ศาลอาญาพิพากษาประหาร "จ่ามี-สิทธิพร ขำอาจ" อดีต ส.ส.กทม.และส.จ."รักษ์"ลูกน้องคนสนิท วางแผนระเบิดฆ่าพ่ออดีต ส.ส.จันทบุรี แต่แม่รับเคราะห์แทน ส่วนมือระเบิดให้จำคุกตลอดชีวิต
วานนี้(6 พ.ย.)ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์พิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี และนายสนิท เฟื่องประยูร โจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายประสงค์ แสงจันทร์ หรือ หมู แก่งคอย มือปืน นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข หรือ ส.จ.รักษ์ สมาชิกสภาจังหวัดเขต อ.เชียงคาน จ.เลย ผู้ใช้จ้างวาน นายสิทธิพร ขำอาจ หรือ จ่ามี อดีต ส.ส.กทม.ผู้ใช้จ้างวาน และ จ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือจ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันจ้างวาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และร่วมกันมีวัตถุระเบิดอาวุธและอาวุธปืนอาก้า ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.45 น.นางปัทมา เฟื่องประยูร ผู้ตายขับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ ของนายสนิท เฟื่องประยูร อดีตส.จ.จันทบุรี สามี ออกจากบ้านพัก อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อไปเรียนหนังสือที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี ขณะที่กำลังขับรถเข้าไปที่ลานจอด รถกระแทกกับพื้นซีเมนต์ จึงเกิดเหตุระเบิดทำให้ผู้ตายเสียชีวิต โดยการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ความจากคำให้การรับสารภาพของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ หรือ จ่าฤทธิ์ เทวานุรักษ์ สายสืบ สภ.อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด (เสียชีวิตแล้ว)ว่า ได้ร่วมกันวางแผนจะฆ่านายสนิท เฟื่องประยูร สามีของผู้ตาย ที่ห้องสูท สถานบริการอาบอบนวด มโนราห์ จ.ระยอง ในวันที่ 30 ส.ค. 40 แต่การลงมือสังหารนายสนิทไม่สำเร็จ
ต่อมา วันที่ 5 ก.ย.40 เวลาประมาณ 01.00 น. จำเลยได้นำระเบิดไปติดตั้งที่ใต้ท้องรถเบนซ์ของนายสนิท โดยวางแผนกดรีโมตระเบิดเมื่อนายสนิทขึ้นรถ แต่ปรากฏว่าระเบิดไม่ทำงาน จำเลยจึงล้มเลิกแผน แล้วรุ่งขึ้นวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.30 น. ภรรยาของนายสนิท ได้ใช้รถเบนซ์คันดังกล่าวขับออกไป จึงเกิดเหตุระเบิดและถึงแก่ความตายดังกล่าว
คดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นกัน จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ ผู้ต้องหาไว้เป็นพยาน (เสียชีวิตแล้ว)โดยภายหลังอัยการยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดจันทบุรี เห็นว่าจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลจะเข้าไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานที่จะมีผลกระทบต่อรูปคดี ดังนั้นจึงยื่นขอโอนคดีมาสืบพยานที่ศาลอาญา เมื่อปี 2544
หลังศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพ ในชั้นสอบสวนตลอดตั้งแต่เริ่มวางแผนฆ่า ร่วมกันจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้ง 4 โทร.หากันในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งมีหลักฐานเชื่อว่ากระทำความผิดจริง
พิพากษา จำเลยที่ 1 และ 4 มีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม และให้ลงโทษกฎหมายบทหนักสุด โดยให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และ 4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต แต่การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ให้ลดโทษลง 1 ใน 3 คงลงโทษจำคุกคตลอดชีวิต
ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ เป็นผู้จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งมีลักษณะเป็นตัวการ ให้พิพากษาบทหนักสุด คือประหารชีวิตสถานเดียว
หลังศาลพิพากษา นายเอกสิทธิ์ และนายสิทธิพร จำเลยที่ 2 และ 3 ซึ่งศาลตัดสินประหารชีวิตนั้น เดินคอตกก้มหน้าออกจากห้องพิจารณาคดี ในขณะที่ญาติๆ และลูกน้องของผู้ต้องหาที่มาร่วมรับฟังคำพิพากษาต่างพากันร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ในขณะที่ทนายความจำเลย ยืนยันว่าจะต้องขอยื่นประกันตัวไปต่อสู้คดีในศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป
วานนี้(6 พ.ย.)ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์พิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี และนายสนิท เฟื่องประยูร โจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายประสงค์ แสงจันทร์ หรือ หมู แก่งคอย มือปืน นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข หรือ ส.จ.รักษ์ สมาชิกสภาจังหวัดเขต อ.เชียงคาน จ.เลย ผู้ใช้จ้างวาน นายสิทธิพร ขำอาจ หรือ จ่ามี อดีต ส.ส.กทม.ผู้ใช้จ้างวาน และ จ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือจ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันจ้างวาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และร่วมกันมีวัตถุระเบิดอาวุธและอาวุธปืนอาก้า ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.45 น.นางปัทมา เฟื่องประยูร ผู้ตายขับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ ของนายสนิท เฟื่องประยูร อดีตส.จ.จันทบุรี สามี ออกจากบ้านพัก อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อไปเรียนหนังสือที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี ขณะที่กำลังขับรถเข้าไปที่ลานจอด รถกระแทกกับพื้นซีเมนต์ จึงเกิดเหตุระเบิดทำให้ผู้ตายเสียชีวิต โดยการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ความจากคำให้การรับสารภาพของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ หรือ จ่าฤทธิ์ เทวานุรักษ์ สายสืบ สภ.อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด (เสียชีวิตแล้ว)ว่า ได้ร่วมกันวางแผนจะฆ่านายสนิท เฟื่องประยูร สามีของผู้ตาย ที่ห้องสูท สถานบริการอาบอบนวด มโนราห์ จ.ระยอง ในวันที่ 30 ส.ค. 40 แต่การลงมือสังหารนายสนิทไม่สำเร็จ
ต่อมา วันที่ 5 ก.ย.40 เวลาประมาณ 01.00 น. จำเลยได้นำระเบิดไปติดตั้งที่ใต้ท้องรถเบนซ์ของนายสนิท โดยวางแผนกดรีโมตระเบิดเมื่อนายสนิทขึ้นรถ แต่ปรากฏว่าระเบิดไม่ทำงาน จำเลยจึงล้มเลิกแผน แล้วรุ่งขึ้นวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.30 น. ภรรยาของนายสนิท ได้ใช้รถเบนซ์คันดังกล่าวขับออกไป จึงเกิดเหตุระเบิดและถึงแก่ความตายดังกล่าว
คดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นกัน จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ ผู้ต้องหาไว้เป็นพยาน (เสียชีวิตแล้ว)โดยภายหลังอัยการยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดจันทบุรี เห็นว่าจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลจะเข้าไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานที่จะมีผลกระทบต่อรูปคดี ดังนั้นจึงยื่นขอโอนคดีมาสืบพยานที่ศาลอาญา เมื่อปี 2544
หลังศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพ ในชั้นสอบสวนตลอดตั้งแต่เริ่มวางแผนฆ่า ร่วมกันจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้ง 4 โทร.หากันในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งมีหลักฐานเชื่อว่ากระทำความผิดจริง
พิพากษา จำเลยที่ 1 และ 4 มีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม และให้ลงโทษกฎหมายบทหนักสุด โดยให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และ 4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต แต่การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ให้ลดโทษลง 1 ใน 3 คงลงโทษจำคุกคตลอดชีวิต
ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ เป็นผู้จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งมีลักษณะเป็นตัวการ ให้พิพากษาบทหนักสุด คือประหารชีวิตสถานเดียว
หลังศาลพิพากษา นายเอกสิทธิ์ และนายสิทธิพร จำเลยที่ 2 และ 3 ซึ่งศาลตัดสินประหารชีวิตนั้น เดินคอตกก้มหน้าออกจากห้องพิจารณาคดี ในขณะที่ญาติๆ และลูกน้องของผู้ต้องหาที่มาร่วมรับฟังคำพิพากษาต่างพากันร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ในขณะที่ทนายความจำเลย ยืนยันว่าจะต้องขอยื่นประกันตัวไปต่อสู้คดีในศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป