xs
xsm
sm
md
lg

ปรส.เร่ขายสินเชื่อผิดอาญา 2 สัปดาห์ฟันคนโกงชุดแรก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ดีเอสไอ ชี้มูล ปรส.เร่ขายสินเชื่อ 56 สถาบันการเงิน เอื้อประโยชน์ให้เอกชน ทำผิดอาญา รัฐเสียหายกว่า 8.5 แสนล้าน คาด 2 สัปดาห์แจ้งข้อหานิติบุคคล และกรรมการ ปรส.ชุดแรก อย่างน้อย 5 ราย ขณะที่“ไกรสร”สั่งเรียกสอบกรรมการ “ปรส.” ชุดแรก ขยายผลมัดกรรมการ “ปรส.” ชุด 2 ที่เกี่ยวข้องกับงานประมูล

วานนี้(15 พ.ย.)ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายไกรสร บารมีอวยชัย รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวิชช์ จีระแพทย์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีล้มละลาย นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และนางอัญชลี เต็งประทีป หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมเพื่อสรุปสำนวนคดีการขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ซึ่ง ดีเอสไอ รับโอนคดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเป็นคดีพิเศษตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.2549 เพื่อสอบสวนว่ามีการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากการนำทรัพย์สินของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการมูลค่า 851,000 ล้านบาท ไปประมูลขายเพียง 190,000 ล้านบาท หรือไม่ และการดำเนินการของ ปรส. ขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่มุ่งแก้ไขระบบสถาบันการเงินด้วยการฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินการ แต่ขั้นตอนดำเนินการของ ปรส.กลับไม่แยกหนี้ดี หนี้เสีย (สินทรัพย์คุณภาพดี และสินทรัพย์คุณภาพด้อย)เพื่อแยกหนี้ดีไปให้กับธนาคารรัตนสิน จำกัด มหาชน นำไปบริหาร ทำให้เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์โดยมิชอบ

นอกจากนี้ ในคดี ปรส.ยังมีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อีก 5 คดี ประกอบด้วย คดีที่ 1.กรณีบริษัท เลห์แมนบราเดอร์ โฮลดิ้ง อิ้งค์ ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมโกลบอลไทยพร็อพเพอร์ตี้ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2541 ยอดคงค้างทางบัญชี 24,616.95 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 11,520 ล้านบาท คดีที่ 2. กรณีบริษัทโกลด์แมน แซคส์ เอเชีย ไฟแนนซ์ จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ยอดคงค้างทางบัญชี 115,890.96 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 22,454.87 ล้านบาท

คดีที่ 3-4 กรณีบริษัทเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมเอเชียรีคอฟเวอรี่ 1-3 ยอดคงค้างทางบัญชี64,303.34 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 23,176.38 ล้านบาท และคดีที่ 5 กรณีบริษัทวีคอนกลอมเมอเรท จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมวีแคปปิตอล ยอดคงค้างทางบัญชี 12,376.73 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 3,189.90 ล้านบาท

**พบทำผิดชัด 10 ประเด็น

หลังประชุม นายวิชช์ จีระแพทย์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีล้มละลาย แถลงว่า พนักงานสอบสวนได้ข้อยุติในคดีที่ 1.กรณีบริษัท เลห์แมนบราเดอร์ โฮลดิ้ง อิ้งค์ ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมโกลบอลไทยพร็อพเพอร์ตี้ ยอดคงค้างทางบัญชี 24,616.95 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 11,520 ล้านบาท ซึ่งมีการสอบปากคำพยานบุคคล ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รวม 106 ปาก โดยแยกประเด็นการสอบสวนออกเป็นประเด็น ข้อกฎหมายและประเด็นข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้หลักฐานถึงวัตถุประสงค์ในการปฏิรูปสถาบันการเงิน และ กรณีผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงการจงใจหลีกเลี่ยงภาษี

นายวิชช์ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนพบว่า มีการดำเนินการหลายกรณี ไม่เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น 10 ประเด็น ดังนี้ 1.ปรส.ยินยอมให้นิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ปรส.เข้าประมูลซื้อทรัพย์สินจากปรส.โดยมิชอบ 2. คณะกรรมการปรส.บางคนมีส่วนเกี่ยวข้องปกปิดข้อเท็จจริง กระทำการโดยไม่โปร่งใส 3. ข้อกำหนดของปรส.ที่ให้ผู้ชนะการประมูลโอนสิทธิได้ขัดต่อกฎหมาย 4. การโอนสิทธิของผู้ชนะการประมูล ไม่ชอบ ขัดต่อ พ.ร.ก.ปรส. 5. ข้อกำหนดการขายทรัพย์สินของคณะกรรมการ ปรส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 6. คณะกรรมการ ปรส.และกลุ่มนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ปรส.ฝ่าฝืนข้อสนเทศการขายทรัพย์สิน 7. กองทุนรวมที่รับโอนสิทธิจากผู้ชนะการประมูลซื้อทรัพย์สินจาก ปรส. ยังไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล 8. มีการทำสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย 9. สิทธิของนิติบุคคลที่ชนะการประมูลไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามข้อกำหนดการขายทรัพย์สินของปรส. และ 10. ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ปรส.บางคนขาดคุณสมบัติเนื่องจากดำรงตำแหน่งทับซ้อนกับสถาบันการเงินอีกแห่ง

