“พล.อ.สนธิ”ตั้งคณะทำงานติดตามคดีอุ้มทนายสมชาย หลังทางสืบสวนพบคนใกล้ชิด"ทักษิณ"สั่งอุ้มฆ่า ด้าน"ดีเอสไอ"ประสานขอข้อมูล"สนธิ"และสื่อขอเทปคำพูด"แม้ว"สมชายตายแล้ว ชี้ชัด การสืบสวนพอจะรู้ตัวกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน ด้านภรรยาสมชาย แนะใช้หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ มัดตัว "หมอพรทิพย์"ซัดตำรวจไม่สนใจเก็บหลักฐานแต่แรก ขณะที่"นักสิทธิมนุษยชน"เรียกร้องให้รื้อคดีอุ้มสะเทือนโลก
วานนี้ (31 ต.ค.)ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สนามเป้า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า มีบุคคลใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลคดีดังกล่าวแล้ว และได้รับข้อมูลทั้งหมดแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าคณะทำงานประกอบด้วยใครบ้าง รวมทั้งไม่สามารถเปิดเผยว่า ใครอยู่เบื้องหลังคดีดังกล่าว
ด้าน พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะเลขาธิการ คมช.กล่าวว่า คมช.ไม่ได้มีการกำหนดวันแถลง ชี้แจงกับประชาชนในเรื่องการทำงานของ คมช.เพียงแต่ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าตรงจุดไหนประชาชนกังวล ห่วงใย และต้องการรู้เกี่ยวกับการทำงานในความคืบหน้า และประสานงานกับส่วนราชการและกลไกที่เกี่ยวข้องช่วยชี้แจง คมช.เองก็เพียงแต่รับทราบความคืบหน้าต่างๆ และดูว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
เมื่อถามว่า ประธานคมช.บอกว่า ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลคดีทนายสมชาย เลขาฯคมช.กล่าวว่าคงดูทุกเรื่องในภาพรวม เพราะว่าจากกระแสที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เราคงต้องดูประเด็นต่างๆที่ประชาชนยังสงสัย และอยากจะทราบความคืบหน้า ทั้งนี้คณะทำงานนี้ได้ตั้งขึ้นมาแล้ว โดยให้ ผช.เลขาธิการ คมช.เป็นประธาน ซึ่งยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นระหว่างพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร กับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า มีคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังการสั่งอุ้มทนายสมชายนั้น พล.อ.วินัย กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียด และในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ สมช.ก็ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ เพราะเรื่องอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้โดยปกติแล้วการทำงานของ คมช.ได้มีการประสานและพูดคุยกับกระทรวงยุติธรรมตลอด เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ถ่ายทอดไปทางสื่อว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว ส่วนดคีค้างเก่าอื่นๆ เช่น คดีตากใบ และคดีคาร์บอมบ์นั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงยุติธรรม ดูแลรายละเอียดอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า ในช่วงที่ทางคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)ทำการควบคุมตัวรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงวันยึดอำนาจ โดยได้มีการสอบสวนรัฐมนตรีที่เคยดูแลปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงการหายตัวไปของทนายสมชาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสั่งการอุ้มทนายสมชาย ซึ่ง รัฐมนตรีคนดังกล่าว ก็ยอมที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริง และยอมบอกถึงตัวผู้บงการที่แท้จริง ซึ่งเป็นคนสนิทของพ.ต.ท.ทักษิณ และนั่งบัญชาการอยู่ในทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับข่าวที่มีมาก่อนหน้านี้ว่า พบหลักฐานสำคัญเป็นเบอร์โทรศัพท์จากตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ติดต่อกับทีมลงมืออุ้มที่ถูกจับ ก่อนที่ทนายสมชายจะหายตัวไป
