กกต.เปิดยอดเงินบริจาคเข้าพรรคการเมืองก่อนวันยึดอำนาจ 19 กันยาฯ ปชป.ยอดพุ่ง 21 ล้านบาท ขณะที่ ทรท.ลดฮวบเหลือแค่ 1 แสนเศษ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยอดบริจาคสูงกว่า 50 ล้านบาท โดย “บรรณพจน์” จ่ายคนเดียว 50 ล้าน ด้าน ปชป.โวย กกต.ห้ามสมาชิกพรรคการเมืองยุ่งเลือกตั้งท้องถิ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) วานนี้ (2 พ.ย.) ถึงยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองประจำเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการรัฐประหาร 19 กันยายน ปรากฎว่า มีเพียง 2 พรรคการเมืองที่ได้รับการบริจาค คือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทย โดยพรรคประชาธิปัตย์ มียอดเงินบริจาค ในเดือนกันยายนรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง เป็นจำนวน 21,118,800 บาท โดยมีผู้บริจาค ที่น่าสนใจ ได้แก่ นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ บริจาค 10,000,000 บาท นายกรณ์ จาติกวณิช บริจาค 5,000,000 บาท นายประกอบ จิรกิติ บริจาค 5,000,000 บาท
ส่วนพรรคไทยรักไทยบริจาครวม 2 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 123,340 บาท โดยมีผู้บริจาครายเดิมที่เป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่ในขณะนั้น ได้แก่ นายไชยยศ สะสมทรัพย์ 23,340 บาท นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล 60,000 บาท
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทยมียอดเงินบริจาค มากที่สุดจำนวน 50,123,340 บาท โดยเป็นการบริจาค ของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 50,000,000 บาท ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มียอดบริจาค 1,095,100 บาท โดยผู้ที่บริจาคมากที่สุดคือ บริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัด จำนวน 1,000,000 บาท สำหรับในเดือน ส.ค.พรรคไทยรักไทยได้รับเงินบริจาค 603,340 บาท ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินบริจาค 1,060,600 บาท
สรุปยอดรวมเงินบริจาคพรรคการเมืองตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน พรรคไทยรักไทย มียอดเงินบริจาค 131,345,060 บาท พรรคประชาธิปัตย์ 68,226,100 บาท พรรคมหาชน 220,000 บาท พรรคชาติไทยไม่มีผู้ใดบริจาค แต่ยอดปัจจุบันที่มีอยู่ในรายงานมีจำนวนทั้งสิ้น 755,500 บาทซึ่งเป็นเงินที่บริจาคตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม ของปี 2548
ขณะที่พรรคสันติภาพไทย ที่มีนายพิเชษฐ์ สถิรชวาล อดีต รมช.คมนาคมและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค มียอดเงินบริจาค จำนวน 2,912,806 บาท โดยส่วนใหญ่ได้รับบริจาคในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นกลุ่ม บริษัท ห้างหุ้นส่วน อาทิ บริษัท ประปาปทุมธานี บริจาค1,000,000 บาท บริษัท ยูเอชเอ็มจำกัด บริจาค 500,000 บาท บริษัท จีโร่ เทคโนโลยี จำกัด 500,000 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุญสหะการสร้าง 100,000 บาท
ทั้งนี้สำหรับการบริจาคของบริทัษต่างๆ ให้กับพรรคการเมืองจะต้องจดทะเบียนในไทย และมีต่างชาติถือหุ้นได้เกิน 25 % ตามที่กฎหมายกำหนดได้ โดยทาง กกต. จะมีการตรวจสอบกับทางกรมพัฒนาธุรกิจ และกระทรวงพานิชย์ ซึ่งก็ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้นไปแล้ว
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกสำนักเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ แถลงแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่ กกต.ประกาศเรื่องวิธีการหรือลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งของบผู้สมัครสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ในระหว่างมีประกาศ คปค.ที่ห้ามพรรคหรือสมาชิกพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกรูปแบบ โดยอ้างประกาศ คปค.ฉบับที่ 7 ฉบับที่ 15 และ ฉบับที่ 22 ซึ่งเป็นเรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมืทอง และห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือดำเนินกิจการอื่นใดทางการเมืองรวมถึงขอยุติความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น
นายเทพไท กล่าวว่า ประกาศฉบับนี้มีปัญหาอย่างมาก พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการร้องเรียนจากสมาชิก ในเรื่องปัญหาและอุปสรรคของการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการปิดกั้นไม่ให้สมาชิกพรรคและพรรคการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่มีประชาชนถึง 25 ล้านคน หรือเกือบครึ่งประเทศเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชน ขัดต่อหลักเสรีภาพในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) วานนี้ (2 พ.ย.) ถึงยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองประจำเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการรัฐประหาร 19 กันยายน ปรากฎว่า มีเพียง 2 พรรคการเมืองที่ได้รับการบริจาค คือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทย โดยพรรคประชาธิปัตย์ มียอดเงินบริจาค ในเดือนกันยายนรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง เป็นจำนวน 21,118,800 บาท โดยมีผู้บริจาค ที่น่าสนใจ ได้แก่ นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ บริจาค 10,000,000 บาท นายกรณ์ จาติกวณิช บริจาค 5,000,000 บาท นายประกอบ จิรกิติ บริจาค 5,000,000 บาท
ส่วนพรรคไทยรักไทยบริจาครวม 2 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 123,340 บาท โดยมีผู้บริจาครายเดิมที่เป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่ในขณะนั้น ได้แก่ นายไชยยศ สะสมทรัพย์ 23,340 บาท นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล 60,000 บาท
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทยมียอดเงินบริจาค มากที่สุดจำนวน 50,123,340 บาท โดยเป็นการบริจาค ของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 50,000,000 บาท ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มียอดบริจาค 1,095,100 บาท โดยผู้ที่บริจาคมากที่สุดคือ บริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัด จำนวน 1,000,000 บาท สำหรับในเดือน ส.ค.พรรคไทยรักไทยได้รับเงินบริจาค 603,340 บาท ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินบริจาค 1,060,600 บาท
สรุปยอดรวมเงินบริจาคพรรคการเมืองตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน พรรคไทยรักไทย มียอดเงินบริจาค 131,345,060 บาท พรรคประชาธิปัตย์ 68,226,100 บาท พรรคมหาชน 220,000 บาท พรรคชาติไทยไม่มีผู้ใดบริจาค แต่ยอดปัจจุบันที่มีอยู่ในรายงานมีจำนวนทั้งสิ้น 755,500 บาทซึ่งเป็นเงินที่บริจาคตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม ของปี 2548
ขณะที่พรรคสันติภาพไทย ที่มีนายพิเชษฐ์ สถิรชวาล อดีต รมช.คมนาคมและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค มียอดเงินบริจาค จำนวน 2,912,806 บาท โดยส่วนใหญ่ได้รับบริจาคในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นกลุ่ม บริษัท ห้างหุ้นส่วน อาทิ บริษัท ประปาปทุมธานี บริจาค1,000,000 บาท บริษัท ยูเอชเอ็มจำกัด บริจาค 500,000 บาท บริษัท จีโร่ เทคโนโลยี จำกัด 500,000 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุญสหะการสร้าง 100,000 บาท
ทั้งนี้สำหรับการบริจาคของบริทัษต่างๆ ให้กับพรรคการเมืองจะต้องจดทะเบียนในไทย และมีต่างชาติถือหุ้นได้เกิน 25 % ตามที่กฎหมายกำหนดได้ โดยทาง กกต. จะมีการตรวจสอบกับทางกรมพัฒนาธุรกิจ และกระทรวงพานิชย์ ซึ่งก็ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้นไปแล้ว
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกสำนักเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ แถลงแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่ กกต.ประกาศเรื่องวิธีการหรือลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งของบผู้สมัครสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ในระหว่างมีประกาศ คปค.ที่ห้ามพรรคหรือสมาชิกพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกรูปแบบ โดยอ้างประกาศ คปค.ฉบับที่ 7 ฉบับที่ 15 และ ฉบับที่ 22 ซึ่งเป็นเรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมืทอง และห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือดำเนินกิจการอื่นใดทางการเมืองรวมถึงขอยุติความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น
นายเทพไท กล่าวว่า ประกาศฉบับนี้มีปัญหาอย่างมาก พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการร้องเรียนจากสมาชิก ในเรื่องปัญหาและอุปสรรคของการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการปิดกั้นไม่ให้สมาชิกพรรคและพรรคการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่มีประชาชนถึง 25 ล้านคน หรือเกือบครึ่งประเทศเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชน ขัดต่อหลักเสรีภาพในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง