xs
xsm
sm
md
lg

ยังไม่ต้องรีบร้อน ช่วยแบ่งกันกินไปก่อน

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

นานนับเกือบร้อยปี เมืองไทยมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตมากมายผงาดขึ้นมาปกครองประเทศชาติด้วยคำกล่าวอันน่าสยดสยองเหมือนกันหมดคือ จะสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นในประเทศ วิธีการเสนอความเห็นต่างก็ถูกระบายออกมาอย่างหรูหรา แต่เมื่อเวลาผ่านไปและแนวทางต่างๆ ที่ประกาศออกมานั้นไม่ได้ช่วยให้เกิดอะไรขึ้นมาได้ในประเทศชาตินอกจากการโกหกประชาชนอันยิ่งใหญ่ และการทุจริตคิดมิชอบนานัปการเพื่อกอบโกยเอาผลประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าทรัพย์สมบัติของชาติและเงินทอง มีคนยืนยันว่ามหาบุรุษที่มีสติปัญญาพวกนี้ได้ร่วมกันแบ่งกันกินแบ่งกันโกหกเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ขนาดที่บางคนยังต้องระย่อและยืนยันว่าความชั่วที่มีอยู่ในนรกทุกวันนี้ ยังน้อยกว่าความชั่วที่นักการเมืองมหาบุรุษเหล่านี้กำลังทำอยู่ในบ้านเมือง และถ้าจะเอาความชั่วเหล่านี้ลงนรกไปด้วยพร้อมกับวันที่ทุกคนตายลงไป สถานที่ในนรกยังไม่สามารถจะรับเอาไว้ได้ทั้งหมดเพราะมันกว้างขวางไม่พอ

เพราะทุกคนที่มีโอกาสได้กินตั้งแต่ตำรวจราจรตามถนนครั้งละ 30 บาทมันก็ยังเอา

ว่ากันถึงขนาดนั้น!!

และเมื่อมาถึงวันนี้ ก็มีข่าวจากวงการผู้มีสติปัญญาสูงสุดในชาติอีกกลุ่มหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าท่านได้มีความเห็นว่า “นายกรัฐมนตรี-ส.ส.เป็นได้สองสมัย” ซึ่งหมายถึงว่าการเลือกตั้งครั้งละ 4 ปีแล้วมีบุญวาสนาสูงสุดขึ้นมากินบ้านกินเมืองนั้นไม่เพียงพอ ต้องสองสมัยควบ โดยไม่ต้องทำคุณงามความดีหรือแสดงความสามารถใดๆ ก็ได้รับความสุขอิ่มหมีพีมันกันไปอย่างไม่มีทางขาดทุนและไม่ต้องลงทุนอะไรอีก

หนังสือพิมพ์ “มติชน” ลงข่าวเกี่ยวกับการจัดอภิปรายเรื่อง “การปฏิรูปรัฐธรรมนูญในมุมมองเชิงเปรียบเทียบ” โดยบรรดานักปราชญ์ไทยไว้ค่อนข้างละเอียดว่า “นายบวรศักดิ์ กล่าวอภิปรายในตอนหนึ่งว่าได้แนะนำให้การปฏิรูปการเมืองต้องทำทั้งรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรและวัฒนธรรมทางการเมือง มิฉะนั้นก็จะต้องมีรัฐธรรมนูญร่างขึ้นมาใหม่อีกและเพิ่มความโปร่งใสด้วยการบริจาคเงินเข้าพรรคโดยการจำกัดจำนวน มีการเปิดเผยการบริจาคและกฎหมายห้ามเรี่ยไร ส.ส., ส.ว.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเปิดเผยการถือหุ้นในบริษัทโฮลดิ้งที่ได้สัญญากับรัฐมนตรีทุกประเทศ” และนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ให้ความเห็นอีกอย่างหนึ่งคือ “นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และส.ส.ควรมีวาระดำรงตำแหน่ง 2 สมัย 8 ปี” (มติชน 4 พฤศจิกายน 2549)

