่าจะเป็นเรื่องของการดำเนินการเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนของเราที่จะต้องทำให้เกิดความชัดเจน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระบวนการปรับปรุงกำลังพลและงบประมาณในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ด้วยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษวันพฤหัสฯที่ 23 พ.ย.นี้เวลา 17.00 น.ที่บ้านพิษณุโลก จะพิจารณาลึกลงไปในรายละเอียดว่า มีปัญหาเรื่องของการบริหารอย่างไรบ้าง เพราะบางกระทรวงอาจมีข้อขัดข้องในการลงไปทำงานก็จะได้มีการปรับ เพราะน่าจะมีเอกภาพ มีศูนย์รวมในการที่จะนำนโยบายลงไปปฏิบัติ ซึ่งการประชุมคงไม่มีวาระพิเศษอะไร เพราะถ้ามีวาระจะเหมือนเป็นการบีบบังคับให้พูดคุยตามหัวข้อที่ตั้งไว้
"จะเป็นการพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ ที่ทุกกระทรวงจะได้แสดงความคิดเห็นเป็นการระดมความคิด ที่การประชุมบางครั้งไม่มีเวลาพูดคุยกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือสถานการณ์ภาคใต้ ครั้งนี้เป็นการระดมความคิดเพื่อให้เกิดเอกภาพในการทำงาน ทำให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างราบรื่น" นายกรัฐมนตรี กล่าว
**จี้เร่งทำความจริง4คดีให้ปรากฏ
ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม.ให้ความเห็นชอบข้อเสนอเกี่ยวกับการเสริมสร้างความสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดทำโดยคณะที่ปรึกษาฝ่ายเสริมสร้างสมานฉันท์และความเป็นธรรมในสังคม ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ตามที่สำนักงานเลขาธิการ คมช. เสนอ
โดยคณะที่ปรึกษามีข้อเสนอแนะ 3 ข้อ คือ 1. การดำเนินการขจัดความไม่เป็นธรรมในสังคม เช่น กรณีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ควรเร่งรัดดำเนินการให้ความจริงปรากฏโดยเร็วที่สุด รวมทั้งกรณีดำเนินการพิจารณาคดีตากใบ ที่กล่าวหาประชาชน 58 คนอย่างไม่เป็นธรรม การวิสามัญฆาตกรรมที่สะบ้าย้อย กรือเซะ และปัญหาที่ทำกินของประชาชนในพื้นที่ ฯลฯ
2.การลดปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรสนับสนุนโครงการสันติจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งดำเนินงานโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีการปฏิบัตินำร่องอย่างได้ผลโดยการให้ความคุ้มครองและหลักประกันประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการฟื้นศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพื่อประสานการปฏิบัติอย่างมีเอกภาพ ทั้งการข่าว การสื่อสารและการปฏิบัติ ให้เปลี่ยนกำลังทหารมาใช้ทหารจากบุคคลในพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ และอาจใช้แนวทาง "สันติเสวนา" ตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) หาทางออกของปัญหาความรุนแรง ฯลฯ
3.สร้างหลักประกันเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความเป็นธรรม โดยถือหลักยุติธรรมอย่างเคร่งครัด ทั้งการสร้างความยุติธรรมทั้งทางกฎหมายและสังคมให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ส่งเสริมให้มีการยอมรับกระบวนการยุติธรรมชุมชน และกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ให้สอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย และส่งเสริมการสร้างกฎกติกาของชุมชน ตำบล เพื่อแก้ปัญหากันเองในกรอบของกฎหมาย รวมถึงกติกา การมีสิทธิ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติบนฐานความเชื่อของศาสนา และให้นำหลักการดำเนินการบริหารพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นการค้นหาความจริง งดใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ สร้างความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ และส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทในการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาต่างๆ
