xs
xsm
sm
md
lg

รัฐวิสาหกิจ : กลไกรัฐเพื่อพัฒนาหรือหาประโยชน์?

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

รัฐวิสาหกิจ คือ องค์กรของรัฐที่เป็นเอกภาพจากส่วนราชการที่รัฐบาลในแต่ละยุค แต่ละสมัยได้จัดตั้งขึ้นเพื่อสนองนโยบายรัฐในด้านต่างๆ โดยมีกฎหมายรองรับในการจัดตั้งในรูปของพระราชบัญญัติหรือประกาศคณะปฏิวัติ มีการกำหนดภารกิจ พันธกิจ และรูปแบบการบริหารไว้อย่างชัดเจนในแต่ละประเภท โดยคำนึงลักษณะงานและปริมาณที่แต่ละองค์กรต้องรับผิดชอบ ซึ่งพอจะแบ่งเป็นประเภทใหญ่ตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งได้ดังนี้

1. เพื่อหารายได้เข้ารัฐ เช่น สำนักงานสลากกินแบ่งฯ และองค์การยาสูบ เป็นต้น

2. เพื่อผลิตอุปการณ์สำหรับใช้กับกิจการของกองทัพ เป็นการป้องกันปัญหาขาดแคลนในยามสงคราม เช่น องค์การฟอกหนัง องค์การทอผ้า ในสังกัดกระทรวงกลาโหม เป็นต้น

3. เพื่อให้บริการด้านสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ เช่น การไฟฟ้าฯ การประปาฯ การรถไฟฯ และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เป็นต้น

4. เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อันมีความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ เช่น การท่าเรือฯ การท่าอากาศยานฯ และการทางพิเศษฯ เป็นต้น

สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐต้องตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาเพื่อลงทุนทำกิจการต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมา ก็เนื่องมาจากภาคเอกชนยังไม่มีความพร้อม ทั้งด้านการเงิน และเทคโนโลยี

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ภาคเอกชนมีความพร้อมมากขึ้น ความจำเป็นในการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจเฉกเช่นในอดีตก็หมดไป ทั้งรัฐวิสาหกิจที่มีมาก่อนหน้านี้บางแห่งก็มีความจำเป็นที่รัฐจะคงความเป็นเจ้าของมีน้อยลง ประกอบกับการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจหลายๆ แห่งได้ประสบปัญหาการขาดทุน และทำให้รัฐในฐานะเป็นเจ้าของ 100% ต้องแบกรับภาระในด้านการเงิน ต้องเข้ามาดูแลแก้ไขด้วยการตั้งงบประมาณช่วยเหลือบ้าง อนุญาตให้กู้เงินมาแก้ปัญหาขาดสภาพคล่อง โดยรัฐค้ำประกันให้ หรือในบางแห่งรัฐต้องหาแหล่งเงินกู้ให้เองโดยตรงก็มี จึงกลายเป็นปัญหาให้ภาครัฐต้องเข้ามารับภาระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนี่เองคือจุดที่ทำให้เกิดแนวคิดในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจขึ้นมา

จากนโยบายการแปรรูปทำให้รัฐวิสาหกิจหลายแห่งพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยการขายหรือให้เอกชนเช่าไป ตัวอย่างเช่น โรงงานกระดาษบางปะอิน และองค์การอาหารสำเร็จรูป เป็นต้น และหลายแห่งได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และนำหุ้นส่วนหนึ่งขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจถึงแม้จะลดภาระในด้านการเงิน และด้านบริหารจัดการมีผลทำให้การบริหารในเชิงธุรกิจทำได้คล่องตัวมากขึ้นก็ตาม แต่ภายใต้นโยบายนี้ ได้มีผลกระทบทั้งในส่วนของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในฐานะเป็นทรัพยากรบุคคลในหน่วยงานรัฐ และประชาชนทั่วไปในฐานะผู้บริโภคหลายประการ ซึ่งพออนุมานได้ดังต่อไปนี้