**"ดีเอสไอ"ขอข้อมูลคนสั่งอุ้ม
พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ถือเป็นข้อมูลใหม่ ซึ่ง ดีเอสไอ จะประสานขอให้พล.อ.สนธิ ส่งหลักฐานหรือผู้ที่ให้ข้อมูลดังกล่าวมาเป็นพยาน เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับสำนวนคดี คาดว่าผู้ที่ให้ข้อมูลอาจจะเป็นผู้ที่อยู่ในคณะรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
สำหรับการสอบสวนในขณะนี้ ดีเอสไอ ได้ให้น้ำหนักกับข้อมูลการใช้โทรศัพท์ติดต่อของกลุ่มบุคคลที่ร่วมปฏิบัติการอุ้มนายสมชาย เพื่อสอบสวนอุดช่องว่างในคดีหน่วงเหนี่ยวกักขังนายสมชาย ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางโดยเฉพาะหลักฐานรายการใช้โทรศัพท์ที่ศาลไม่รับฟัง เพราะไม่ใช่ต้นฉบับ และไม่ใช่เอกสารรับรองสำเนาถูกต้อง ดีเอสไอ จึงไปขอต้นฉบับจากบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ มาเป็นหลักฐานสำคัญ และทำการสอบสวนขยายผลถึงหมายเลขโทรศัพท์ที่เพิ่มเติมขึ้นมา นอกจากนี้ยังสอบสวนต่อยอดจากเดิม ที่ตำรวจสอบสวนอยู่แค่เวลา 20.35 น. ของวันที่ 12 มี.ค.47 ซึ่งเป็นช่วงที่นายสมชาย ถูกผลักขึ้นรถ แต่ไม่ได้สอบสวนว่า นายสมชาย ถูกนำตัวไปที่ใด
“ดีเอสไอยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะออกหมายจับได้หรือไม่ เพราะการขออนุมัติหมายจับ หรือการสั่งฟ้องจะต้องมีหลักฐานเพียงพอ ที่ผ่านมาแนวทางการสืบสวนพอจะรู้ตัวกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน”
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับข้อมูลรายการใช้โทรศัพท์ติดต่อของกลุ่มผู้ต้องสงสัย ในคดีอุ้มฆ่านายสมชาย ระบุว่าในวันที่ 12 มี.ค.47 มีการติดต่อกันผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ตลอดทั้งวัน โดยหลังเวลา 20.35น. สัญณาณโทรศัพท์ของกลุ่มผู้ต้องสงสัย ได้เคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าพื้นที่ จ.ราชบุรี โดยมีความถี่ในการติดต่อโทรศัพท์จนถึงรุ่งเช้า วันที่ 13 มี.ค.47 จากนั้นก็หยุดการติดต่อถึงกัน
**ขอเทปแม้วพูดสมชายตายแล้ว
นอกจากนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยังได้ทำหนังสือไปยังสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง เพื่อขอเทปคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยให้สัมภาษณ์เมื่อต้นปี 2549 ว่า นายสมชาย นีละไพจิตร เสียชีวิตแล้ว คาดว่าจะสามารถดำเนินคดีฆ่า กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ภายในไม่เกินเดือน ก.พ.ของปีเดียวกัน เพื่อนำมาประกอบสำนวนการสอบสวน เพราะเห็นว่า การที่อดีตฯนายกฯรัฐมนตรี ซึ่งดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านการข่าว ออกมาให้สัมภาษณ์ ย่อมมีความน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานยืนยันในกระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล ว่านายสมชาย ได้เสียชีวิตแล้ว ถึงแม้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ไม่สามารถค้นหาศพนายสมชาย เจอ หากมีการออกหมายจับผู้ต้องสงสัย จากพยานแวดล้อม เทปดังกล่าวจะเป็นพยานแวดล้อมสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เชื่อว่ามีน้ำหนัก