**อนุมัติค่าตอบแทนครูอัตราจ้าง
นอกจากนี้ ในที่ประชุม ครม.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมโดยเน้นในเรื่องของการให้เยาวชนไทยพุทธและมุสลิม ได้เรียนร่วมกันตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่ง ครม.ได้แลกเปลี่ยนความเห็นค่อนข้างหลากหลายและใช้เวลานาน
"นายกรัฐมนตรี ได้สรุปในช่วงท้ายว่า ปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาที่รัฐบาลที่มีช่วงระยะเวลาบริหารประเทศค่อนข้างสั้น จะทำหน้าที่วางรากฐานในการแก้ปัญหาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติงานที่ต้องมีเอกภาพ มีการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องงบประมาณ และระเบียบต่าง ๆ ในการปฏิบัติราชการ โดยเฉพาะการปฏิบัติราชการในยามฉุกเฉินที่ต้องปรับปรุงแก้ไขในเรื่องของความคล่องตัวเรื่องงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังจะรับไปพิจารณาต่อไป" ร.อ.นพ.ยงยุทธ กล่าว และว่า
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนแก่ครูอัตราจ้าง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงศึกษาธิการ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย จำนวน 3,695 คน ในอัตรา 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549 เป็นต้นไป โดยเบิกจ่ายจากงบบุคลากรของส่วนราชการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
**ฮือกดดันย้ายฐานตชด - ทหารพราน
ที่ จ.ยะลา วานนี้ตั้งแต่เช้าเวลา 08.00 น.ชาวบ้านใน ต.ปะแต่ อ.ยะหา กว่า 200 คน ได้ปิดถนนชุมนุมประท้วงพร้อมกัน 2 จุด โดยจุดแรกที่บ้านฆอรอราแม ชาวบ้านประมาณ 150 คน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก ใช้เต็นท์ 2 หลัง กางขวางถนน เรียกร้องให้ถอนกำลังทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 41 ซึ่งตั้งฐานชั่วคราวอยู่ในโรงเรียนบ้านละไมออกจากพื้นที่ จุดที่ 2 ที่ถนนเส้นทางมาหมู่บ้านมาแบ ซึ่งอยู่ห่างจุดแรกประมาณ 1 กิโลเมตร มีชาวบ้านประมาณ 30 คน ชุมนุมเรียกร้องให้ถอนกำลังตำรวจตระเวนชายแดน มว.ที่ 44023 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในโรงเรียน ตชด.บ้านยาสูบออกจากพื้นที่เช่นกัน โดยชาวบ้านอ้างว่าจะดูแลความปลอดภัยกันเองได้
ต่อมานายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ นายอำเภอยะหา พร้อม ผกก.สภ.อ.ยะหา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 13 เข้าเจรจากับชาวบ้าน โดยใช้เวลาเจรจานานกว่า 4 ชั่วโมง และรับปากจะนำข้อเรียกร้องไปหารือกับผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 ซึ่งดูแลพื้นที่ จ.ยะลา ชาวบ้านจึงยอมสลายการชุมนุมชั่วคราว และรอฟังคำตอบจากนายอำเภออีกครั้งในช่วงเย็น ทั้งนี้ ในการเจรจานายอำเภอยะหาได้ต่อรองกับชาวบ้านในเบื้องต้นว่าจะคงกำลังตำรวจตระเวนชายแดนไว้ในโรงเรียน ตชด.บ้านยาสูบต่อไป เนื่องจากต้องดูแลโครงการสำคัญต่าง ๆ ที่ได้ทำก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ระหว่างที่ชาวบ้านรอฟังคำตอบจากนายอำเภอและผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยนายได้ตรึงกำลังรอบบริเวณที่ชาวบ้านชุมนุมเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น