1. รัฐวิสาหกิจที่เอกชนจะเข้ามาซื้อหรือเช่าไปดำเนินการเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกำไร หรือถึงแม้ว่าจะตกอยู่ในภาวะที่ขาดทุน แต่ก็มีศักยภาพในทางธุรกิจที่จะนำไปปรับปรุงให้สามารถมีกำไรได้

ส่วนรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน และแบกรับภาระไม่ไหว ประกอบกับไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินกิจการต่อไป เช่น องค์การทอผ้า และองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ เป็นต้น ก็จะต้องยุบเลิกไป และในขณะเดียวกัน รัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน แต่ต้องดำเนินกิจการต่อไปภายใต้ความเป็นองค์กรของรัฐ เช่น องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย ก็คงรับภาระการขาดทุนต่อไปเรื่อยๆ

2. เมื่อมีการแปรรูปไปแล้ว การควบคุมราคาและคุณภาพการให้บริการจากรัฐกระทำไม่ได้ดังที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% การขึ้นราคาเพื่อให้มีผลกำไรก็เกิดขึ้นตามครรลองแห่งการทำธุรกิจ จึงทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน แต่ดูเหมือนคนไทยจะยังโชคดีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ และกิจการสาธารณูปโภคอื่นๆ ยังไม่มีการเปลี่ยนสภาพเป็นบริษัทมหาชน และนำหุ้นออกขายเหมือน ปตท. มิฉะนั้นแล้วคงได้เห็นราคาไฟฟ้า และน้ำประปาแพงอีก ในทำนองเดียวกับสินค้าทั่วๆ ไปที่ขึ้นราคาทุกครั้ง อ้างต้นทุน และความจำเป็นในการทำกำไรเพื่อแบ่งผู้ถือหุ้นตามธรรมเนียมของผู้ประกอบการธุรกิจที่มองกำไรก่อนความเดือดร้อนของผู้บริโภค

จากปัญหา 2 ประการที่เกิดขึ้น หลังจากมีการใช้นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อแก้ปัญหาการแบกภาระหนี้สินของรัฐ และเพื่อความคล่องตัวในเชิงธุรกิจ จะเห็นได้ว่าจะมีผลดีในเชิงธุรกิจแก่ผู้ประกอบการที่เข้ามาถือความเป็นเจ้าของแทนรัฐเท่านั้น แต่ในแง่ของการให้บริการสาธารณะนั้นมีผลเสียแก่ผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้

อีกประการหนึ่งที่ควรจะได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาเกี่ยวกับภาวะการขาดทุน และสร้างภาระหนี้สินให้แก่รัฐที่บรรดารัฐวิสาหกิจทั้งหลายได้เผชิญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังปรากฏอยู่ในรัฐวิสาหกิจทั้งหลาย และถ้าไม่มีการแก้ไขไม่วันใดก็วันหนึ่งจะต้องยุบหรือขายให้เอกชนอีกแน่นอน

อะไรคือเหตุแห่งการขาดทุนในรัฐวิสาหกิจ และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร?

รัฐวิสาหกิจไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่จะมีมูลเหตุที่ทำให้เกิดภาวะการขาดทุนที่เหมือนๆ กันหลายประการ ซึ่งพอจะอนุมานได้ดังต่อไปนี้

1. การทุจริต ปัญหาการทุจริตในรัฐวิสาหกิจเป็นปัญหาเรื้อรังยากแก่การแก้ไขป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรัฐวิสาหกิจที่มีอายุการจัดตั้งยาวนาน และมีปัญหาสะสมในองค์กรเป็นจุดอ่อนอยู่แล้ว

โดยปกติการทุจริตจะเกิดขึ้นจากการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินมากๆ และมีขั้นตอนในการดำเนินการซับซ้อน เนื่องจากมีหลายขั้นตอน และมีคนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย ดังจะเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมในโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ปรากฏเป็นข่าวมาเป็นระยะๆ เกี่ยวกับการทุจริต เริ่มตั้งแต่ถนนมาจนถึงการจัดซื้ออุปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดซื้อเครื่องตรวจอาวุธซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่ยังหาผู้กระทำผิดมาลงโทษไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตามข่าวมีรายละเอียดมากพอที่จะทำการสอบสวนเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ไม่ยาก