**“อังคณา”แนะใช้หลักฐานนิติวิทย์มัด
นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยานายสมชาย เปิดเผยถึงความพยายามในการคลี่คลายคดีอุ้มฆ่านายสมชาย ที่ขณะนี้เริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้น ว่าเรื่องดังกล่าวตนต้องขอบใจในความพยายามของผู้ที่เกี่ยวข้องในการหาพยานหลักฐานเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำความผิด
“ส่วนตัวไม่อยากให้มีการรีบเร่ง โดยอยากให้หาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ให้มาก เนื่องจากหากมีเฉพาะพยานแวดล้อมเกรงว่าเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้ว ศาลอาจจะไม่รับฟัง และไม่สามารถลงโทษผู้กระทำความผิดได้”
นางอังคณา กล่าวว่า ที่ผ่านมาการสอบสวนของดีเอสไอ น่าจะเดินมาถูกทางแล้ว แต่ดีเอสไอ ไม่มีความพยายามมากพอที่จะหาพยานหลักฐาน เนื่องจากเกรงจะไปกระทบเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ และผู้สั่งการ จึงทำให้คดีมีความล่าช้า ประกอบกับหากดีเอสไอมีความพยายามที่จะคลี่คลายคดีนี้อย่างจริงจัง เชื่อว่าน่าจะยังมีหลักฐานสำคัญหลงเหลืออยู่
อย่างไรก็ตาม นางอังคณายังได้เรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดคดีอื่นๆ ที่สำคัญอีกหลายคดี โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ดีเอสไอไม่มีความพยายามที่จะสืบสอบสวนสอบนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
**แฉตร.ไม่สนใจเก็บหลักฐานนิติวิทย์
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า คดีนี้ตั้งแต่ต้น ตำรวจไม่เคยสนใจที่จะเก็บพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ดังนั้น หลังจาก ตนเข้าไปช่วยเก็บหลักฐาน จึงทำให้การเก็บหลักฐานจึงทำค่อนข้างลำบาก
**จี้"สนธิ"รื้อใหม่คดีอุ้มสะเทือนโลก
นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)กล่าวว่า กรณีที่ พล.อ.สนธิ ออกมาเปิดเผยว่า มีคนใกล้ชิดทักษิณ พัวพันการอุ้มทนายสมชาย แสดงให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ที่คดีล่าช้ามานาน 2 ปีกว่า แล้ว ดีเอสไอ ไม่กล้าคลี่คลายคดีเพิ่มเติมนั้น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงและนักการเมืองที่มีอำนาจอยู่ ไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อย ที่ตกเป็นผู้ต้องหาเท่านั้นเนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันมาก่อน
ดังนั้นเรื่องนี้ โดยระดับชั้นการบังคับบัญชาของตำรวจ ต้องมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รู้เห็นเป็นใจและสั่งการร่วมอย่างแน่นอน โดยจะสังเกตุเห็นว่าในการทำแผนประกอบคดีปล้นปืนของ 5 ผู้ต้องหาเจไอที่โดนซ้อม ทารุณกรรมและฟ้องต่อนายสมชายนั้น มีนายตำรวจระดับบิ๊กหลายนายที่รับผิดชอบคดีดังกล่าวและร่วมทำแผน ซึ่งปัจจุบันเป็นใหญ่เป็นโตในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเชื่อมโยงว่า ทำไม พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน 1 ใน 5 ผู้ต้องหาอุ้มทนายสมชาย ถึงได้รับให้กลับเข้าทำงานทั้งที่ผิดวินัย พ.ร.บ.ตำรวจ ดังนั้นน่าจะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน เพื่อไม่ให้ซัดทอดถึงผู้สั่งการ คดีนี้สิ้นสุดศาลชั้นต้นว่ามีการอุ้มจริง โดยจำคุกผู้ต้องหา 1 คน คือ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก ข้อหาอุ้มและพาทรัพย์ ศาลจำคุกสูงสุดตามคดี 3 ปี ส่วนผู้ต้องหาอีก 4 คน หลักฐานไม่เพียงพอ เรี่องนี้เป็นไปไม่ได้ที่ตำรวจชั้นผู้น้อยจะกระทำการโดยลำพังเพราะไม่ได้มีปัญหากันทนายสมชาย ในคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของปัญหาภาคใต้