**เตือนอาร์เคเควางแผนป่วนใต้
ขณะที่หน่วยข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แจ้งเตือนให้กองกำลังทุกหน่วยในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส และ 4 อำเภอชายแดนของ จ.สงขลา เตรียมความพร้อมและเพิ่มมาตรการในการดูแลความสงบเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากได้รับรายงานจากสายข่าวว่ากลุ่มแนวร่วมอาร์เคเคจะก่อเหตุรุนแรงอีกครั้งในระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 26 พ.ย.แต่ยังไม่ทราบพื้นที่ หรือเป้าหมายที่แน่นอน แต่จะเน้นในเขตเมือง เพื่อแสดงศักยภาพและตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐโดยปฏิบัติการของคนร้ายจะเน้นการลอบวางระเบิด
ขณะเดียวกัน ทางหน่วยข่าวได้รับรายงานว่า พบความเคลื่อนไหวของแนวร่วมอาร์เคเค เข้ามาแฝงตัวอยู่ในอำเภอชายแดนของ จ.สงขลาแล้ว คาดว่าจะเป็นการวางแผนก่อนลงมือปฏิบัติการ
เมื่อบ่ายวานนี้ (21พ.ย.)พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยยอมรับว่า วันนี้เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอยู่ เพราะมีคนที่คิดไม่ดี คิดที่จะแบ่งแยก โดยใช้ความเชื่อทางศาสนา ทางเชื้อชาติ และความเชื่อทางประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ต้องยืนอยู่บนความเป็นจริงว่า ประเทศไทยเป็นของคนที่ต่างความเชื่อและคนที่ต่างเชื้อชาติ
**"สุรยุทธ์"ย้ำใช้แนวทางสันติวิธี
ส่วนกรณีปัญหาที่ขณะนี้กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ต้องการให้คนไทยพุทธอยู่ในพื้นที่ขณะเดียวกันต้องการกักขังคนไทยและมุสลิมไม่ให้ติดต่อกับภาครัฐนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า คิดว่าสื่อคงต้องช่วยในส่วนนี้ที่จะสร้างความเข้าใจทั้งในส่วนของคนไทยพุทธ และคนไทยมุสลิมว่ามีคนที่เขาคิดไม่ดีพยายามที่จะทำตรงนี้
"ทำอย่างไรที่เราจะหันมาช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกัน เหมือนอย่างกรณีที่มีคนไทยมุสลิมจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา มาเยี่ยมกลุ่มคนไทยพุทธ ที่อพยพมาอยู่วัดนิโรธสังฆาราม ตรงนี้เป็นการแสดงออกที่เห็นถึงความ(กพัน และความร่วมมือของคนไทย ไม่ว่าจะมีความเชื่ออะไร ตรงนี้คิดว่า สื่อน่าจะช่วยได้ว่า สิ่งที่ผู้ก่อความไม่สงบทำนั้น ไม่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่"
ส่วนปัญหาที่ผู้ก่อความไม่สงบจะใช้แนวทางกดดันให้เจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่ โดยใช้ประชาชนเข้ามาเป็นมวลชนในการกดดันนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตรงนี้เราได้แก้ไปแล้ว คือ ใช้วิธีการเจรจา ไม่ได้มีการใช้กำลังและความรุนแรง โดยชี้แจงให้ฟังว่า สิ่งที่เขาอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนนั้นมันไม่จริงอาจจะมีคนปล่อยข่าว แต่จริงๆ ไม่ใช่ ใครก็ไม่ทราบที่เป็นคนทำ เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดความแตกแยก สื่อเองถ้ามีข้อมูลและพยายามสื่อข่าวในลักษณะสร้างความเข้าใจ สร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ ส่วนแนวความคิดการส่งตัวแทนไปเจรจากับแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ เวลานี้ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะยังไม่มีคณะบุคคลใดที่แสดงออกว่าจะขอมาเจรจา
