“หยุด...ทำร้าย อสมท.” คือคำที่อยู่บนเสื้อสีดำของพนักงานส่วนหนึ่งใน บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้สำหรับรณรงค์ประท้วงการปรับผังรายการของ ช่อง 9 อ.ส.ม.ท และการทำงานของคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ที่เพิ่งจะทำงานไม่ถึงเดือน
พนักงานของ อสมท.รวมตัวกันได้ประมาณ 100 คน เดินทางมาที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถือป้ายผ้าประท้วงหลายป้าย แต่ที่น่าสนใจก็คือมีการพิมพ์กระดาษขนาด A4 จากเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างฉุกเฉินแจกเพื่อประกอบการชูประท้วงหลายแผ่นว่า “เราไม่เอารายการจากเครือผู้จัดการ” “เราไม่เอารายการเมืองไทยรายสัปดาห์”
โดยเฉพาะป้ายที่ชูกันมากที่สุด “รายการสภาท่าพระอาทิตย์ โคตรห่วย” !!!!
“รายการสภาท่าพระอาทิตย์” ที่ช่อง นิวส์ 1 ของ เอเอสทีวี ที่จัดรายการโดย “นายคำนูณ สิทธิสมาน นายสำราญ รอดเพชร และตัวผมเอง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ที่เพิ่งจะวิเคราะห์วิจารณ์ในเช้าวันนั้นอย่างตรงไปตรงมาถามถึงจิตวิญญาณของพนักงาน อสมท. ที่ดูเหมือนจะให้ความสำคัญในเรื่องราคาหุ้น อสมท.มากกว่าสิ่งอื่นใด จริงหรือไม่? และตั้งคำถามในรายการว่า การให้เช่ารายการข่าวเพื่อดึงเรตติ้งเข้ามาใน อสมท. โดยไม่มีพนักงานมาเกี่ยวข้องเพื่อมาพัฒนาตัวเองนั้น พนักงาน อสมท. “ห่วย” นักหรือ?
การชูแผ่นกระดาษตอบโต้ของพนักงาน อสมท. อย่างฉับพลันว่า “รายการสภาท่าพระอาทิตย์ โคตรห่วย” นั้น สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่พนักงาน อสมท.แท้ๆ ยังต้องติดจานดาวเทียม “รู้จัก” รายการสภาท่าพระอาทิตย์ หนำซ้ำยังต้องได้ดูช่วงเวลาการพาดพิงถึงพนักงาน อสมท.ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย จึงนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่า รายการสภาท่าพระอาทิตย์มีพนักงาน อสมท. เป็นผู้ชมของเราเพิ่มขึ้นแล้ว
ในช่วงเวลาเดียวกัน แทนที่เป็นพนักงาน อสมท. จะไปดูรายการที่ช่อง 9 อสมท. กลับต้องกระเสือกกระสนติดจานดาวเทียมหรือเป็นสมาชิกเคเบิลเพื่อมาดูรายการ “สภาท่าพระอาทิตย์” ของ เอเอสทีวี คิดดูเอาเถิดว่า ผังรายการช่อง 9 อสมท.มีปัญหาเรื่องการถูกปิดกั้นข้อมูลข่าวสารหรือไม่?
“รายการสภาท่าพระอาทิตย์” อาจจะห่วยในสายตาบางคนใน อสมท. ก็เป็นได้ ห่วยเพราะรายการนี้ไม่ได้อยู่บนฟรีทีวี ห่วยเพราะไม่ได้มีคลื่นความถี่ที่เป็นทรัพยากรของชาติเอาไปให้คนอื่นสัมปทาน ห่วยเพราะไม่มีคลื่นวิทยุเพื่อให้คนอื่นเช่า ห่วยเพราะไม่ได้มีรายได้จากการโฆษณาแม้แต่ชิ้นเดียวจากหน่วยงานของรัฐ ห่วยเพราะไม่มีเงินงบประมาณแผ่นดินมาจับจ่ายใช้สอย ห่วยเพราะสปอนเซอร์รายใหญ่ๆก็ถูกข่มขู่คุกคามจนไม่กล้าลงโฆษณา เงินเดือนก็จ่ายช้าจนเป็นเรื่องปกติ ในบางช่วงเวลาพนักงานบางคนถึงขนาดยอมอดข้าวกลางวันเพื่อประหยัดในยามที่ต้องต่อสู้กับระบอบทักษิณ
“เอเอสทีวี” จึงอาจจะห่วยเพราะไม่ได้เอาหุ้นในกิจการที่มีคลื่นความถี่ที่เป็นทรัพยากรของชาติที่สร้างมาจากภาษีของประชาชนมาเข้ากระเป๋าของพนักงานในราคาถูกๆ และไม่ได้ปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นกว่า 50% เพื่อแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่างจากพนักงาน อสมท.