พล.อ.สนธิ ต้องรับผิดชอบความจริงในคำพูดของตัวเอง และเปิดเผยการอุ้มสะเทือนโลกครั้งนี้ออกมาโดยเร็ว เพราะยังไม่ทราบว่าคนที่นั่งบงการอยู่ในทำเนียบคือใคร เข้าใจว่า พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบดูแลปัญหาภาคใต้ เป็นคนพูดประเด็นนี้กับ คมช. จึงอยากให้สอบสวนบุคคลผู้นี้อย่างละเอียดในชั้นศาล ว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง และคนใกล้ชิดทักษิณคือใคร รวมถึงเรื่องนี้เชื่อมโยงกับเมื่อครั้งครบรอบ 1 ปี ทนายสมชายที่ผ่านมา ที่มีหลักฐานทางโทรศัพท์เปิดเผยในชั้นศาลว่า มีโทรศัพท์จากทำเนียบรัฐบาล โทรหา 1 ใน 5 ผู้ต้องหาอุ้มสมชายในช่วงวันเวลาที่เกิดเหตุ แต่หลักฐานดังกล่าวกลับไม่สามารถใช้การในชั้นศาลได้ เพราะไม่ถูกรับรอง ถ้าคนสั่งเป็นคนใกล้ชิดทักษิณ แต่ไม่ใช่ระดับผู้รับผิดชอบทางนโยบายปัญหาภาคใต้ แสดงว่าอาจได้รับความเห็นชอบจากอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว พล.อ.สนธิจะเอาผิดเรื่องนี้อย่างไร ตนเข้าใจว่า คมช.สอบสวน พล.ต.อ.ชิดชัย และพล.ต.อ.ชิดชัย โยนไปที่คนที่ใกล้ตัวนายกตลอดเวลาคนหนึ่งที่เป็นมือไม้ทักษิณ แต่ที่สำคัญที่สุดผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ตนไม่เข้าใจว่า เมื่อ คมช. มีข้อมูลดังกล่าวแล้ว ทำไมไม่มีการปฏิรูปกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งทำให้คดีล่าช้าดังกล่าว เพื่อทำให้คดีมีความคืบหน้าขึ้น
พร้อมกันนี้ ตนขอเรียกร้องให้ พล.อ.สนธิ ต้องเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อกรณี กรือเซะและตากใบด้วย เพื่อไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะมีความผิดที่เกิดขึ้นจริง
**ครม.ตั้ง 4 ผู้ทรงคุณวุฒิ กคพ.
วันเดียวกัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการคดีพิเศษ ประเภทกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 4 คน ประกอบด้วย รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ และ ศ.ดร.คณิต ณ นคร
วานนี้ (31 ต.ค.)ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สนามเป้า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า มีบุคคลใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลคดีดังกล่าวแล้ว และได้รับข้อมูลทั้งหมดแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าคณะทำงานประกอบด้วยใครบ้าง รวมทั้งไม่สามารถเปิดเผยว่า ใครอยู่เบื้องหลังคดีดังกล่าว
ด้าน พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะเลขาธิการ คมช.กล่าวว่า คมช.ไม่ได้มีการกำหนดวันแถลง ชี้แจงกับประชาชนในเรื่องการทำงานของ คมช.เพียงแต่ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าตรงจุดไหนประชาชนกังวล ห่วงใย และต้องการรู้เกี่ยวกับการทำงานในความคืบหน้า และประสานงานกับส่วนราชการและกลไกที่เกี่ยวข้องช่วยชี้แจง คมช.เองก็เพียงแต่รับทราบความคืบหน้าต่างๆ และดูว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
เมื่อถามว่า ประธานคมช.บอกว่า ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลคดีทนายสมชาย เลขาฯคมช.กล่าวว่าคงดูทุกเรื่องในภาพรวม เพราะว่าจากกระแสที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เราคงต้องดูประเด็นต่างๆที่ประชาชนยังสงสัย และอยากจะทราบความคืบหน้า ทั้งนี้คณะทำงานนี้ได้ตั้งขึ้นมาแล้ว โดยให้ ผช.เลขาธิการ คมช.เป็นประธาน ซึ่งยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นระหว่างพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร กับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า มีคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังการสั่งอุ้มทนายสมชายนั้น พล.อ.วินัย กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียด และในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ สมช.ก็ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ เพราะเรื่องอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้โดยปกติแล้วการทำงานของ คมช.ได้มีการประสานและพูดคุยกับกระทรวงยุติธรรมตลอด เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ถ่ายทอดไปทางสื่อว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว ส่วนดคีค้างเก่าอื่นๆ เช่น คดีตากใบ และคดีคาร์บอมบ์นั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงยุติธรรม ดูแลรายละเอียดอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า ในช่วงที่ทางคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)ทำการควบคุมตัวรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงวันยึดอำนาจ โดยได้มีการสอบสวนรัฐมนตรีที่เคยดูแลปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงการหายตัวไปของทนายสมชาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสั่งการอุ้มทนายสมชาย ซึ่ง รัฐมนตรีคนดังกล่าว ก็ยอมที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริง และยอมบอกถึงตัวผู้บงการที่แท้จริง ซึ่งเป็นคนสนิทของพ.ต.ท.ทักษิณ และนั่งบัญชาการอยู่ในทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับข่าวที่มีมาก่อนหน้านี้ว่า พบหลักฐานสำคัญเป็นเบอร์โทรศัพท์จากตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ติดต่อกับทีมลงมืออุ้มที่ถูกจับ ก่อนที่ทนายสมชายจะหายตัวไป
**"ดีเอสไอ"ขอข้อมูลคนสั่งอุ้ม
พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ถือเป็นข้อมูลใหม่ ซึ่ง ดีเอสไอ จะประสานขอให้พล.อ.สนธิ ส่งหลักฐานหรือผู้ที่ให้ข้อมูลดังกล่าวมาเป็นพยาน เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับสำนวนคดี คาดว่าผู้ที่ให้ข้อมูลอาจจะเป็นผู้ที่อยู่ในคณะรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
สำหรับการสอบสวนในขณะนี้ ดีเอสไอ ได้ให้น้ำหนักกับข้อมูลการใช้โทรศัพท์ติดต่อของกลุ่มบุคคลที่ร่วมปฏิบัติการอุ้มนายสมชาย เพื่อสอบสวนอุดช่องว่างในคดีหน่วงเหนี่ยวกักขังนายสมชาย ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางโดยเฉพาะหลักฐานรายการใช้โทรศัพท์ที่ศาลไม่รับฟัง เพราะไม่ใช่ต้นฉบับ และไม่ใช่เอกสารรับรองสำเนาถูกต้อง ดีเอสไอ จึงไปขอต้นฉบับจากบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ มาเป็นหลักฐานสำคัญ และทำการสอบสวนขยายผลถึงหมายเลขโทรศัพท์ที่เพิ่มเติมขึ้นมา นอกจากนี้ยังสอบสวนต่อยอดจากเดิม ที่ตำรวจสอบสวนอยู่แค่เวลา 20.35 น. ของวันที่ 12 มี.ค.47 ซึ่งเป็นช่วงที่นายสมชาย ถูกผลักขึ้นรถ แต่ไม่ได้สอบสวนว่า นายสมชาย ถูกนำตัวไปที่ใด
“ดีเอสไอยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะออกหมายจับได้หรือไม่ เพราะการขออนุมัติหมายจับ หรือการสั่งฟ้องจะต้องมีหลักฐานเพียงพอ ที่ผ่านมาแนวทางการสืบสวนพอจะรู้ตัวกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน”