"แนวทางสันติวิธี คือ การแก้ไขปัญหาโดยการพูดจากัน ซึ่งผมพูดมาตั้งแต่ต้นคงไม่ต้องบอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพราะผมเป็นคนเปลี่ยนให้ใช้วิธีการพูดจาทำความเข้าใจกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามทั้งผู้ก่อเหตุและประชาชนธรรมดา ซึ่งอาจจะมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อน ตรงนี้เป็นส่วนที่อยากจะบอกพวกเราว่าสื่อเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แทนที่จะเข้าใจคาดเคลื่อนแล้วขยายความเข้าใจที่คาดเคลื่อนนั้นออกไป"
**แฉร้านต้มยำยุ้งหนุนเงินโจรใต้
ในส่วนแรงหนุนจากต่างชาตินั้น นายกรัฐมนตรี บอกว่า เท่าที่ได้มีโอกาสทำงานในระยะหลังนี้ คิดว่าไม่มี เพียงแต่เราต้องปรับความเข้าใจกัน ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศมุสลิมทั่วโลกก็เริ่มเข้าใจถึงวิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่อาจจะใช้วิธีการที่รุนแรงมากเกินไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เมื่อถามว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุได้รับเงินสนับสนุนมาปฏิบัติการจากแหล่งใด รัฐบาลได้เช็คหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนคิดว่าเราสามารถจะติดตามได้ ไม่ได้เป็นเงินที่มากมาย แต่เท่าที่ทราบเขามีเครือข่าย ร้านอาหารไทยในมาเลเซีย ที่เรียกว่า "ต้มยำกุ้ง" เขาอาศัยการบริจาคเงินจากร้านอาหารเหล่านี้ และใช้วิธีการเรียกค่าคุ้มครองจากนักธุรกิจภายในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อสายจีน ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ก็ถูกเรียกค่าคุ้มครองทั้งสิ้น ซึ่งปัญหาตรงนี้ต้องค่อย ๆ ทำ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ถ้าเราสามารถที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องได้ สร้างความเชื่อมั่นได้ ประชาชนก็จะมาให้ความร่วมมือกับฝ่ายรัฐมากขึ้น
"ส่วนจะเป็นลักษณะการทำสงครามแย่งชิงประชาชนหรือไม่นั้น ไม่ใช่ได้แย่งชิง แต่เราพูดถึงความร่วมมือ ความเข้าใจ เราไม่ได้ทำสงคราม ผมเป็นทหาร แต่ไม่ชอบสงคราม ผมไม่ทำสงครามแย่งชิงประชาชน แต่ขอความเห็นใจ ความเข้าใจให้มาร่วมมือกันที่จะแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองของเรา"
**ครม.พิเศษ 23 พ.ย.ถกกำลังพล-งบ
เมื่อถามถึงกรณีที่จะให้ทำความจริงปรากฏในกรณีคดีวิสามัญฆาตกรรมที่สะบ้าย้อย กับกรือเซะ ตรงนี้เห็นด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการอยู่ คงต้องรอ เพราะเกี่ยวข้องกับหลักฐาน และการสืบสวนสอบสวนต้องใช้เวลา ถ้าพูดไปก่อนจะทำให้เกิดความเสียหาย นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจ้งให้ทราบแล้วว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ส่วนจะสรุปออกมาในรูปแบบยังไม่ทราบ แต่คงไม่ใช่การออกหนังสือปกขาว น่าจะเป็นเรื่องของการดำเนินการเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนของเราที่จะต้องทำให้เกิดความชัดเจน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระบวนการปรับปรุงกำลังพลและงบประมาณในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ด้วยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษวันพฤหัสฯที่ 23 พ.ย.นี้เวลา 17.00 น.ที่บ้านพิษณุโลก จะพิจารณาลึกลงไปในรายละเอียดว่า มีปัญหาเรื่องของการบริหารอย่างไรบ้าง เพราะบางกระทรวงอาจมีข้อขัดข้องในการลงไปทำงานก็จะได้มีการปรับ เพราะน่าจะมีเอกภาพ มีศูนย์รวมในการที่จะนำนโยบายลงไปปฏิบัติ ซึ่งการประชุมคงไม่มีวาระพิเศษอะไร เพราะถ้ามีวาระจะเหมือนเป็นการบีบบังคับให้พูดคุยตามหัวข้อที่ตั้งไว้
