xs
xsm
sm
md
lg

วัดบวรฯ ยันไม่ได้ทำพระบัญชา เดินหน้าแจ้งความจับ“ไอ้โม่ง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คณะกรรมการวัดบวรฯ ออกแถลงการณ์ยืนยันไม่ได้ดำเนินการจัดทำพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเรื่องปลดสมเด็จเกี่ยว ส่งผู้แทนแจ้งความ สน.ชนะสงคราม หาคนหรือพระทำผิด พระธรรมกิตติเมธีเตรียมนำเข้าหารือในมส.วันนี้ ระบุจะให้เงียบหายไปเฉยๆ ไม่ได้ เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ด้านพศ.รับประกันไม่ได้เป็นคนทำ ระบุพบ 2 จุดผิด พร้อมตั้งกก.หาข้อเท็จจริงใน 1 สัปดาห์ พระเทพปริยัติวิมลรับมีขู่วางระเบิดวัดบวรฯ คณะเหลืองรังษี ส่วนคุณหญิงทิพาวดีทำพิลึกไม่จำเป็นต้องตั้ง กก.สอบต้นตอข่าวเท็จ

วานนี้ (9 พ.ย.) วัดบวรนิเวศวิหารได้ออกแถลงการณ์เรื่อง เอกสารร่างพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ความว่า ตามที่สื่อต่างๆ ได้ลงข่าวเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 กรณีร่างพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ฉบับที่ 1/2549 ยกเลิกมติที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 20/2547 และฉบับที่ 2/2549 แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชนั้น ข่าวดังกล่าวก่อให้เกิดเหตุระคายเคืองต่อเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อวัดบวรนิเวศวิหาร

วัดบวรนิเวศวิหารโดยคณะกรรมการวัดได้ประชุมเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 เวลา 17.00 น.ณ ตำหนักล่าง วัดบวรนิเวศวิหาร โดยพระเทพสารเวที ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชได้แจ้งต่อที่ประชุม ว่า ไม่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับร่างดังกล่าว และไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำเกี่ยวกับร่างเอกสารนี้ ทางคณะกรรมการวัดจึงมอบให้ผู้แทนดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์แก่พนักงานสอบสวน เพื่อหาผู้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายครั้งนี้ต่อไป

จึงขอแถลงการณ์เพื่อทราบว่า วัดบวรนิเวศวิหาร ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างดังกล่าวแต่ประการใด

จากนั้นเมื่อเวลา 10.00 น. นายวีระพล ใหญ่ลำยอง ผู้จัดการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย และไวยาวัจกรวัดบวรนิเวศวิหารเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.ฉัตรา พาสุวรรณ รอง ผกก.สน.ชนะสงคราม ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น ยังไม่ขอให้สัมภาษณ์เพราะยังไม่อยากพูดอะไรมาก

ด้าน พ.ต.ท.ฉัตรากล่าวว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพียงเท่านั้นเพราะทางวัดมิได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้เผยแพร่พระบัญชาดังกล่าวแต่ใด ซึ่งหากทางวัดจะแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลใดสื่อฉบับไหนที่ทำให้เกิดความเสียหายทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างแน่นอน

ต่อมา เมื่อเวลา 15.30 น. พระเทพปริยัติวิมล รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยยืนยันอีกครั้งที่ประชุมคณะกรรมการวัดบวรนิเวศวิหาร ได้มีหนังสือมอบหมายให้นายวีระพลเป็นผู้แทนไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิด เนื่องจากมีผู้เข้าใจว่าพระบัญชาดังกล่าวออกไปจากวัดบวรฯ ซึ่งหากผลการสอบสวนพบว่ามีบุคคลใดในวัดกระทำการดังกล่าวก็จะได้ดำเนินการลงโทษต่อไป

ทั้งนี้ หากผู้กระทำเป็นพระก็จะมีความผิด 2 กรณี คือความผิดตากฎหมายบ้านเมืองก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามกฎหมาย ส่วนความผิดตามระเบียบของวัดนั้น โทษสูงสุดคือให้ลาสิกขา และออกไปจากวัด หากเป็นฆราวาสก็ให้ทางบ้านเมืองเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย

“การแจ้งความครั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำความจริงให้ปรากฏ และหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพราะไม่เช่นนั้นก็อาจจะเกิดการกระทำผิดซ้ำซาก สร้างความเสียหายให้กับศาสนาอยู่เรื่อย และเรื่องดังกล่าวกระทบต่อเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะไม่มีการลงพระนาม แต่ก็มีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว รวมถึงก่อให้เกิดความสับสนขึ้นในคณะสงฆ์ ซึ่งอยากให้ทางเจ้าหน้าที่หาตัวคนทำมารับกรรมอย่างรวดเร็ว เพราะหากปล่อยไปนานก็จะทำให้คนผิดได้ใจ อีกทั้งเป็นการยืนยันว่าทางวัดบวรฯ ไม่ได้เป็นผู้กระทำการดังกล่าวด้วย” พระปริยัติวิมลกล่าว

ส่วนกรณี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ....นั้น พระเทพปริยัติวิมล กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม ในวันนี้(10 พ.ย.) ด้วย

**มีขู่วางระเบิดคณะเหลืองรังษี

พระเทพปริยัติวิมล เปิดเผยอีกว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ได้รับทราบว่า มีผู้ไม่หวังดีโทรศัพท์มาขู่วางระเบิดที่กุฏิหลังหนึ่งในคณะเหลืองรังษี ซึ่งได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจตราดูแลความเรียบร้อย และนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณคณะเหลืองรังษี ส่วนการขู่วางระเบิดครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้นหรือไม่นั้น ไม่สามารถระบุได้

อนึ่ง คณะเหลืองรังษี อยู่บริเวณเดียวกับพระตำหนักคอยท่าปราโมช ซึ่งเป็นพระตำหนักของของสมเด็จพระสังฆราช

**นำเข้าที่ประชุมมส.วันนี้

วันเดียวกัน พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม กล่าวว่า ได้สอบถามข้อเท็จจริงถึงกรณีร่างพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช จากพระเทพสารเวที เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งยืนยันว่าไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำเอกสารนี้ขึ้นมา

แต่ถือว่าได้ส่งผลกระทบต่อพระเกียรติยศของสมเด็จพระสังฆราช เป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันพระเทพสารเวที ได้ทำการตรวจสอบและสอบถามจากพระลูกวัดภายในวัดบวรฯ เพื่อค้นหาข้อมูลอย่างละเอียดว่ามีพระภิกษุในวัดมีส่วนรู้เห็นต่อการะกระทำเกี่ยวกับร่างเอกสารหรือไม่ โดยท่านยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับพระลูกวัดในการชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด

ส่วนการดำเนินคดีทางกฎหมาย ถือว่าเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สมควรเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะส่งผลต่อพระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราช ในการนี้ พระเทพสารเวที ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะต้องเป็นผู้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยการมอบหมายให้ทนายความหรือไวยาวัจกรฯ ทำการแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบการกระทำผิด รวมไปถึง พศ. ที่มีรับสนองงานคณะสงฆ์จะต้องเป็นเจ้าภาพในการฟ้องร้องดำเนินคดีหาต้นตอผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม กรณีบุคคลลึกลับทำการปลอมแปลงพระบัญชาพระสังฆราชนี้
คงจะต้องมีการนำเข้าไปหารือเป็นวาระเร่งด่วนในการประชุมมหาเถรสมาคม
ที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 พ.ย. เวลา 14.00 น. ณ พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยสำนักพุทธฯ
ควรจะต้องนำวาระนี้ บรรจุเข้าไปในการประชุม เพื่อให้กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปได้รับทราบและหาทางยุติด้วยความเรียบร้อยต่อไป

“เรื่องที่เกิดขึ้น จะให้เงียบหายไปเฉยๆ คงไม่ถูกต้องนัก เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อสมเด็จพระสังฆราช และคณะสงฆ์ทุกฝ่าย คำสั่งปลอมที่มีการแอบอ้างให้เปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เห็นได้ชัดว่าคนทำมีเจตนาก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสมเด็จพระพุฒาจารย์และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ แต่เท่าที่ทราบมา สมเด็จฯ ทั้ง 2 รูป ท่านได้หารือกันแล้วและไม่ติดใจแต่ประการใด แต่ท่านขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุดเพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ ซึ่งจะผลกระทบอย่างแรงต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชน” โฆษกมส.กล่าว

**ตั้งกก.สอบข้อเท็จจริงใน 1 สัปดาห์

นางจุฬารัตน์ บุณยากร รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ในรายละเอียดร่างพระบัญชาเรื่องการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตนยังไม่เห็นต้นฉบับของจริง เห็นเพียงแต่สำเนาที่พระมหาโชว์ ทัศนีโย นำมาแจกให้กับสื่อมวลชน ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่เอกสารที่ออกจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแน่นอน เพราะทั้งเนื้อความแต่ละวรรค รวมทั้งเลขที่ออกหนังสือไม่ใช่แบบฟอร์มของพศ. และจุดที่สังเกตเห็นชัดที่สุด คือ ชื่อวัดของพระสาสนโสภณที่ระบุว่า เป็นชื่อ “วัดราชบพิธดุสิตวนาราม” ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีชื่อของวัดนี้ มีแต่ชื่อ”วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม” เพราะถ้าหากเป็นหนังสือจากพศ.จะไม่มีทางผิดพลาดเรื่องชื่อวัดอย่างแน่นอน

“อีกจุดสังเกตที่ดิฉันมั่นใจว่าไม่ใช่หนังสือจากพศ.คือ จุดที่ให้สมเด็จพระสังฆราชลงพระนามไปอยู่ด้านบนสุดของร่างพระบัญชาฉบับดังกล่าว ทั้งที่ความจริงแล้วต้องอยู่ด้านล่าง”นางจุฬารัตน์ กล่าว

นางจุฬารัตน์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการยืนยันว่า ไม่ใช่ร่างพระบัญชาที่ออกจากพศ.จริง จึงมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของพศ.ดำเนินการตรวจสอบร่างพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชฉบับดังกล่าวแล้ว คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์จะทราบข้อสรุป
จากนั้นจะต้องดูว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ส่วนจะมีการแจ้งความหรือไม่นั้น ต้องรอข้อมูลชัดเจนเสียก่อน เพราะการแจ้งความจะต้องมีผู้เสียหาย และข้อมูลที่พร้อม

**คุณหญิงทิพาวดีชี้ไม่จำเป็นต้องหาต้นตอ

วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เลขานุการคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชเตรียมทำหนังสือถึงรัฐบาล เพื่อขอให้ดูแลกรณีที่มีข่าวระบุว่าจะมีการยกเลิกผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ว่า ตนเคยพูดไปแล้วว่ายืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีมูลความจริง รัฐบาลไม่เคยทำ และเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีมูลแต่ประการใด และได้แจ้งให้รักษาการผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ทราบว่า ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งต่อไปให้นำเรื่องนี้เข้ารายงานต่อที่ประชุมให้ทราบด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้มีดำริในเรื่องนี้แต่ประการใด ซึ่งข่าวที่ออกมาเป็นข่าวที่ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

ส่วนถามว่าจะให้สำนักพระพุทธตรวจสอบว่าเอกสารต่างๆ ที่ออกมาหรือไม่ เพราะขณะนี้บางฝ่ายก็บอกว่าเป็นเอกสารปลอม แต่บางฝ่ายก็ระบุว่าเป็นของจริง รมต.ประจำสำนักฯ กล่าวว่า ไม่มีมูลอยู่แล้ว ตนยืนยันได้ และคิดว่าอย่าตื่นตระหนก หรือจับมาเป็นกระแสใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเรื่องไม่มีมูล อาจจะเป็นเพียงใครคนหนึ่งทำหนังสือขึ้นมาอย่างที่ตนเคยเล่าให้ทราบแล้ว และเมื่อพิมพ์ขึ้นมาพอมีคนไปเห็นก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง อย่าไปซีเรียสมาก

เมื่อถามว่า จะไม่สืบหาตัวผู้ทำหนังสือดังกล่าวหรือเนื่องจากสร้างความเสียหายอย่างมาก รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ก็เราไม่ทราบจริงๆ เพราะหนังสือที่ส่งมาถึงตนนั้นก็ไม่มีต้นตอ จึงไม่ทราบว่าต้นตอมาจากไหน
กำลังโหลดความคิดเห็น