นี่ก็เป็นความเห็นอันยิ่งใหญ่อีกความเห็นหนึ่งของนักปราชญ์ราชบัณฑิตยุคใหม่ที่คงจะอ่านหนังสือมาหลายเล่มพอสมควร จนทำให้ต้องคิดทั้งด้านได้ด้านเสียกว้างออกไป หรือเป็นความจริงที่ไม่มีความจริงมากขึ้น และถ้าหากเป็นจริงได้อย่างที่ให้สัมภาษณ์หรือที่มีการจัดอภิปรายที่ผ่านมาจะทำให้นักการเมืองในอนาคตของเราทำมาหากินและแบ่งกันกินได้มากขึ้น เพราะเวลาที่จะมีอำนาจวาสนานานขึ้น ทำให้มีเวลาและเกิดความชำนาญยิ่งขึ้นในการปล้นบ้านกินเมืองหรือจะทำให้เกิดประชาธิปไตยกินบ้านกินเมืองนานยิ่งขึ้น

แต่ตามความจริงแล้ว การที่เราจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่แค่ไหนนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักการหรือความคิดเห็นถ่อยๆ ของนักวิชาการและนักปราชญ์ราชบัณฑิตพวกนี้แล้วเมืองไทยยังไม่มีใครรู้ว่าจะเสียหายต่อไปอีกหรือไม่ เพราะว่าจากหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าตลอดเวลาเกือบ 100 ปีหลังจากเราเริ่มต้นมีประชาธิปไตยขึ้นมา รัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเขียนขึ้นมาในรูปไหน มีอะไรหรือไม่มีอะไร ไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นนอกจากการคอร์รัปชัน หรือการแย่งอำนาจวาสนาทำผิดให้เป็นถูกทำถูกให้เป็นผิด และถ้าผิดใจกันขึ้นมานักการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับก็จะลงมือกัด และห้ำหั่นกันอย่างสุนัขสกปรกทั่วไปทั้งนั้น

การเมืองของไทยนั้นเป็นการเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจ ได้มาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เอาจากผลการใช้อำนาจ และการใช้อำนาจนั้นจะผิดหรือจะถูก จะควรหรือไม่ควรก็จะต้องทำให้ได้ประโยชน์ขึ้นมา

รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่เขียนกันขึ้นมาทั้งในปัจจุบันและในอนาคตที่นำมาใช้ในเมืองไทยนั้น ไม่ว่าจะเขียนหรือร่างมาจากที่ไหนก็ตาม ยืนยันชัดเจนว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่นำมาใช้เป็นข้ออ้างว่าเรารู้จักประโยชน์ของรัฐธรรมนูญเป็นเท่านั้น หรือเรามีรัฐธรรมนูญใช้เพื่อให้ได้เรียกว่ามีอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น เพราะรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าใครด้านพอที่จะต้องการมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นเขาก็เอารัฐธรรมนูญนั้นมาฉีกทิ้งแล้วก็เรียกคนร่างขึ้นมาใหม่ เพื่อพิมพ์ขึ้นมาใหม่ เอามาโกหกหลอกลวงเท่านั้น

ตลอดเวลาพันๆ ปีหรือหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีชนชาติเชื้อไทยเกิดอยู่ในบริเวณนี้ปกครองกันมาสร้างวัฒนธรรมร้อยแปดขึ้นมาและสร้างวัฒนธรรมอันดีงามของเราขึ้นมาได้อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่เคยใช้รัฐธรรมนูญแม้แต่ฉบับเดียว แต่เราก็จะเจริญและสงบรุ่งเรืองกันมาตลอด ยกเว้นข้าศึกศัตรูต่างประเทศที่เข้ามารุกรานเมืองยามอ่อนแอเท่านั้น แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการมีรัฐธรรมนูญหรือไม่มีรัฐธรรมนูญมาใช้กันเป็นแรมปีแต่อย่างใด

การที่เราเป็นคนไทยและสร้างประเทศไทยกันมาได้นั้น แน่นอนที่สุดเราไม่มีกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญหรือผู้ปกครองบ้านเมืองว่าการเป็นผู้เป็นคนนั้น จะต้องมีความคิดความรู้หรือการกระทำอย่างไร จากสิ่งหนึ่งที่คนไทยทุกคนจะต้องทำตามก็คือ การควบคุมตัวเองหรือ “อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ” ตัวเองจะต้องช่วยเหลือตัวเองหรือทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งตัวเองได้ ตัวเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าอะไรมันดีหรือไม่ดี อะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำ

ดีหรือชั่วไม่ต้องไปดิ้นรนหาเทพเจ้าที่ไหนมาควบคุมสั่งสอน แต่ทุกคนจะต้องควบคุมตัวเองในทางที่ดีซึ่งทุกคนจะรู้จักมันเพราะการเกิดมาเป็นคน

บ้านเมืองตั้งแต่ปราสาทราชวังลงมาจนถึงทุ่งไร่ปลายนา จะมีประเพณีธรรมเนียมเฉพาะในการควบคุมตัวเองว่าจะต้องคิดอย่างไร จะต้องทำอย่างไรโดยไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญ เราก็อยู่กันมาอย่างเป็นผู้เป็นคนที่สงบสุขสมบูรณ์ได้ ใครก็ตามที่มีพฤติกรรมทางสังคมที่ชั่วร้ายนั้น สังคมก็จะลดไปเอง แม้แต่เป็นความผิดขั้นอุกฉกรรจ์ และนอกรีตนอกรอยจนเกินไปก็มีกฎหมายที่เคร่งครัดจนต้องประหารชีวิตหรือตัดตีนตัดมือกันเลย ถึงแม้ว่าในสมัยโบราณนั้นเราจะไม่มีกฎหมายตราสามดวงใช้ก็ตาม แต่มีกฎหมายประเพณีอื่นๆ ที่จะนำมาลงโทษกันได้อย่างเรียบร้อย เราไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐบาลที่มีอายุนานถึงแปดปีมาเป็นผู้จัดการให้

คนไทยเราใช้ความเป็นคนสร้างบ้านสร้างเมืองกันมายาวนาน ไม่ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือนักการเมืองที่มีอายุ 8 ปีที่จะเข้ามาช่วยกันคอร์รัปชันเหมือนรัฐบาลชุดที่แล้ว

ปัญหาต่างๆ ของเมืองไทยที่เกิดขึ้นติดต่อกันมาชั่วอายุคนนั้น ไม่ใช่อยู่ที่กฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีนายกรัฐมนตรี 8 ปีหรือไม่ แต่อยู่ที่สภาพของสังคม ประการแรกคือ ประชาชนที่มีระเบียบวินัยหรือเคารพต่อระเบียบวินัยเป็นประการสำคัญ ระเบียบวินัยนั้นเกิดจากระเบียบประเพณีที่สืบทอดกันมาเป็นพันๆ ปี บรรพบุรุษของเราทุกคนที่สามารถเป็นพ่อเป็นแม่คนขึ้นมาได้นั้น เมื่อมีลูกหลานขึ้นมาก็ต้องอบรมสั่งสอนกันซึ่งว่ากันว่าตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ 9 เดือน ก็จะต้องได้รับการบอกกล่าวจากแม่ว่ามันเกิดมาแล้วจะต้องทำอย่างไร จะต้องรู้จักผู้คน ประเพณีคนอื่นว่าเขาคิดอย่างไรในการเกิดมาเป็นมนุษย์ นั่นเป็นกฎเกณฑ์สังคมประการแรกที่พ่อแม่ทุกคนจะต้องอบรมสั่งสอน เฉพาะคนไทยซึ่งมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรือเป็นศาสนาที่วางระเบียบวินัยไว้ให้ผู้ที่นับถือศาสนาก็จะต้องเข้ามาบวชเมื่ออายุ 20 ปี เพื่อศึกษาอบรมความเป็นคนให้สมบูรณ์แล้วจึงต้องสึกออกไปแต่งงานเพื่อมีลูกหลานสืบทอดกันต่อไป