2. คนล้นงาน และทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงกว่าปกติมีผลกระทบต่อราคาขายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภค เช่น รถเมล์ และรถไฟ เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาคนล้นงานในองค์กรของรัฐทุกแห่งน่าจะมาจากระบบการสรรหาบุคคลที่เน้นระบบอุปถัมภ์ คือ การฝากฝังกันเข้ามาโดยไม่คำนึงว่ามีความรู้ ความสามารถ เหมาะสมกับงานหรือไม่ ถ้าเผอิญผู้ที่รับเข้ามามีความรู้ไม่ตรงกับงาน หรือแม้จะตรงกับงานแต่ศักยภาพที่มีอยู่ด้อยกว่าความยากของงาน ก็จะทำให้มีคนทำงานเดียวกันมากขึ้นทำให้เกิดปัญหาล้นงานแอบแฝง คือ มีจำนวนคนเท่ากับปริมาณงาน แต่เนื่องจากความสามารถของคนแต่ละคนด้อยกว่างานจึงต้องใช้จำนวนมากกว่าที่ควรจะเป็น

ยิ่งกว่านี้ ในองค์กรบางแห่งมีปัญหาคนล้นงาน ทั้งล้นงานจริงคือมีจำนวนคนมากกว่าปริมาณงาน และทั้งยังมีคนล้นงานแอบแฝงด้วย จึงทำให้ต้นทุนต่อหน่วยผลิต (Gost Pep Unit) สูงกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น

3. การบริหารด้อยประสิทธิภาพ เนื่องมาจากผู้บริหารในระดับสูงซึ่งทำหน้าที่กำหนดนโยบาย และกำกับดูแลขาดความรู้ ความสามารถในลักษณะงานที่ต้องกำกับดูแล เช่น เอาข้าราชการประจำที่มีความรู้และประสบการณ์ในทางหนึ่งไปควบคุมดูแลรัฐวิสาหกิจที่มีลักษณะงานที่แตกต่างออกไป จึงทำให้เป็นเหตุเกิดความบกพร่อง ทั้งในส่วนของนโยบายและการกำกับดูแล เป็นช่องทางให้พนักงานประจำชี้นำไปในทางที่ผิด รวมไปถึงตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบด้วย และนี่เองกระมังที่ทำให้เกิดกระแสคัดค้านเมื่อข้าราชการทหารบางท่านได้เข้าไปเป็นบอร์ดผู้บริหาร และถ้าการคัดค้านมองในประเด็นว่าความรู้และประสบการณ์ไม่ตรงกับลักษณะงานก็มีเหตุผลแก่การรับฟัง

แต่อย่างไรก็ตาม นายทหารบางท่าน เช่น พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผช.ผบ.ทบ. ได้เข้าไปเป็นประธานบอร์ดของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย น่าจะได้รับการยกเว้นในกรณีดังกล่าวข้างต้น เพราะมีกระแสที่พอทราบเป็นนัยๆ ว่าท่านผู้นี้ต้องการเข้าไปแก้ไขปัญหาทุจริตในโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ คตส.ดำเนินการสอบสวนอยู่ และมีอุปสรรคในการขอความร่วมมือจากพนักงานของการท่าฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขอเอกสารเพื่อนำมาประกอบการสอบสวน

ยิ่งกว่านี้ ถ้าการเข้าไปของ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ทำให้การบริการท่าอากาศยานแห่งใหม่ที่กำลังประสบปัญหาวุ่นวายต่างๆ ในส่วนของการให้บริการ และการแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อชาวบ้าน เช่น มลพิษทางเสียง เป็นต้น ดีขึ้น ก็น่าจะให้โอกาสท่านได้ทำงานสักระยะหนึ่ง เพื่อดูว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหนแล้วค่อยคัดค้าน น่าจะเป็นธรรมกว่าลงมือต่อต้านทั้งๆ ที่ยังไม่ให้โอกาสในการทำงาน
กำลังโหลดความคิดเห็น