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับข้อมูลรายการใช้โทรศัพท์ติดต่อของกลุ่มผู้ต้องสงสัย ในคดีอุ้มฆ่านายสมชาย ระบุว่าในวันที่ 12 มี.ค.47 มีการติดต่อกันผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ตลอดทั้งวัน โดยหลังเวลา 20.35น. สัญณาณโทรศัพท์ของกลุ่มผู้ต้องสงสัย ได้เคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าพื้นที่ จ.ราชบุรี โดยมีความถี่ในการติดต่อโทรศัพท์จนถึงรุ่งเช้า วันที่ 13 มี.ค.47 จากนั้นก็หยุดการติดต่อถึงกัน
**ขอเทปแม้วพูดสมชายตายแล้ว
นอกจากนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยังได้ทำหนังสือไปยังสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง เพื่อขอเทปคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยให้สัมภาษณ์เมื่อต้นปี 2549 ว่า นายสมชาย นีละไพจิตร เสียชีวิตแล้ว คาดว่าจะสามารถดำเนินคดีฆ่า กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ภายในไม่เกินเดือน ก.พ.ของปีเดียวกัน เพื่อนำมาประกอบสำนวนการสอบสวน เพราะเห็นว่า การที่อดีตฯนายกฯรัฐมนตรี ซึ่งดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านการข่าว ออกมาให้สัมภาษณ์ ย่อมมีความน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานยืนยันในกระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล ว่านายสมชาย ได้เสียชีวิตแล้ว ถึงแม้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ไม่สามารถค้นหาศพนายสมชาย เจอ หากมีการออกหมายจับผู้ต้องสงสัย จากพยานแวดล้อม เทปดังกล่าวจะเป็นพยานแวดล้อมสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เชื่อว่ามีน้ำหนัก
**“อังคณา”แนะใช้หลักฐานนิติวิทย์มัด
นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยานายสมชาย เปิดเผยถึงความพยายามในการคลี่คลายคดีอุ้มฆ่านายสมชาย ที่ขณะนี้เริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้น ว่าเรื่องดังกล่าวตนต้องขอบใจในความพยายามของผู้ที่เกี่ยวข้องในการหาพยานหลักฐานเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำความผิด
“ส่วนตัวไม่อยากให้มีการรีบเร่ง โดยอยากให้หาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ให้มาก เนื่องจากหากมีเฉพาะพยานแวดล้อมเกรงว่าเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้ว ศาลอาจจะไม่รับฟัง และไม่สามารถลงโทษผู้กระทำความผิดได้”
นางอังคณา กล่าวว่า ที่ผ่านมาการสอบสวนของดีเอสไอ น่าจะเดินมาถูกทางแล้ว แต่ดีเอสไอ ไม่มีความพยายามมากพอที่จะหาพยานหลักฐาน เนื่องจากเกรงจะไปกระทบเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ และผู้สั่งการ จึงทำให้คดีมีความล่าช้า ประกอบกับหากดีเอสไอมีความพยายามที่จะคลี่คลายคดีนี้อย่างจริงจัง เชื่อว่าน่าจะยังมีหลักฐานสำคัญหลงเหลืออยู่
อย่างไรก็ตาม นางอังคณายังได้เรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดคดีอื่นๆ ที่สำคัญอีกหลายคดี โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ดีเอสไอไม่มีความพยายามที่จะสืบสอบสวนสอบนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
**แฉตร.ไม่สนใจเก็บหลักฐานนิติวิทย์
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า คดีนี้ตั้งแต่ต้น ตำรวจไม่เคยสนใจที่จะเก็บพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ดังนั้น หลังจาก ตนเข้าไปช่วยเก็บหลักฐาน จึงทำให้การเก็บหลักฐานจึงทำค่อนข้างลำบาก
**จี้"สนธิ"รื้อใหม่คดีอุ้มสะเทือนโลก
นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)กล่าวว่า กรณีที่ พล.อ.สนธิ ออกมาเปิดเผยว่า มีคนใกล้ชิดทักษิณ พัวพันการอุ้มทนายสมชาย แสดงให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ที่คดีล่าช้ามานาน 2 ปีกว่า แล้ว ดีเอสไอ ไม่กล้าคลี่คลายคดีเพิ่มเติมนั้น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงและนักการเมืองที่มีอำนาจอยู่ ไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อย ที่ตกเป็นผู้ต้องหาเท่านั้นเนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันมาก่อน
ดังนั้นเรื่องนี้ โดยระดับชั้นการบังคับบัญชาของตำรวจ ต้องมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รู้เห็นเป็นใจและสั่งการร่วมอย่างแน่นอน โดยจะสังเกตุเห็นว่าในการทำแผนประกอบคดีปล้นปืนของ 5 ผู้ต้องหาเจไอที่โดนซ้อม ทารุณกรรมและฟ้องต่อนายสมชายนั้น มีนายตำรวจระดับบิ๊กหลายนายที่รับผิดชอบคดีดังกล่าวและร่วมทำแผน ซึ่งปัจจุบันเป็นใหญ่เป็นโตในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเชื่อมโยงว่า ทำไม พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน 1 ใน 5 ผู้ต้องหาอุ้มทนายสมชาย ถึงได้รับให้กลับเข้าทำงานทั้งที่ผิดวินัย พ.ร.บ.ตำรวจ ดังนั้นน่าจะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน เพื่อไม่ให้ซัดทอดถึงผู้สั่งการ คดีนี้สิ้นสุดศาลชั้นต้นว่ามีการอุ้มจริง โดยจำคุกผู้ต้องหา 1 คน คือ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก ข้อหาอุ้มและพาทรัพย์ ศาลจำคุกสูงสุดตามคดี 3 ปี ส่วนผู้ต้องหาอีก 4 คน หลักฐานไม่เพียงพอ เรี่องนี้เป็นไปไม่ได้ที่ตำรวจชั้นผู้น้อยจะกระทำการโดยลำพังเพราะไม่ได้มีปัญหากันทนายสมชาย ในคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของปัญหาภาคใต้
พล.อ.สนธิ ต้องรับผิดชอบความจริงในคำพูดของตัวเอง และเปิดเผยการอุ้มสะเทือนโลกครั้งนี้ออกมาโดยเร็ว เพราะยังไม่ทราบว่าคนที่นั่งบงการอยู่ในทำเนียบคือใคร เข้าใจว่า พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบดูแลปัญหาภาคใต้ เป็นคนพูดประเด็นนี้กับ คมช. จึงอยากให้สอบสวนบุคคลผู้นี้อย่างละเอียดในชั้นศาล ว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง และคนใกล้ชิดทักษิณคือใคร รวมถึงเรื่องนี้เชื่อมโยงกับเมื่อครั้งครบรอบ 1 ปี ทนายสมชายที่ผ่านมา ที่มีหลักฐานทางโทรศัพท์เปิดเผยในชั้นศาลว่า มีโทรศัพท์จากทำเนียบรัฐบาล โทรหา 1 ใน 5 ผู้ต้องหาอุ้มสมชายในช่วงวันเวลาที่เกิดเหตุ แต่หลักฐานดังกล่าวกลับไม่สามารถใช้การในชั้นศาลได้ เพราะไม่ถูกรับรอง ถ้าคนสั่งเป็นคนใกล้ชิดทักษิณ แต่ไม่ใช่ระดับผู้รับผิดชอบทางนโยบายปัญหาภาคใต้ แสดงว่าอาจได้รับความเห็นชอบจากอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว พล.อ.สนธิจะเอาผิดเรื่องนี้อย่างไร ตนเข้าใจว่า คมช.สอบสวน พล.ต.อ.ชิดชัย และพล.ต.อ.ชิดชัย โยนไปที่คนที่ใกล้ตัวนายกตลอดเวลาคนหนึ่งที่เป็นมือไม้ทักษิณ แต่ที่สำคัญที่สุดผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ตนไม่เข้าใจว่า เมื่อ คมช. มีข้อมูลดังกล่าวแล้ว ทำไมไม่มีการปฏิรูปกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งทำให้คดีล่าช้าดังกล่าว เพื่อทำให้คดีมีความคืบหน้าขึ้น
พร้อมกันนี้ ตนขอเรียกร้องให้ พล.อ.สนธิ ต้องเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อกรณี กรือเซะและตากใบด้วย เพื่อไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะมีความผิดที่เกิดขึ้นจริง
**ครม.ตั้ง 4 ผู้ทรงคุณวุฒิ กคพ.
วันเดียวกัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการคดีพิเศษ ประเภทกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 4 คน ประกอบด้วย รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ และ ศ.ดร.คณิต ณ นคร