"จะเป็นการพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ ที่ทุกกระทรวงจะได้แสดงความคิดเห็นเป็นการระดมความคิด ที่การประชุมบางครั้งไม่มีเวลาพูดคุยกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือสถานการณ์ภาคใต้ ครั้งนี้เป็นการระดมความคิดเพื่อให้เกิดเอกภาพในการทำงาน ทำให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างราบรื่น" นายกรัฐมนตรี กล่าว
**จี้เร่งทำความจริง4คดีให้ปรากฏ
ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม.ให้ความเห็นชอบข้อเสนอเกี่ยวกับการเสริมสร้างความสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดทำโดยคณะที่ปรึกษาฝ่ายเสริมสร้างสมานฉันท์และความเป็นธรรมในสังคม ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ตามที่สำนักงานเลขาธิการ คมช. เสนอ
โดยคณะที่ปรึกษามีข้อเสนอแนะ 3 ข้อ คือ 1. การดำเนินการขจัดความไม่เป็นธรรมในสังคม เช่น กรณีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ควรเร่งรัดดำเนินการให้ความจริงปรากฏโดยเร็วที่สุด รวมทั้งกรณีดำเนินการพิจารณาคดีตากใบ ที่กล่าวหาประชาชน 58 คนอย่างไม่เป็นธรรม การวิสามัญฆาตกรรมที่สะบ้าย้อย กรือเซะ และปัญหาที่ทำกินของประชาชนในพื้นที่ ฯลฯ
2.การลดปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรสนับสนุนโครงการสันติจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งดำเนินงานโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีการปฏิบัตินำร่องอย่างได้ผลโดยการให้ความคุ้มครองและหลักประกันประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการฟื้นศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพื่อประสานการปฏิบัติอย่างมีเอกภาพ ทั้งการข่าว การสื่อสารและการปฏิบัติ ให้เปลี่ยนกำลังทหารมาใช้ทหารจากบุคคลในพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ และอาจใช้แนวทาง "สันติเสวนา" ตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) หาทางออกของปัญหาความรุนแรง ฯลฯ
3.สร้างหลักประกันเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความเป็นธรรม โดยถือหลักยุติธรรมอย่างเคร่งครัด ทั้งการสร้างความยุติธรรมทั้งทางกฎหมายและสังคมให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ส่งเสริมให้มีการยอมรับกระบวนการยุติธรรมชุมชน และกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ให้สอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย และส่งเสริมการสร้างกฎกติกาของชุมชน ตำบล เพื่อแก้ปัญหากันเองในกรอบของกฎหมาย รวมถึงกติกา การมีสิทธิ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติบนฐานความเชื่อของศาสนา และให้นำหลักการดำเนินการบริหารพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นการค้นหาความจริง งดใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ สร้างความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ และส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทในการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาต่างๆ
**อนุมัติค่าตอบแทนครูอัตราจ้าง
นอกจากนี้ ในที่ประชุม ครม.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมโดยเน้นในเรื่องของการให้เยาวชนไทยพุทธและมุสลิม ได้เรียนร่วมกันตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่ง ครม.ได้แลกเปลี่ยนความเห็นค่อนข้างหลากหลายและใช้เวลานาน
"นายกรัฐมนตรี ได้สรุปในช่วงท้ายว่า ปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาที่รัฐบาลที่มีช่วงระยะเวลาบริหารประเทศค่อนข้างสั้น จะทำหน้าที่วางรากฐานในการแก้ปัญหาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติงานที่ต้องมีเอกภาพ มีการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องงบประมาณ และระเบียบต่าง ๆ ในการปฏิบัติราชการ โดยเฉพาะการปฏิบัติราชการในยามฉุกเฉินที่ต้องปรับปรุงแก้ไขในเรื่องของความคล่องตัวเรื่องงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังจะรับไปพิจารณาต่อไป" ร.อ.นพ.ยงยุทธ กล่าว และว่า
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนแก่ครูอัตราจ้าง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงศึกษาธิการ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย จำนวน 3,695 คน ในอัตรา 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549 เป็นต้นไป โดยเบิกจ่ายจากงบบุคลากรของส่วนราชการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
**ฮือกดดันย้ายฐานตชด - ทหารพราน
ที่ จ.ยะลา วานนี้ตั้งแต่เช้าเวลา 08.00 น.ชาวบ้านใน ต.ปะแต่ อ.ยะหา กว่า 200 คน ได้ปิดถนนชุมนุมประท้วงพร้อมกัน 2 จุด โดยจุดแรกที่บ้านฆอรอราแม ชาวบ้านประมาณ 150 คน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก ใช้เต็นท์ 2 หลัง กางขวางถนน เรียกร้องให้ถอนกำลังทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 41 ซึ่งตั้งฐานชั่วคราวอยู่ในโรงเรียนบ้านละไมออกจากพื้นที่ จุดที่ 2 ที่ถนนเส้นทางมาหมู่บ้านมาแบ ซึ่งอยู่ห่างจุดแรกประมาณ 1 กิโลเมตร มีชาวบ้านประมาณ 30 คน ชุมนุมเรียกร้องให้ถอนกำลังตำรวจตระเวนชายแดน มว.ที่ 44023 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในโรงเรียน ตชด.บ้านยาสูบออกจากพื้นที่เช่นกัน โดยชาวบ้านอ้างว่าจะดูแลความปลอดภัยกันเองได้
ต่อมานายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ นายอำเภอยะหา พร้อม ผกก.สภ.อ.ยะหา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 13 เข้าเจรจากับชาวบ้าน โดยใช้เวลาเจรจานานกว่า 4 ชั่วโมง และรับปากจะนำข้อเรียกร้องไปหารือกับผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 ซึ่งดูแลพื้นที่ จ.ยะลา ชาวบ้านจึงยอมสลายการชุมนุมชั่วคราว และรอฟังคำตอบจากนายอำเภออีกครั้งในช่วงเย็น ทั้งนี้ ในการเจรจานายอำเภอยะหาได้ต่อรองกับชาวบ้านในเบื้องต้นว่าจะคงกำลังตำรวจตระเวนชายแดนไว้ในโรงเรียน ตชด.บ้านยาสูบต่อไป เนื่องจากต้องดูแลโครงการสำคัญต่าง ๆ ที่ได้ทำก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ระหว่างที่ชาวบ้านรอฟังคำตอบจากนายอำเภอและผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยนายได้ตรึงกำลังรอบบริเวณที่ชาวบ้านชุมนุมเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น
**เตือนอาร์เคเควางแผนป่วนใต้
ขณะที่หน่วยข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แจ้งเตือนให้กองกำลังทุกหน่วยในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส และ 4 อำเภอชายแดนของ จ.สงขลา เตรียมความพร้อมและเพิ่มมาตรการในการดูแลความสงบเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากได้รับรายงานจากสายข่าวว่ากลุ่มแนวร่วมอาร์เคเคจะก่อเหตุรุนแรงอีกครั้งในระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 26 พ.ย.แต่ยังไม่ทราบพื้นที่ หรือเป้าหมายที่แน่นอน แต่จะเน้นในเขตเมือง เพื่อแสดงศักยภาพและตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐโดยปฏิบัติการของคนร้ายจะเน้นการลอบวางระเบิด
ขณะเดียวกัน ทางหน่วยข่าวได้รับรายงานว่า พบความเคลื่อนไหวของแนวร่วมอาร์เคเค เข้ามาแฝงตัวอยู่ในอำเภอชายแดนของ จ.สงขลาแล้ว คาดว่าจะเป็นการวางแผนก่อนลงมือปฏิบัติการ