“รายการสภาท่าพระอาทิตย์” ที่ไม่ได้มีเทคนิคมากมายในห้องส่งเล็กๆ อาจจะเป็นรายการทางโทรทัศน์ที่ “ห่วย” ในมิติของเศรษฐกิจก็ได้
เรามีแค่การพูดความจริงอีกด้านที่คนใน อสมท.ไม่กล้าพูดถึง เราแค่พูดและฉายภาพเรื่องคนถูกกระทืบที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ให้ประชาชนได้ดู เราขุดคุ้ยเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างไม่ละเว้น ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี เราพูดเรื่องพฤติกรรมการแทรกแซงองค์กรอิสระ เราพูดเรื่องการแทรกแซงและคุกคามสื่อสารมวลชน เราพูดและวิจารณ์เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน เราพูดเรื่องเราพูดเรื่องการละเมิดพระราชอำนาจ ทั้งกรณีสมเด็จพระสังฆราช ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน การโยกย้ายทหาร ฯลฯ
คนใน “รายการสภาท่าพระอาทิตย์” พูดเรื่องเหล่านี้โดยที่คนใน อสมท.ไม่เคยพูด และไม่เคยแต่งชุดสีดำออกมาต่อสู้ในเรื่องเหล่านี้ในรอบหลายปีที่ผ่านมา
อย่างน้อย รายการสภาท่าพระอาทิตย์จัดขึ้นด้วยฝีมือของ “พนักงานของเอเอสทีวี” เองล้วนๆ โดยที่ไม่ต้องจ้างเหมาช่วงเวลาอาศัยฝีมือคนอื่นในการสร้างเรตติ้งของรายการ ก็มีประชาชนบริจาคเงินด้วยศรัทธาเพื่อช่วยสถานีโทรทัศน์แห่งนี้โดยไม่หวังผลตอบแทน
ถ้ารายการเอเอสทีวีมันจะโคตรห่วย มันก็ยังมาจากแรงศรัทธาการบริจาคของประชาชน และเป็นเรื่องของคนที่สมัครใจซื้อจานดาวเทียมหรือเป็นสมาชิกเคเบิลท้องถิ่น และคงไม่ได้หนักหัวใครใน อสมท.!!!!
แต่ถ้า อสมท.ห่วยและไม่ได้เรื่อง อันนี้ต้องถือว่าหนักหัวคนไทยทั้งประเทศในฐานะที่องค์กรแห่งนี้มาจากภาษีของประชาชน เป็นฟรีทีวีที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าและแถมยังเอาคลื่นความถี่ทรัพยากรของคนไทยทั้งชาติไปทำมาหากินเข้ากระเป๋าพนักงานและผู้ถือหุ้นเพียงไม่กี่คน
และถ้าเพียงแค่ อสมท. นำความจริงรอบด้านมาเสนอให้กับประชาชนอย่างครบถ้วนจริงแล้ว เอเอสทีวี คงเกิดขึ้นไม่ได้ และวิกฤติบ้านเมืองอาจจะจบลงได้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ !!!!
อย่างน้อยผลจาการปิดข้อมูลข่าวสารก็อาจเป็นผลทำให้มีคนไปฆ่าตัวตายเพื่อประท้วงการรัฐประหาร เพราะหลงเข้าใจไปว่ารัฐบาลชุดที่แล้วบริหารงานเป็นประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ได้
อันที่จริงน่าเห็นใจพนักงานและลูกจ้างของ อสมท. ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะในยามที่อยู่ภายใต้รัฐบาลทักษิณ ต้องตอบสนองและรับใช้นโยบายและความมั่นคงของรัฐบาล การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพมีมากแค่ไหนก็ไม่เคยประท้วงหรือต่อสู้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหุ้น อสมท.คอยปิดปากพนักงาน ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยจึงเข้าใจไปทำนองว่าการต่อสู้ประท้วงบอร์ด อสมท.ว่า ทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเองหรือไม่?