การศึกษาและการใช้ความเป็นคนอันสมบูรณ์ของคนไทยตามหลักพระพุทธศาสนานั้น ไม่ต้องมีอะไรมาก เอากันเพียงว่าใครที่สามารถยึดมั่นในศีล 5 ข้อหรือศีล 10 ข้อได้แล้วปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด ความเป็นคนก็สมบูรณ์เกินต้องการแล้ว

ปัญหาทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับว่าคนที่เราให้มาดูแลบ้านเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้งนั้น ที่สุมหัวกันปล้นชาติแทบไม่มีอะไรจะเหลือที่ผ่านมา ล้วนแต่พวกมนุษย์ที่ไม่ใช่คนหรือเป็นเพียงเดียรัจฉานประเภทหนึ่งเท่านั้น ที่มีชีวิตอยู่ด้วยการเป็นชู้กับลูกเมียชาวบ้าน เป็นพวกเดรัจฉานที่ปล้นกินขโมยกิน

นั่นต่างหากคือประเด็น

ประเด็นที่เราไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แต่เราจะทำให้ปรากฏในการปกครองบ้านเมือง เพียงแต่หยิบนั่น ฉวยนี่มาหลอกให้เป็นฝรั่งมังค่าแล้วก็ประกาศว่ามันคือระบอบประชาธิปไตย

แล้วเราหลับหูหลับตาใช้กันมาหลายรอบ ซึ่งมันเป็นเรื่องโง่เขลาเต็มที

แน่ละ ต่อไปนี้นักปราชญ์ราชบัณฑิตทางการเมืองของเราก็จะเอากันยังงั้นอีกหรือหาทางต่อยอดประชาธิปไตยต่อไปอีก ที่น่าจะต้องคิดแต่ไม่คิดก็คือว่าจะให้ความหวังได้สักแค่ ไหน หรือเป็นเพียงแต่การบอกกล่าวกันไปเท่านั้นเอง

ระบอบประชาธิปไตยของเรา เป็นเรื่องที่ไม่ต้องเถียง มันคือระบบคอร์รัปชัน

รัฐธรรมนูญของเราที่มีอยู่คืออุปกรณ์และเครื่องมือในการฉ้อฉล และหลอกลวงประชาชนเพื่อให้นักการเมืองพากันไปใช้สิทธิเพื่อที่จะคอร์รัปชันปล้นสะดมประชาชน

นั่นคือข้อเท็จจริงที่ไม่ต้องเถียงอะไรกันอีก

ไม่ว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญวิเศษพิสดารอย่างไร มันก็จะเขียนหลอกล่อให้เขาไปใช้อำนาจทำมาหากินกัน อย่ากินคนเดียวอย่างรัฐบาลที่แล้วมา

แต่ขอให้แบ่งกันกินให้ทั่วถึงกัน เรื่องประชาธิปไตยเอาไว้ทีหลัง

ไม่ต้องรีบร้อนอะไรหรอก คอร์รัปชันกันให้หนำใจเสียก่อน แบ่งกันกินให้ทั่วถึง

เพราะยังไงก็ตาม นักการเมืองที่จะเข้าไปสุมหัวหลอกลวงประชาชนต่อในอนาคตนั้นยังไม่มีวันเป็นคนเต็มคนขึ้นมาได้ง่ายๆ จะมีได้แต่เพียงพวกเดียรัจฉานทางการเมืองเหมือนที่เคยเป็นมานั่นแหละ

อย่าไปคิดอะไรให้มากนัก จะสบายใจกว่า

การคอร์รัปชันนั่นแหละเป็นทางเลือกทางเดียวสำหรับการเมืองไทย!
กำลังโหลดความคิดเห็น