**2 สัปดาห์เรียก 5 กรรมการฯแจ้งข้อหา

นายวิชช์ กล่าวอีกว่า คณะพนักงานสอบสวนมีมติว่า การขายทรัพย์สินของสถาบันการเงินทั้ง 56 แห่งในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย มีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น โดยเกิดความเสียหายแก่รัฐ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะเรียกกรรมการ ปรส.ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องโดยตรงในการขายและนิติบุคคลที่มีส่วนร่วมและสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่กระทำผิดอาญา จำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ราย มารับทราบข้อกล่าวหา ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบายเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ซึ่งในคดีภาษีอากรต้องระวางโทษจำคุก 3 เดือน -7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท

“คดีนี้พนักงานสอบสวนเตรียมที่จะออกหมายเรียกผู้ต้องหาแต่ นายไกรสร ซึ่งเชี่ยวชาญงานในกรมบังคับคดีได้ทักท้วงให้สอบสวนเพิ่มอีก 1 ประเด็นเพื่อไม่ให้คดีมีช่องว่าง ให้จำเลยใช้ต่อสู้ในชั้นศาล โดยบุคคลที่จะถูกออกหมายเรียกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำหน้าที่กำกับนโยบาย ปรส.ชุดสอง หากคดีนี้มีการยื่นฟ้อง ก็มีโอกาสที่ประเทศจะได้เงินกลับคืนมา สำหรับคดีนี้เกี่ยวพันกับบริษัทใหญ่หลายแห่งทั้งใน และต่างประเทศ ถ้ามีการยื่นฟ้อง เอกชนต้องฟ้องกลับแน่นอน ซึ่งก็ถือเป็นสิทธิของจำเลยในการต่อสู้ในชั้นศาล”นายวิชช์ กล่าว

ด้านนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คดี ปรส.เป็นการสอบสวนร่วมระหว่างดีเอสไอ อัยการและผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการคลัง โดยการสอบสวนได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงความเสียหายกว่า 800,000 ล้านบาท ขณะนี้พนักงานสอบสวนมีมติร่วมกัน ว่ามีการกระทำผิดทางอาญา แต่ขอเวลาอีก 2 สัปดาห์จะพร้อมในการออกหมายเรียกผู้กระทำผิดมารับข้อกล่าวหา และจะนำตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดทันที

ขณะที่ นางอัญชลี กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการขายสินทรัพย์ของ ปรส. ที่ผ่านมาเคยตั้งนายยุวรัตน์ กมลเวชช เป็นกรรมการตรวจสอบ และได้ตั้งประเด็นในการตรวจสอบตรงกับการสอบสวนของดีเอสไอ ซึ่งการสอบสวนก็พบพยานหลักฐาน ว่ามีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากดีเอสไอ สั่งฟ้องคดีกรณีบริษัทเลห์แมนบราเดอร์ฯได้ ก็จะเป็นบรรทัดฐานให้มีการฟ้องกรณีบริษัทอื่นๆต่อไป

**สั่งสอบเพิ่มมัดปรส.1 - ปรส.2

รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า นายไกรสร รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนคดีการทุจริตขายทรัพย์สินขององค์การปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.)สอบสวนเพิ่มในประเด็นการบริหารงานของกรรมการปรส.ชุดแรก ซึ่งตั้งขึ้นในสมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ว่ามีการกำหนดหลักเกณฑ์การประมูลขายสินทรัพย์คล้ายคลึงหรือแตกต่างไปจากกรรมการปรส.ชุดที่ 2 ซึ่งตั้งขึ้นสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อรวบรวมหลักฐานให้ชัดเจนก่อนสั่งฟ้องคดีว่า กรรมการปรส.ผู้ที่มีหน้าที่กำกับการประมูลขายสินทรัพย์ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กำหนดหลักเกณฑ์เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน จนทำให้รัฐเป็นฝ่ายเสียหาย จากการประมูลขายสินทรัพย์ กรณีบริษัทเลแมนบาร์เดอร์ โฮลดิ้ง อิ้งค์ ซึ่งชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กองทุนรวมโกลบอลไทยพร็อพเพอร์ตี้ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 41

**หลักฐานยังโยงไม่ถึงรัฐมนตรี

รายงานข่าวเปิดเผยด้วยว่า การสอบสวนคดี ปรส.ยังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงให้เห็นถึงพฤติกรรมการกระทำความผิดของรัฐมนตรีที่กำกับนโยบาย ปรส. ซึ่งคดีประมูลขายสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีเพียงหลักฐานบ่งชี้ ถึงการประมูลที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางราย โดยผู้เสนอราคา 60 เปอร์เซ็นต์ ของยอดคงค้างทางบัญชี กลับแพ้การประมูลให้กับผู้เสนอราคาเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ การกำหนดหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชน และการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ในระดับกรรมการปรส.กับบริษัทเอกชนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุมสรุปสำนวนคดี ปรส. มีรายงานว่า นายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ ได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ในฐานะผู้เสียหายจากการประมูลขายสินทรัพย์ของ ปรส. ที่ไม่แยกหนี้ดีออกจากหนี้เสีย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคณะกรรมการปรส.ชุด ที่ 1 ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 28 ต.ค. 40- 23 ธ.ค. 40 ประกอบด้วย นายธวัชชัย ยงกิตติกุล ประธานกรรมการ นายวุฒิชัย พงษ์ประสิทธิ์ นายจรุง หนูขวัญ นายสุธี เอกะหิตานนท์ นางจันทรา อาชวนันทกุล และนายบุญญรักษ์ นิงสานนท์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ส่วนคณะกรรมการปรส. ชุดที่ 2 ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 23 ธ.ค.40 - 1 ก.พ. 43 ประกอบด้วย นายอมเรศ ศิลาอ่อน ประธานกรรมการ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ นางธัญญา ศิริเวทิน นางจันทรา อาชวนันทกุล และนางเกษรี ณรงค์เดช และนายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ เป็นกรรมการและเลขานุการ
กำลังโหลดความคิดเห็น