หลายคนวิเคราะห์ต่อไปด้วยซ้ำว่าการใช้คำว่า "หยุดทำร้าย อสมท.” ถ้าเป็นคำที่รณรงค์กันในรัฐบาลชุดที่แล้ว คงจะหมายถึงการหยุดทำร้าย “จิตวิญญาณคน อสมท.” ซึ่งคนเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำ
แต่พอคำที่ว่านี้เกิดขึ้นมาในสมัยที่รัฐมนตรีและคณะกรรมการชุดใหม่ต้องการที่จะให้รายการที่เคยถูกแทรกแซงและถูกถอดรายการออก กลับมามีโอกาสนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งให้ประชาชนได้รับรู้ในช่วงเวลาที่มีความนิยมลดลง คำว่า “หยุด ทำร้าย อสมท.” จึงทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยแปลความเข้าใจไปว่า หมายถึง “หยุดทำร้าย ราคาหุ้นในกระเป๋าเงินของพวกกู” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าจะให้วิเคราะห์ว่ามูลเหตุของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ อาจจะมาจากการปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนของพนักงานบางคน หรือปกป้องผังรายการผู้จัดรายการที่เช่าเวลาอยู่ในเวลานี้แล้ว ปัญหาอีกประการหนึ่งก็คือ “กระบวนการปล่อยข่าว”
เริ่มต้นด้วยการการสร้างกระแสในเรื่องการถอดผังรายการที่มีประโยชน์อย่าง “กบนอกกะลา” หรือรายการที่ได้รับความนิยมอย่าง “คุยคุ้ยข่าว” ก็เพื่อสร้างกระแสว่าจะมีการปรับผังครั้งใหญ่ก็ได้ทำให้พวก “ผู้จัดรายการที่เช่าเวลา” และพนักงานที่เข้าใจผิดทั้งหลายหลงมาร่วมชุมนุมประท้วงในนามพนักงาน อสมท.
ทั้งหมดที่ว่านั้นน่าจะมีปัญหาอยู่ที่ “การสื่อสาร” จากรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท. “นายชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการ” ที่น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น และทำหน้าที่ของตัวเองถูกต้องและครบถ้วนแล้วหรือไม่?
ไม่ต้องอ้อมค้อมกันหรอกเพราะ นายชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ที่รักษาการกรรมการผู้อำนวยการ อสมท.ในเวลานั้นเป็นคน “เสนอ” นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “ด้วยตัวเอง”ว่า ช่วงเวลา “ถึงลูกถึงคน” อยู่ในแผนที่จะปรับผังรายการอยู่แล้ว และการนำรายการที่เคยถูกถอดรายการมาลงเวลาดังกล่าวน่าจะทำให้มีความนิยมดีขึ้นด้วยซ้ำไป
ไม่มีเรื่องถอดรายการ “กบนอกกะลา” หรือ “คุยคุ้ยข่าว” ไม่มีคำว่ารัฐมนตรีขอจัดการหรือสั่งการให้ลงผังรายการอย่างไรหรือถอดรายการใด มีเพียงแต่ นายชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการจะขอกลับไปพิจารณารายละเอียดเองและจะนำไปเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
งานนี้มีพยานเยอะหลายคนได้ร่วมนั่งฟังอยู่ เพียงแต่อยู่ที่ว่าวันนี้ นาย ชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการ นิ่งเงียบ เพิกเฉย ไม่ชี้แจงความจริง ราวกับว่าพึงพอใจให้พนักงานและผู้จัดรายการหลงเข้าใจผิดเช่นนั้น กลายเป็นคลื่นใต้น้ำเกิดขึ้นใน อสมท. และลามไปข้างนอกองค์กรจนเป็นที่น่าอับอายไปทั่ว
อย่าให้คนเขาครหาเอาได้ว่าเป็นเพราะการแต่งตั้งให้นายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร ให้เป็นรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่แทนนายชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการ จึงเกิดความไม่พอใจจนเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ !!!!
เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นบทเรียนให้รู้ว่า “การสื่อสาร” และ “การมีส่วนร่วม” ระหว่างพนักงาน สหภาพฯและผู้บริหาร ต้องมีมากขึ้นกว่าเดิม อย่าให้เกิดการปล่อยข่าวยุแหย่ได้ขยายตัวกลายเป็นเรื่องที่ประชาชนจำนวนมากมองภาพพจน์องค์กรแห่งนี้ไปในทางเสียหายในที่สุด
คงต้องสามัคคีกันเพื่อพิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นด้วยว่า “จิตวิญญาณ” ในการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพข่าวสารของ อสมท. ยังคงเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด?